ซูิเยว่ชะงักไปอีกครั้งแล้วมองจี๋โม่หานอย่างไม่เข้าใจ นางรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยที่วันนี้เขามีคำถามมากมายเช่นนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้อยากรู้เื่พวกนี้กัน?
ณ ขณะนั้น ซูิเยว่คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ นางพูดออกไปราวกับไม่ได้ไตร่ตรองให้ชัดเจน “องค์ชายห้าหรือเพคะ ดีนะเพคะ”
จี๋โม่หานฟังจบก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดอีก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ซูิเยว่เองก็ไม่มีความคิดที่จะอ่านหนังสือต่อแล้ว นางวางแขนลงบนที่เท้าแขนแล้วเอามือมายันหน้าผาก สายตามองไปยังจี๋โม่หานอย่างพิจารณา
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซูิเยว่ลุกขึ้นยืดตัวก่อนจะเดินไปตรวจที่ข้างถังน้ำอยู่ครู่หนึ่ง “องค์ชายสามเพคะ ได้เวลาพอสมควรแล้ว หม่อมฉันจะดึงเข็มออกให้นะเพคะ”
นางดึงเข็มบนตัวของจี๋โม่หานออกแล้วเช็ดให้สะอาดก่อนจะเก็บเข็มใส่เข้ากระเป๋าเข็ม “เรียบร้อยแล้ว องค์ชายสาม ท่านลุกขึ้นเถิด หม่อมฉันจะให้หลิงชวนมาเปลี่ยนน้ำแล้วดำเนินการรักษาขั้นที่สอง”
จี๋โม่หานไม่ขยับ
ซูิเยว่ยืนรออยู่ข้างถังน้ำอยู่นาน คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยเร่งอีกรอบก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าที่จี๋โม่หานไม่ลุกขึ้นมา คงไม่ใช่เพราะครึ่งล่างไม่ได้สวมกางเกงหรอกนะ
พอคิดเช่นนี้ ซูิเยว่ก็รู้สึกว่ากกหูเริ่มร้อนขึ้นมา นางหมุนตัวไปอย่างเขินอาย “องค์ชายสาม หม่อมฉันหันหลังให้แล้ว ท่านลุกขึ้นได้แล้ว”
มุมปากของจี๋โม่หานยกขึ้นเล็กน้อย เขารู้ว่าซูิเยว่เข้าใจผิดเสียแล้วจึงหันหน้าไปทางที่ซูิเยว่อยู่ ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช่เปิ่นหวังไม่คิดจะลุก แต่ขาของเปิ่นหวังไม่สะดวกจะลุกขึ้น รบกวนคุณหนูซูพยุงขึ้นหน่อยเถิด”
ซูิเยว่หมุนตัวมากอดอกยืนอยู่ข้างถังน้ำก่อนจะมองพิจารณาจี๋โม่หานจากบนลงล่างรอบหนึ่ง เมื่อครู่นางคิดว่าจี๋โม่หานไม่ได้สวมเสื้อผ้า ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าจี๋โม่หานนั้นคิดจะเล่นแง่
ซูิเยว่เลิกคิ้วขึ้นพูดออกมาตามความจริง “ที่นี่ไม่มีคนอื่นนะเพคะ เหตุใดองค์ชายสามต้องมาเสแสร้งกับหม่อมฉันด้วย?”
“หืม?” จี๋โม่หานขมวดคิ้ว “เปิ่นหวังไม่เข้าใจว่าคุณหนูซูพูดอะไร?”
