เสียงของซูฉางอันดังก้องอยู่ภายในตำหนักที่เงียบสงัด
องค์จักรพรรดิไม่ได้ตรัสอะไรเพียงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเป็จังหวะเบาๆ พลางมองมายังซูฉางอันด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความกลั่นแกล้ง
ซูฉางอันมีเหงื่อออกมากยิ่งกว่าเดิมเขาพยายามเลี่ยงสายตาขององค์จักรพรรดิโดยสัญชาตญาณแต่เพียงไม่นานก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าการกระทำของตนไม่ถูกต้อง เหตุนี้จึงกลั้นใจหันกลับมาสบตากับองค์มหาจักรพรรดิในที่สุด
บรรยากาศภายในตำหนักไท่เหอน่าอึดอัดจนเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
“ดี!” เป็เวลานานกว่าองค์จักรพรรดิจะะโออกมาแล้วยกแก้วสุราในมือขึ้นอีกครั้ง
“แด่ยอดนักดาบมั่วทิงอวี่!” เขากล่าวเช่นนั้นแล้วยกแก้วในมือขึ้นมากระดกจนหมด
“แด่มั่วทิงอวี่!” ขุนนางทั้งหลายะโตามหลัง
“อืม มั่วทิงอวี่เลือกทายาทให้สำนักเทียนหลานได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” องค์จักรพรรดิพูดเป็นัยจากนั้นก็ปรายตามองมาที่ซูฉางอันอีกครั้ง จากนั้นจึงเบี่ยงสายตาไปยังตู้หงฉางที่คุกเข่าตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ
“เ้าเป็บุตรของตู้เหว่ย เทพนักรบแห่งแผ่นดินงั้นรึ? ” องค์จักรพรรดิถามออกมา
อาจเป็เพราะความหวาดกลัวที่มีต่อองค์จักรพรรดิซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่อาจควบคุมทำให้ตู้หงฉางสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นรอบดวงตาของเขาแดงและบวมไปหมด ดูราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
“ข้าน้อยเองพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดเช่นนั้น น้ำเสียงฟังดูเศร้าซึมดูท่าคงยังทำใจกับการจากไปของบิดาไม่ได้เช่นนั้นเอง
“ตู้เหว่ย...” น้ำเสียงขององค์จักรพรรดิเศร้าซึมลงเช่นกัน“เขาติดตามข้ามาสามสิบกว่าปี ข้าเห็นว่าเขาทำาที่ดินแดนตะวันตกมานานสร้างผลงานไว้มาก และเหน็ดเหนื่อยมามากเช่นกันเดิมทีที่ข้าเรียกตัวเขากลับเมืองหลวงเพราะ้าให้เขาได้อยู่อย่างสุขสบายแต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะไปเจอโจรโฉด และสิ้นชีพลงที่เมืองหลานหลิงเช่นนี้นี่เป็ความผิดของข้าแท้ๆ ” องค์จักรพรรดิพูดไปพลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าด้วยท่าทางเศร้าโศกราวจะหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ฝ่าา โปรดอย่าได้ทุกข์โศกไปเลยพ่ะย่ะค่ะการได้ตายในาเพื่อแผ่นดินต้าเว่ย เป็ความตั้งใจสูงสุดของท่านพ่อ หากลองคิดดูแล้วบัดนี้ ท่านคงได้สมปรารถนา ตายตาหลับแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” ตู้หงฉางรีบก้มกราบลงบนพื้นดินน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยฟังดูจริงจัง ไม่เหมือนกำลังพูดโกหก ทว่าดวงตาบนใบหน้าที่ก้มต่ำกลับทอประกายรังสีอำมหิตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตู้หงฉางเป็คุณชายจอมเสเพลเอาแต่เถลไถลไปวันๆและพึ่งอำนาจจากทางบ้าน รวมไปถึงพร์ที่ติดตัวมาั้แ่เกิดรังแกดูถูกคนอื่นไปวันๆเช่นนั้นตอนนี้ ตู้หงฉางตรงหน้าก็เป็คนใหม่ที่สลัดนิสัยเ่าั้ทิ้งไปจนหมดแล้ว
เขาเริ่มเก็บความคิดและความรู้สึกเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่แสดงออกมาทางสีหน้าเหมือนแต่ก่อน เริ่มรู้จักการพูดตามกาลเทศะพูดในสิ่งที่สมควรกับผู้ที่สมควร และเรียนรู้ที่จะก้มหัวที่เคยเชิดสูงลงเพราะเื่ราวที่เกิดขึ้นหลังตู้เหว่ยจากไปทำให้เขาได้เข้าใจว่า หากบุตรแห่งเทพนักรบที่สูญเสียบิดาไปเช่นเขาอยากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันที่เต็มไปด้วยเสือร้ายและจิ้งจอกเ้าเล่ห์ต่อไปเขาก็จำต้องพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นแข็งแกร่งจนกลายเป็หนึ่งในเสือร้ายภายในเมืองให้ได้ ทว่าก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้นเขาต้องเรียนรู้ที่จะอ่อนโยนราวกับแกะตัวน้อยต้องเป็แกะที่ไม่มีพิษมีภัยกับใครให้ได้เสียก่อน เขาเข้าใจกฎข้อนี้ดีแต่ซูฉางอันกลับไม่...
