วันที่สอง โหยวเสี่ยวโม่และศิษย์คนอื่นๆ ได้ออกไปเรือนหญ้าเซียนกันหมดแล้ว
ความสัมพันธ์ของโหยวเสี่ยวโม่กับคนอื่นไม่ดีมากแต่ก็ไม่แย่ ปกติเจอกันเพียงแค่ทักทาย จึงไม่สนิทกับพวกเขามากนัก
พวกเขาต่างรู้ถึงสถานะของตัวเอง เพราะว่าคุณสมบัติไม่ดี ทั้งยังเข้ามาทีหลัง ฉะนั้นจึงมีกิเลสในใจ รุ่งสางมาถึงก็รีบไปหาศิษย์พี่ที่าุโเพื่อประจบประแจงหวังผลประโยชน์
โหยวเสี่ยวโม่มาถึงคนสุดท้าย
คนที่สอนยังคงเป็ศิษย์พี่ใหญ่ฟางเฉินเล่อ เพราะประทับใจในตัวโหยวเสี่ยวโม่ เวลาเห็นเขา ก็ก้มหน้าส่งยิ้มให้ ไม่ได้เอ่ยติเขาแต่อย่างใด
กลับกันกับในบรรดาศิษย์ที่ต้องรอเขาเพียงคนเดียว จากที่สีหน้าไม่ค่อยพอใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้กล่าวโทษเขา ก็ยิ่งเพิ่มพูนความหมั่นไส้
โหยวเสี่ยวโม่มัวแต่หน้าแดงที่มาสาย ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตสีหน้าไม่พอใจจากคนในชั้นเรียน เป็เพราะเขาอ่านหนังสือจะดึกดื่น วันนี้เลยตื่นสาย
เมื่อนั่งลง ฟางเฉินเล่อก็เริ่มบรรยายเนื้อหา
งานหลักของนักหลอมโอสถคือการหลอมยา แต่ใช่ว่าจะหลอมก็หลอมได้เลย แต่การหลอมยายังต้องใช้สื่อกลางที่จำเป็ที่สุด นั่นก็คือพลังแห่งปราณิญญาที่มีสีเท่านั้น ฉะนั้นความสำเร็จขั้นแรกในการเป็นักหลอมโอสถก็คือการกระตุ้นพลังปราณิญญา
พลังปราณิญญานั้นต้องกระตุ้นอย่างไรง นั่นคือประเด็นหลักที่ฟางเฉินเล่อจะพูดถึงในวันนี้
“การกระตุ้นพลังแห่งปราณิญญานั้นมีความอันตรายของมัน แต่ไม่รุนแรงนัก ขอแค่ทุกคนทำตามขั้นตอนที่ข้าบอก ก็จะไม่มีปัญหาแน่นอน”
ฟางเฉินเล่อเอ่ย ต่อด้วยแจกจ่ายหญ้าเซียนให้กับทุกคนคนละต้น จากนั้นอธิบายต่อ
“ในตอนนี้ที่ถืออยู่ในมือพวกเ้า เป็หญ้าเซียนขั้นสองชนิดหนึ่งชื่อว่า หญ้าจิติญญา ไม่เหมือนกับหญ้าเซียนทั่วไป ประโยชน์สูงสุดของมันไม่ใช่ไว้หลอมยา หากแต่เป็การกระตุ้นพลังแห่งปราณิญญา ตอนนี้พวกเ้าจงเด็ดยอดใบที่อ่อนที่สุด และกลืนลงไป ซึมซับพลังของยา จากนั้นจะรู้สึกเ็ปเล็กน้อย แต่ว่าอดทนนิดหน่อยก็ผ่านไปแล้วล่ะนะ”
พูดจบ ทุกคนจีบรีบกลืนหญ้าดวงจิตลงท้อง
รวมถึงโหยวเสี่ยวโม่ด้วย เขาค่อยๆ เด็ดยอดใบอ่อน จากนั้นใส่ปาก…
สิบห้านาทีผ่านไป ร่างกายของโหยวเสี่ยวโม่ตื่นตัว เหงื่อซึมท่วมหัว หลังเปียกชุ่ม ประหนึ่งว่าพึ่งขึ้นมาจากน้ำ สมองพลันคิดแวบแรกที่ว่า โดนเล่นงานจนได้
ในที่สุดเขาก็รับรู้คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ที่ว่า เ็ปเล็กน้อย แต่หาใช่เล็กน้อยไม่ นี่มันเจ็บปางตายเลยนี่นา แทบจะกลั้นใจตาย โชคดีที่ทนมาได้
