หลังจากได้เห็นคนผู้นี้อย่างชัดเจนแล้ว...หัวใจที่มืดมนสิ้นหวังของกุ่ยเม่ยกลับพลันมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
“นางไม่ใช่หวางเฟย!” กุ่ยเม่ยถูกตีจนพูดไม่ชัด แต่น้ำเสียงของเขามั่นใจมาก
“อะไรนะ?” เล่อเทียนเงยหน้าขึ้นมองกุ่ยเม่ย
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าคนผู้นี้คือมู่จื่อหลิง แต่เดิมทีเขาคิดว่ากุ่ยเม่ยถูกบังคับให้พูดเช่นนี้เพราะหลงเซี่ยวเจ๋อทุบตีเขาจนเป็คนโง่
แต่เมื่อเห็นการแสดงออกที่มั่นใจของกุ่ยเม่ย เล่อเทียนรู้สึกว่าคำพูดของกุ่ยเม่ยไม่ได้ไร้สาระ เขาจึงถามอย่างสงสัย “เ้าแน่ใจหรือ?”
กุ่ยเม่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ใช่ คนผู้นี้ไม่ใช่หวางเฟยอย่างแน่นอน”
จู่ๆ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ฟื้นคืนสติจากบทสนทนาของพวกเขา
ดวงตาแดงก่ำของเขายังคงมีเปลวไฟที่ยังไม่มอดดับ เขาจ้องมองกุ่ยเม่ยอยู่ครู่หนึ่ง
แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะถูกทุบตี แต่นั่นเป็เพราะความ้าของเขาเอง เขาสมควรได้รับมัน แต่ในขณะนี้ กุ่ยเม่ยยังคงหวาดกลัวการจ้องมองที่ดุร้ายของหลงเซี่ยวเจ๋ออยู่เล็กน้อย เขาจึงไม่กล้าที่จะรอช้าแม้เพียงนิด
“เมื่อวานนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายในถ้ำศพ หวางเฟยจึงทาสีดำทั่วทั้งตัว รวมทั้งใบหน้าและมือด้วย ต้องใช้เวลาเจ็ดวันในการกำจัดมัน”
ยามพูด กุ่ยเม่ยก็ย่อกายลง ใช้ฝักกระบี่ยกมือของศพซึ่งเกือบจะปกคลุมด้วยเสื้อผ้าสีดำขึ้นมา เผยให้เห็นมือที่เปื้อนเืแต่ยังมีสีขาวกระจ่าง
เขาแตะมุมปากที่เจ็บของตน พูดต่อด้วยความเ็ป “...แม้ว่าเสื้อผ้าของคนผู้นี้จะถูกย้อมด้วยสีดำ จนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน แต่มือของนางนั้นขาวราวกับหยก นี่ไม่ใช่มือดำของหวางเฟยเป็แน่ นอกจากนี้เมื่อดูที่คอของนาง ยังสามารถมองเห็นสีผิวได้ ดังนั้นคนผู้นี้จึงไม่ใช่หวางเฟย”
เนื่องจากมู่จื่อหลิงมักจะทำสิ่งที่ไม่คาดคิด ดังนั้นการที่นางทาตัวให้ดำคล้ำเพื่อปกปิดตัวตน ทั้งหลงเซี่ยวเจ๋อและเล่อเทียนล้วนเชื่อโดยไม่มีเหตุผล
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สงสัยในคำพูดของกุ่ยเม่ย
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ไม่มีใครรู้ เพียงเพราะคำพูดของกุ่ยเม่ย หลงเซี่ยวเจ๋อที่รู้สึกว่ายามนี้เขาอยู่ในนรกขุมที่น่ากลัว ได้ถูกดึงกลับมาในทันที
ความรู้สึกที่ได้เห็นดวงอาทิตย์อีกครั้งในทันใดนั้นสุดจะพรรณนาได้!