องค์จักรพรรดิพอใจกับการกระทำของเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็อย่างมากแม้สิ่งที่เขาทำจะยังดีไม่พอ แม้ดวงตาคู่นั้นยังมีรังสีอำมหิตที่ไม่ควรจะมีแฝงอยู่แต่อย่างน้อยเขาก็มีคุณสมบัติที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันต่อไปได้แล้ว
“พวกเ้าทั้งสองคน คนหนึ่งเป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่อีกคนเป็บุตรของเทพนักรบแห่งแผ่นดินถือเป็ทายาทของบุคคลที่จงรักภักดีต่อชาติด้วยกันทั้งคู่ นอกจากนี้พวกเ้ายังหนุ่มยังแน่น มีพลังแข็งแกร่งไม่ธรรมดาทั้งยังสร้างผลงานใหญ่ที่เมืองหลานหลิง ข้ารู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก”
“พวกเ้าสองคนจะได้รับการแต่งตั้งจากข้า!” องค์จักรพรรดิตรัสเช่นนั้น
“ตู้หงฉาง นับแต่วันนี้เป็ต้นไป ข้าขอแต่งตั้งให้เ้าเป็ปั๋วเจว๋[1]มีฉายาว่าหลิงเลี่ยป๋อ และให้ทายาทสืบตำแหน่งนี้ต่อไปได้อีกสามรุ่นให้ที่ดินสามร้อยหมู่[2] และทองคำอีกพันตำลึง!”
“ซูฉางอัน นับแต่วันนี้เป็ต้นไปข้าขอแต่งตั้งให้เ้าเป็ปั๋วเจว๋ มีฉายาว่าพลดาบโลหิต และให้ทายาทสืบทอดตำแหน่งนี้ต่อไปได้อีกสามรุ่นให้ที่ดินสามร้อยหมู่ และทองคำอีกพันตำลึง!”
ทันทีที่สิ้นเสียง นอกจากรู้สึกเกินคาดเล็กน้อยซูฉางอันก็ไม่รู้สึกใดๆ อีก เขาไม่สนใจเื่ตำแหน่งและชนชั้นมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเขามองว่าของเช่นนี้เป็เพียงสิ่งที่จับต้องไม่ได้เป็เพียงชื่อที่ไร้ความหมายเท่านั้น ซึ่งนอกจากเอามาข่มจี้เต้าตอนทะเลาะกันตำแหน่งเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อื่นอีก
ทว่าตู้หงฉางเห็นต่างออกไป บิดาของเขาเป็เทพนักรบ แต่เขาไม่ใช่เมื่อบิดาจากไป หากจะพูดให้น่าฟังขึ้นมาหน่อยเขาคือทายาทของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน แต่หากพูดแบบไม่น่าฟังเขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากสามัญชนธรรมดา ทั้งยิ่งไปกว่านั้นสามัญชนธรรมดาเช่นเขายังมีคนจ้องจะเล่นงาน กล่าวคือมีขุนนางที่เคยผิดใจกับบิดาตามซ้ำอยู่ด้วยแค่คิดก็รู้แล้วว่าอนาคตเขาจะเป็เช่นไร และแม้ตำแหน่งปั๋วเจว๋จะไม่ใช่ตำแหน่งที่สูงส่งหรือมีอำนาจใหญ่โตอะไรแต่อย่างน้อยก็ถือเป็การแสดงเจตจำนงขององค์จักรพรรดิ เจตจำนงที่อยากจะปกป้องเขา
และตำแหน่งที่ได้รับในตอนนี้ แม้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเขาให้ดีขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่มันก็เป็สิ่งที่สำคัญมากในการใช้ชีวิตต่อไปในเมืองฉางอันของเขาตู้ฉางหงประกายความดีอกดีใจขึ้นทางสีหน้าแต่เพียงไม่นานเขาก็ข่มความรู้สึกเ่าั้ลงไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขากับซูฉางอันก็ก้มกราบลงบนพื้น “ขอบพระทัยฝ่าา!”