เหลือบมองคนอื่น ถึงแม้จะผ่านมาได้ บางคนก็สภาพแย่กว่าเขาอีก ตัวอ่อนปวกเปียก
“ดูท่าทุกคนจะผ่านมาได้แล้วนะ ยินดีกับพวกเ้าที่ก้าวเข้าสู่ประตูการเป็นักหลอมโอสถเต็มตัว” ฟางเฉินเล่อมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสายตาโอดครวญใดๆ
ถึงจะรู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่ทำเกินไป แต่ไม่มีใครกล้าปริปากสักคน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ต่อจากนี้พวกข้าสามารถฝึกฝนการหลอมยาได้หรือยัง” โหยวเสี่ยวโม่รวบรวมสติถาม
“ในเมื่อพวกเ้ากระตุ้นพลังแห่งปราณิญญาแล้ว ย่อมทำได้ แต่ว่าข้าต้องพูดให้กระจ่างก่อน” ฟางเฉินเล่อเห็นเขาฟื้นคืนสภาวะเป็คนแรก ผงกหัวรับอย่างพอใจ
ทุกคนที่ฟังก็หูตั้งขึ้นมา
ฟางเฉินเล่อเอ่ย “คาบเรียนเมื่อวาน ข้าได้บอกพวกเ้าไปแล้ว หญ้าเซียนขั้นหนึ่งเป็ขั้นต่ำสุดในหญ้าเซียนทั้งหมด ฉะนั้นสามารถหาได้จากทุกหนแห่ง ด้วยเหตุนี้พวกเ้าสามารถหยิบใช้หญ้าเซียนขั้นหนึ่งได้เลย ไม่ว่าจะเท่าไร แต่หญ้าเซียนขั้นสองขึ้นไปนั้น ทัพพิภพจะอิงตามสถานการณ์ของพวกเ้า และแจกจ่ายให้ในแต่ละเดือนตามกำหนด”
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าการจำกัดปริมาณนี้ถึงแม้จะช่วยประหยัด แต่ก็ซ่อนช่องโหว่ไว้มากอยู่ ไม่ทันได้ถาม ศิษย์คนอื่นก็โพล่งถามขึ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าหญ้าเซียนหมดแล้ว ต้องทำอย่างไรเล่า”
“ถ้าหากอยากได้เพิ่มก็ต้องแลกเปลี่ยน การแลกเปลี่ยนมีสองวิธี หนึ่งคือใช้แรงงานพวกเ้าแลกกับแต้มการทำความดี จากนั้นจะอิงจากแต้มของเ้าเพื่อแลกหญ้าเซียน ยกตัวอย่างคือ ทำความสะอาดโรงอาหาร เรืองหญ้าเซียน หรือช่วยศิษย์ลุงดูแลสวนอะไรเทือกนี้” ฟางเฉินเล่อเอ่ยพร้อมยิ้ม
เมื่อฟังเขาอธิบายจบ ทุกคนต่างเหลียวซ้ายแลขวามองกันไปมา คิดไม่ถึงว่าจะเป็เช่นนี้ กว่าจะเข้าสำนักเทียนซินได้ว่าลำบากแล้ว นี่ยังต้องทำงานใช้แรงงานอีก
กลับกันโหยวเสี่ยวโม่กลับเอ่ยอย่างฉงน “ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วอีกวิธีนึงล่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าฟางเฉินเล่อ “อีกวิธีก็คือ ลงเขาไปซื้อ ด้านล่างเขามีร้านค้าขายอยู่ ทว่าพวกเ้าต้องออกเงินเอง ในส่วนนี้ทางสำนักเทียนซินไม่ได้มีกฎเข้มงวดอะไร ศิษย์ทุกคนจึงสามารถลงเขาได้เดือนละสองครั้ง”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลายคนแอบโล่งใจ
มีแค่โหยวเสี่ยวโม่ที่สีหน้าเคร่งเครียด วิธีนี้มันใช้ไม่ได้เลยนี่นา เพราะเขาไม่มีเงิน ดูท่า เขามีภารกิจเพิ่มมาอีกอย่าง ซึ่งก็คือ หาเงิน!