ซูิเยว่ถอนหายใจน้อยๆ “หม่อมฉันรู้วิชาแพทย์ องค์ชายสามคิดว่าจะหลอกหม่อมฉันได้หรือ? องค์ชายสามไม่ต้องหลอกหม่อมฉันแล้ว”
พอนางพูดจบ สองมือของจี๋โม่หานก็ยันที่ขอบอ่าง จากนั้นเสียงน้ำก็ดังซ่าตามการลุกขึ้นของเขา
เขายืนไวเกินไปจนซูิเยว่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ภายในชั่ววินาทีนางก็ยกมือมาปิดตา แต่เพราะปิดแค่ครึ่งเดียว นางถึงได้รู้ว่าจี๋โม่หานสวมกางเกงตัวกลางเอาไว้จึงรีบเอามือลง
ซูิเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อย สายตามองจี๋โม่หานที่ยืนอยู่ในอ่างด้วยความตกตะลึง แม้นางจะรู้ความจริงอยู่ก่อนแล้วว่าขาของจี๋โม่หานไม่ได้พิการ
นางััถึงชีพจรที่ส่วนขาได้ ปกติแล้วคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นมาหลายสิบปี กล้ามเนื้อครึ่งล่างจะลีบและหดตัวเข้าหากันจนเหลือแค่กระดูก แต่จี๋โม่หานไม่ได้เป็แบบนั้นเลยสักนิด
จี๋โม่หานเปลือยท่อนบนยืนอยู่ในถังน้ำ น้ำโอสถสีดำไหลบนแผ่นอกขาวมันวาวราวกับกระเบื้องขาวของเขา ปกติแล้วซูิเยว่เห็นเขานั่งอยู่ตลอดจึงไม่รู้เลยว่า พอจี๋โม่หานยืนขึ้นมาจะสูงกว่านางสอง่หัว
จี๋โม่หานยกมุมปากขึ้นแล้วก้าวออกมาจากถังน้ำ เขาเดินเท้าเปล่ามาหยิบชุดตัวบนที่วางอยู่ด้านข้าง แต่การสวมครั้งนี้ก็เหมือนไม่ได้สวม เพียงครู่เดียวน้ำที่อยู่บนตัวก็ทำให้เสื้อเปียกจนแนบเนื้อ
ซูิเยว่ไม่รู้ตัวว่ากำลังมองอะไรอยู่ จนกระทั่งจี๋โม่หานเดินมายืนตรงหน้านาง เงาพาดทับลงมาตรงหน้า พอได้สติกลับมาก็มองคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที
“เ้ากำลังกลัวอะไร?” จี๋โม่หานก้มหน้าลง เสียงแหบของเขาแฝงไปด้วยแรงดึงดูดรุนแรงจนแทบจะเอาชีวิตไปได้เลย
ใบหน้าของซูิเยว่ปรากฏความว้าวุ่นเล็กน้อย หากไม่ใช่ว่านางวางใจกับวิชาแพทย์ของตัวเอง นางก็ไม่มีทางเชื่อว่าคนคนนี้ตาบอดจริงๆ
“ไม่ ไม่มีอะไรเพคะ” ซูิเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบนิ่ง “หม่อมฉันกำลังคิดว่า ขาขององค์ชายสามก็ไม่ได้หัก เหตุใดถึงต้องหลอกคนทั้งโลกด้วยเพคะ?”
“ใช่หรือ” จี๋โม่หานเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ซูิเยว่นั่งก่อนหน้านี้ เขาพูดเสียงเรียบ “ไม่ใช่หรอก ขาของเปิ่นหวังเคยหักมาก่อน ส่วนเหตุใดถึงหักนั้นจะไม่พูดถึงแล้วกัน ก็เหมือนกับคุณหนูซูนั้นแหละ ทั้งๆ ที่รู้วิชาแพทย์ แต่กลับไม่พูดออกมา”
ซูิเยว่มองจี๋โม่หานอย่างทำอะไรไม่ถูก นางอ้าปากน้อยๆ จู่ๆ ก็เข้าใจอะไรขึ้นมาเล็กน้อย จี๋โม่หานคือคนในราชวงศ์
ราชวงศ์น่ะ เวิ่นจิ่นหยาง ฮ่องเต้ในตอนนี้เลอะเลือนไร้ความสามารถ ส่วนจี๋โม่หานองค์ชายสามในตอนนั้นกลับเป็เทพาที่มีความกล้าหาญถนัดในการรบ มีความกล้า มีแผนการ หากตอนแรกจี๋โม่หานไม่ขาหักไป ตำแหน่งฮ่องเต้จะไปตกที่เวิ่นจิ่นหยางได้อย่างไร
เมื่อเข้าใจถึงปัญหาพวกนี้แล้ว ซูิเยว่ก็เหมือนจะรู้ความลับที่ราชวงศ์ไม่สามารถบอกใครได้ ถึงจี๋โม่หานในตอนนี้จะไม่ถามถึงราชสำนัก ถึงแม้ขาจะหายดีแล้วก็ไม่อาจบอกใครได้ คงเป็เพราะมีเหตุผลเช่นนี้ซ่อนอยู่ข้างใน
ซูิเยว่ไม่ได้พูดอะไรอีก นางเดินออกมาเรียกให้หลิงชวนเข้ามาเปลี่ยนยา ตอนที่หลิงชวนเข้ามาเห็นจี๋โม่หานนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ชะงักไปก่อนจะมองไปทางซูิเยว่ เขาเอ่ยปากถามอย่างลังเล “องค์ชายสาม ขาของท่าน.....”