“อืม ออกไปเถอะ ต่อไปก็พยายามฝึกฝนเข้าละจะได้มาช่วยพัฒนาแผ่นดินต้าเว่ยได้ในเร็ววัน!” องค์จักรพรรดิพยักหน้าพลางกล่าวเช่นนั้น
ทั้งสองพยักหน้ารับ จากนั้นก็ถอยกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง
เพียงไม่นาน ขันทีคนหนึ่งเดินเร็วๆมาจากตำหนักชั้นนอกขณะก้มหน้าลงต่ำ จากนั้นก็คุกเข่าลงในจุดที่อยู่ห่างจากองค์จักรพรรดิราวสิบฟุตแล้วกล่าวขึ้น “ทูลฝ่าา แม่ทัพเป่ยทงเสวียนแห่งซีเหลียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ตำหนักชั้นในเริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นคนบางพวกเริ่มพากันกระซิบกระซาบ วิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว
เป่ยทงเสวียน
เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน คนมากมายในที่แห่งนี้ต่างไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเพราะแม้ว่าเขามีผลงานทางาที่ซีเหลียงอยู่มาก แต่อย่างไรเสีย เขายังเป็เพียงคนด้อยอำนาจที่คำพูดไร้น้ำหนักผู้หนึ่งเท่านั้นทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับทำให้ขุนนางทั้งหลายตระหนักได้ว่าบางที ในอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะมาถึงชายผู้นี้อาจกลายเป็มหาอำนาจที่ควบคุมดินแดนในซีเหลียงเอาไว้ก็ได้
วินาทีที่ได้ยินชื่อนั้น ร่างของหรูเยี่ยนก็สั่นสะท้านขึ้นเช่นกัน นางเงยหน้าขึ้นทอดมองออกไปนอกตำหนักด้วยหัวใจที่กระสับกระส่าย
นางรู้ดีว่าในที่สุด เกมพนันที่มีทั้งชีวิตของนางเป็เดิมพัน ใกล้พบกับบทสรุปแล้ว
องค์จักรพรรดิประกายรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงตรัสขึ้นดังนี้ “รีบเชิญเขาเข้ามาเร็ว!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นดินขานรับจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน แล้วะโออกไปด้านนอก“เชิญแม่ทัพเป่ยทงเสวียนจากซีเหลียงเข้าเฝ้าฝ่าา!”
ตึกตักๆ!
เสียงบูตหนังกระทบกับพื้นดังขึ้นในเวลาต่อมา ดึงดูดความสนใจของผู้คนภายในตำหนักหันไปมองตามเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งในชุดเกราะสีดำก้าวเข้ามาภายในตำหนักอย่างเชื่องช้า
เส้นผมสลวยถูกมัดรวบสูงเป็ระเบียบเรียบร้อย ทั้งถูกปักด้วยปิ่นหยกแท่งหนึ่งเขามีรูปโฉมสง่างาม แลดูหล่อเหลาเหลือเกิน ดวงตาแฝงไปด้วยแววความอ่อนโยนและอบอุ่นริมฝีปากเป็สีแดงระเรื่อราวเ้าของเพิ่งดื่มเืสดมาก็ไม่ปาน เมื่อร่างนั้นเดินผ่านไปที่ใดกลิ่นคาวเืพลันลอยกระจายไปด้วยเสมอ
เขาเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าองค์จักรพรรดิโดยไม่เหลียวมองไปทางอื่นเลยแม้แต่ครู่เดียว จากนั้น บุรุษร่างสูงคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นก้มหน้าลงต่ำ พลางกล่าวขึ้น “กระหม่อมมาสาย ขอฝ่าาได้โปรดลงโทษด้วย!”