หลงเซี่ยวเจ๋อจับกุ่ยเม่ยขึ้นมาจากพื้นอีกครั้ง กัดฟันพูด “เ้าคนเลินเล่อ รู้เช่นนี้แล้วเหตุใดไม่พูดให้เร็วกว่านี้? เ้า...” รู้ไหมว่าเมื่อครู่ข้าเกือบตาย
ประโยคสุดท้ายหลงเซี่ยวเจ๋อคำรามเพียงในใจ
์ทราบดี เดิมทีหัวใจของเขาตื่นกลัวล่องลอยไปไกลเพียงใด ตลอดทางจากจวนฉีอ๋องมาถึงที่นี่ หัวใจดวงนั้นร่วงหล่นครั้งแล้วครั้งเล่า กลัวว่าหากตกลงมาอีกครั้ง เขาคงจะขาดอากาศหายใจ
กุ่ยเม่ยผู้น่าสงสารคิดว่าหลังคำพูดสุดท้ายของหลงเซี่ยวเจ๋อที่กล่าวว่า ‘เ้า’ หยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา คำต่อไปคงจะแสดงออกด้วยการกระทำอีกครั้ง เขากำลังจะทุบตีตน
ผ่านไปครู่หนึ่ง กุ่ยเม่ยคิดกับตัวเองว่า ยามนี้ได้รับการยืนยันว่าหวางเฟยยังมีชีวิตอยู่ เขายังต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตามหาหวางเฟย หากเขาถูกซ้อมจนตายเช่นนี้ จะไม่ได้พบหวางเฟยอีก ถึงตายก็ตายตาไม่หลับ!
ดังนั้นคราวนี้เมื่อหลงเซี่ยวเจ๋อคว้าตัวเขาไว้ กุ่ยเม่ยจึงยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ใช้มือของเขาปิดกั้นเหมือนเป็ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
ใครจะคิด หลงเซี่ยวเจ๋อที่พูดด้วยความโกรธ กลับผลักเขาออกไป
หลังจากได้ยินคำพูดของกุ่ยเม่ย ความสงสัยในส่วนลึกที่สุดในหัวใจของเล่อเทียนซึ่งเขาไม่เคยกล้าัั สิ่งนั้นราวกับก้อนหินที่ถ่วงไว้ช้านานในที่สุดมันก็คลายออก
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขาบีบรัดตลอดเวลา ยามนี้ทำให้เขามีเวลาพักหายใจสักนิด
ตราบใดที่ไม่ใช่มู่จื่อหลิงก็หมายความว่ายังมีความหวังว่านางยังมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตามปัญหาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
คนผู้นี้ไม่ใช่มู่จื่อหลิง เช่นนั้นเหตุใดมีดผ่าตัดและถุงมือของนางจึงปรากฏที่นี่
เล่อเทียนยืนขึ้นลูบคางของตนอย่างครุ่นคิด โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาแสดงคำถามในใจแล้ว
ในขณะนั้น หลังจากที่ยืนยันว่าศพนั้นไม่ใช่ศพของมู่จื่อหลิง ความสงสัยของเล่อเทียนก็เกิดขึ้น เมื่อเขาคิดกับตัวเอง หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน
กุ่ยเม่ยขมวดคิ้ว “คะ คนผู้นี้ถูกหวางเฟยสังหารใช่ไหม?”
แม้หลงเซี่ยวเจ๋อจะ ‘ฟื้นคืนชีพ’ แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่ยังหามู่จื่อหลิงไม่พบ
แต่ยามนี้หลงเซี่ยวเจ๋อไม่เสียสติเหมือนก่อนหน้า สมองยังแจ่มใส เขารับรู้ได้ในทันที
หลงเซี่ยวเจ๋อะโใส่พวกเขาโดยไม่คิดแม้แต่น้อย “แน่ชัดถึงเพียงนี้ ยังต้องเดาอะไรอีก? พวกเ้าลองสังเกตศพเสียโฉมนี้อีกครั้ง นางถูกหั่นเป็ชิ้นๆ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าพี่สะใภ้เป็คนทำ”
เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยใกับการพึมพำขึ้นอย่างกะทันหันของหลงเซี่ยวเจ๋อ
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดมองไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นาง?” เล่อเทียนถามอย่างงงงวย
หลงเซี่ยวเจ๋อเหล่ตาเล็กน้อย กำหมัดแน่น พูดด้วยใบหน้าแน่วแน่ “ดูสิ...เป็วิธีที่ดีในการแสดงความเย่อหยิ่ง เ้าเล่ห์ ต้องเป็พี่สะใภ้สามแน่”
วิธีที่ดีในการแสดงความเย่อหยิ่ง?
เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยมองศพอีกครั้ง
จากนั้นพวกเขาก็หลบสายตาไปอย่างเงียบๆ...