ที่จี๋โม่หานไม่ได้เรียกเขาเข้ามานั้นหมายความว่าเขาออกจากถังน้ำด้วยตัวเอง แต่เื่ที่ขาขององค์ชายสามไม่เป็อะไรก็มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้
จี๋โม่หานโบกมือ พูดเสียงเรียบ “ไม่เป็ไร”
ซูิเยว่เองก็พยักหน้า “วางใจเถิด ข้าไม่พูดออกไปหรอก”
หลิงชวนมองซูิเยว่อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมาอย่างจริงใจ “ขอบคุณขอรับ”
ต่อมาหลังจากเปลี่ยนยาแล้ว ซูิเยว่ก็ฝังเข็มให้จี๋โม่หานอีกครั้ง หลังจากฝังเข็มครั้งสุดท้ายเสร็จก็ดึงเข็มออก ที่ปลายเข็มยังมีสีดำติดออกมาเล็กน้อย
“นี่คืออะไรหรือ?” หลิงชวนที่ยืนอยู่ด้านข้างถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
เมื่อครู่หลังจากเปลี่ยนยาแล้วซูิเยว่ก็ให้หลิงชวนอยู่ด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกกระอักกระอ่วน
ซูิเยว่ใช้ผ้ามาเช็ดสีดำที่ปลายเข็มออกจนสะอาด น้ำเสียงที่ตอบแฝงความดีใจ “นี่คือพิษที่อยู่ในดวงตาขององค์ชายสาม หากออกมาได้ก็หมายความว่าอาการเริ่มจะดีขึ้นแล้ว”
“จริงหรือขอรับ?” หลิงชวนได้ยินเช่นนี้ น้ำเสียงก็พลันตื่นเต้นขึ้นมาหลายส่วน “เช่นนั้นนานเท่าไหร่ถึงจะหายหรือขอรับ?”
จี๋โม่หานเองก็หันไปทางซูิเยว่ ดวงตาของเขาบอดมาหลายสิบปี ั้แ่อดีตจนถึงตอนนี้หาหมอมาหลายร้อยคนเพื่อมาตรวจดูอาการ แต่ก็ไม่มีใครรักษาได้ เขาคิดไม่ถึงว่าซูิเยว่จะมีวิธีการรักษาดวงตาของเขา
“อย่ารีบร้อนไป” ซูิเยว่เก็บเข็มใส่ในกระเป๋าเข็ม
“ดวงตาขององค์ชายสามถูกพิษกัดกินเป็เวลานาน ตอนนี้ส่งผลกระทบต่อเส้นเืรอบดวงตา ตอนนี้ข้ากำจัดพิษรอบดวงตาออกก่อน ซึ่งจะต้องค่อยๆ ทำ ยังต้องใช้เวลานานมาก”
“ไม่เป็ไร” จี๋โม่หานที่นั่งพิงเก้าอี้พูดขึ้นเสียงเรียบ เขาตาบอดมาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจเวลาพวกนี้
ตอนที่ซูิเยว่ออกมาจากจวนองค์ชายสามก็เป็หลิงชวนที่มาส่งนางกลับไปยังโรงเตี๊ยมเยว่เจียงก่อนหน้านี้ ซึ่งมีเสี่ยวอวี่รออยู่ที่นั่น
“คุณหนู เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?”