“ฮ่าๆ!” ใบหน้าขององค์จักรพรรดิหาได้มีประกายแววขุ่นเคืองออกมาเลยแม้แต่น้อยเขาะเิเสียงหัวเราะขึ้น ก่อนจะตอบกลับมา “ระหว่างเดินทางกลับ ท่านแม่ทัพยังไม่วายช่วยกำจัดกลุ่มโจรของแผ่นดินนับเป็การสร้างผลงานครั้งใหญ่ แล้วท่านจะมีโทษได้อย่างไรกัน รีบลุกขึ้นเถิด”
“น้อมรับบัญชา” เป่ยทงเสวียนบอกเช่นนั้นแล้วลุกยืนอีกครั้งเขายืนตรงตระหง่าน ยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวเป็รูปปั้นก็ไม่ปาน
“ท่านแม่ทัพ เมื่อหลายวันก่อนข้าได้รับรายงานมาว่าท่านนำขบวนทหารม้าห้าร้อยนายเข้าลอบโจมตีทัพหลังของแม่ทัพฮูเหยียนโจ่ซึ่งเป็ยอดแม่ทัพแห่งเผ่าหมาน จนแก้วิกฤตในเมืองหลายหยุนลงได้ เป็จริงหรือไม่?” องค์จักรพรรดิรินเหล้าจนเต็มแก้ว แล้วมองไปยังเป่ยทงเสวียน
“เป็จริงเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เป่ยทงเสวียนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะกำลังกล่าว เขาเพียงยืนตัวตรงแล้วมองตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทางนิ่งเรียบไม่ได้มีท่าทีผยองหรือโอ้อวดผลงานเลยสักนิด
“ดีมาก!” ทว่าองค์จักรพรรดิกลับแลดูชอบใจเหลือเกินเขาตบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง พลางกล่าวขึ้น “เป็วีรบุรุษั้แ่อายุยังน้อย! แม่ทัพเป่ยน่าจะยังมีอายุไม่เกินสามสิบปีเท่านั้นแต่กลับกล้าหาญชาญชัย สมควรได้รับรางวัล”
ที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่องค์จักรพรรดิกล่าวชื่นชมเช่นนี้หรือจะพูดอีกทีก็คือ มหาจักรพรรดิแทบจะไม่เคยกล่าวชมใครขนาดนี้มาก่อนเลย ตามจริงนี่ควรจะเป็เื่ที่น่ายินดีเป็อย่างยิ่ง ทว่าไม่อาจทำให้สีหน้าของเป่ยทงเสวียนเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยเขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ ด้วยท่าทางราบเรียบเท่านั้น “ฝ่าากล่าวชมกันเกินไปกระหม่อมมิบังอาจ”
“ท่านแม่ทัพ อย่าถ่อมตัวไปเลยขอข้าคิดก่อนว่าควรจะประทานรางวัลใดแก่เ้าดี?” พูดไปพลาง องค์จักรพรรดิทิ้งตัวลงไปนั่งบนบัลลังก์อีกครั้งแล้วลูบเคราพลางทำท่าครุ่นคิดไปด้วย แลดูเคร่งเครียดเป็อย่างมาก
“ฝ่าา” ทันใดนั้น ซือหม่าสวี่ลุกยืนขึ้น แล้วเดินออกมาจากที่นั่งพลางประสานมือคารวะ ก้มหน้าลงต่ำ “ฝ่าาทรงลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ จิตแห่งนักรบแม่ทัพตู้เหว่ย หนึ่งในเทพนักรบของแผ่นดินเพิ่งสละชีพเพื่อแผ่นดินไปทำให้ตำแหน่งเทพนักรบทั้งยี่สิบสี่ของแผ่นดิน เหลือว่างอีกหนึ่งตำแหน่ง”
เมื่อสิ้นเสียง คนทั้งตำหนักต่างสะดุ้งใไปตามๆ กัน
ตำแหน่งเทพนักรบแห่งแผ่นดินเป็ตำแหน่งที่ทรงเกียรติมาก เทพนักรบทุกท่านล้วนแต่เป็แม่ทัพที่ผ่านความเป็ความตายในสนามรบมานานนับสิบๆปีด้วยกันทั้งสิ้น ทว่าเป่ยทงเสวียนคนนี้ แม้จะมีชื่อเสียงและผลงานอยู่บ้างแต่นั่นก็เทียบกับแม่ทัพท่านอื่นๆ ที่เสี่ยงเป็เสี่ยงตายในสนามรบมานานนับสิบปีไม่ได้แม้เพียงน้อย
เมื่อตู้เหว่ยตาย มีคนตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่จ้องตำแหน่งนี้อยู่แล้วเช่นนี้ มีหรือจะปล่อยให้เด็กหนุ่มที่โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้แย่งโอกาสไปง่ายๆทว่าผู้ที่พูดเสนอในครั้งนี้เป็ซือหม่าสวี่เสียนี่แม้ผู้คนมากมายในตำหนักจะรู้สึกไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ได้แต่ลังเลไม่กล้าพูดคัดค้านอะไร
“หืม?” องค์จักรพรรดิเลิกคิ้วเขายืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง แล้วจ้องไปยังชายชราด้วยดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยรังสีที่น่าสยดสยองทว่าชายชรากลับทำราวกับมองไม่เห็น ยังคงก้มหน้าลงต่ำในท่าคารวะต่อไป
“ทุกท่านคิดเห็นเช่นไรบ้าง?”
เสียงทรงพลังราวกับเสียงคำรามจากสายฟ้าขององค์จักรพรรดิดังขึ้น ทำให้ตำหนักไท่เหอที่เคยเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบเพราะคำเสนอของซือหม่าสวี่เงียบลงในพริบตา
เหล่าขุนนางภายในตำหนักพากันก้มหน้าลงต่ำแน่นอนว่าพวกเขาไม่พอใจในสิ่งที่ซือหม่าสวี่เสนอออกมา เพียงแต่ไม่กล้าพูดคัดค้านซือหม่าสวี่จึงพากันเงียบเสียงลงโดยไม่ได้นัดหมายเช่นนี้นั่นเอง
ความเงียบสงัดที่น่าพิศวงนี้เกิดขึ้นเพียงไม่ถึงยี่สิบอึดใจเท่านั้น
เพราะเพียงไม่นานเสียงหนึ่งก็ดังทำลายความเงียบงันภายในตำหนักไท่เหอ
เป็เสียงของชายหนุ่มในชุดขาวคนหนึ่ง
ขอบตาของเขายังมีสีแดง และดวงตาก็ยังมีอาการบวมอยู่ ที่แขนมีผ้าสีดำพันรอบไว้
ในแผ่นดินต้าเว่ย การพันผ้าเช่นนี้เป็เครื่องหมายว่าบุพการีหรือผู้ใหญ่ในบ้านเพิ่งล่วงลับไปนั่นเอง
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหยุดอยู่กลางตำหนักที่เบื้องหน้าองค์จักรพรรดิจากนั้นประสานมือเข้าด้วยกันเป็การคารวะ แล้วก้มหน้าพลางกล่าวขึ้น “ฝ่าากระหม่อมมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ทราบว่าควรจะพูดดีหรือไม่”
องค์จักรพรรดิหรี่ตาลง ขณะที่มุมปากกลับถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เป็ไร พูดมาเถอะ” เขาบอกแบบนั้น
ทางด้านชายหนุ่มที่ก้มหน้าลงต่ำ เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาที่หรี่เล็กของเขาพลันปรากฏประกายแสงอันแสนคมเฉียบออกมา
“แม่ทัพเป่ยสร้างผลงานใหญ่ได้หลายครั้งจึงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แม้จะเป็แม่ทัพที่เก่งเื่บุ๋นมากกว่าแต่แม่ทัพเป่ยก็มีความกล้าหาญชาญชัยเหนือใคร แม้จะมีประสบการณ์น้อยไปเสียหน่อยแต่เมื่อครั้งที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เคยบอกกับกระหม่อมอยู่บ่อยครั้งว่าแม่ทัพเป่ยเก่งเื่การวางแผนทำศึกได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่ท่านพ่อก็รู้สึกยกย่องในตัวเขา”
“แม้ยามนี้ แผ่นดินต้าเว่ยจะสงบสุขทั้งยังเจริญรุ่งเรืองแต่ที่ทิศเหนือมีเผ่าปีศาจ ทิศใต้ยังมีเผ่าหมานอีก เรียกได้ว่ามีศัตรูอยู่รอบด้านเลยทีเดียวเื่การป้องกันในแถบชายแดนจึงถือเป็เื่สำคัญที่ไม่อาจชะล่าใจได้ และในตอนนี้แม้ท่านพ่อจะจากโลกไปแล้วแต่จะปล่อยให้ตำแหน่งเทพนักรบของแผ่นดินว่างเช่นนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด และในตอนนี้คนที่มีคุณสมบัติมากพอจะรับตำแหน่งอันแสนสำคัญนี้ ก็คงจะมีเพียงแม่ทัพเป่ยแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”
.................................
[1] ลำดับขั้นของตำแหน่งที่เป็บรมวงศานุวงศ์เรียงจากระดับสูงไปต่ำได้แก่ กง (กงเจว๋) โหว(โหวเจว๋) ปั๋ว(ปั๋วเจว๋)จื่อ(จื่อเจว๋) หนาน(หนานเจว๋)
[2] 1 หมู่ = 666.6 ตารางเมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้