ทั้งสองมีความเข้าใจกันโดยปริยาย
หากมู่จื่อหลิงเป็คนทำจริงๆ เช่นนั้นนี่ก็เป็สิ่งที่ทรงอำนาจต่อจิตใจของพวกเขาอย่างแท้จริง
หากไม่เป็เช่นนั้น คนที่ทำสิ่งนี้ก็ต้องเป็คนบ้า นั่นเป็เหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงโหดร้ายกับหญิงผู้นี้ได้ถึงเพียงนี้
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อ เล่อเทียนก็ย่อตัวลงอีกครั้ง ยื่นมือออกมาบีบกระดูกของศพ มันแข็ง แข็งแรงมาก
เขาขมวดคิ้ว สรุปทันที “คนผู้นี้มีวรยุทธ์!”
“มีวรยุทธ์?” แววตาของกุ่ยเม่ยมีร่องรอยของความสยองขวัญ “เป็ไปไม่ได้ที่หวางเฟยจะสังหารนาง ต้องรู้ว่าหวางเฟยไม่แม้แต่จะ...”
โดยไม่คาดคิด บทสนทนาชวนสยองยังไม่จบ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ยื่นมือออกมาตบหน้าผากเขาอย่างแรง “จะเป็ไปไม่ได้ได้อย่างไร มีวรยุทธ์แล้วอย่างไร พี่สะใภ้สามของข้าฉลาดยิ่ง ด้วยมันสมองของนาง ย่อมเพียงพอที่จะจัดการกับสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้”
ผ่านไปครู่หนึ่ง กุ่ยเม่ยก็สำลัก พูดไม่ออก!
เขายอมรับว่าหวางเฟยฉลาด แต่เมื่อเทียบกับพละกำลังของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าแผนการเ่าั้ยังไม่เพียงพอ ไม่ใช่หรือ?
ไม่เช่นนั้นทุกคนคงต้องฝึกสมอง เหตุใดยังต้องฝึกวรยุทธ์?
แน่นอนว่ากุ่ยเม่ยกล้าที่จะคิดคำเหล่านี้ในใจ แต่ภายนอกเขาตัดสินใจที่จะหุบปาก
หลงเซี่ยวเจ๋อเตะศพบนพื้นด้วยสีหน้ารังเกียจ แสงเย็นส่องประกายในดวงตา เขาวิเคราะห์ด้วยเหตุผลจากหลักฐานได้ความว่า “หญิงตายผู้นี้ต้องทำให้พี่สะใภ้สามขุ่นเคืองเป็แน่ จึงถูกพี่สะใภ้สามวางยาพิษ จากนั้นนางก็ถูกมีดเฉือนเนื้อออกทีละชิ้น นอกจากนี้...พี่สะใภ้สามของข้ากลัวความสกปรกเป็ที่สุด นางจึงต้องสวมถุงมือเมื่อทำสิ่งที่เปื้อนเืเช่นนี้”
เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยตกตะลึงกับเหตุผลที่ชัดเจนของหลงเซี่ยวเจ๋อ
ต้องกล่าวว่าเหตุผลของหลงเซี่ยวเจ๋อนั้นเหมือนจะมีความไร้สาระภายในตรรกะใช่หรือไม่นะ? แต่เขากลับไม่ไร้เดียงสา พูดตรงๆ นี่มันเหมือนนิสัยของฉีหวางเฟยจริงๆ
จากนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อจึงมองไปที่เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ย เหมือนมองคนงี่เง่าแล้วพูดต่อ “...ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีดและถุงมือของพี่สะใภ้สามจะปรากฏที่นี่ ไม่จำเป็ต้องเสียเวลาคาดเดาสิ่งนี้ จะเดาสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ?”
ในท้ายที่สุด หลงเซี่ยวเจ๋อยืนเอามือไพล่หลัง ด้วยท่าทางสงบ เขาสามารถมองทะลุความจริงได้อย่างง่ายดาย เขาเลิกคิ้ว “เ้าคิดว่ามันเป็แบบนี้หรือไม่?”
แม้ว่าจะไม่จำเป็ต้องถามในตอนท้าย แต่ดูเหมือนว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะยืนยันคำพูดของเขาแล้ว
ดังนั้นเขายังคง้าช่วยมู่จื่อหลิงระบายความโกรธ เขาจึงยกเท้าขึ้นเตะศพออกไปให้ไกล
แม้เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยจะไม่เชื่อ แต่สิ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดก็ไม่ใช่เื่ไร้เหตุผล
สิ่งที่เขาพูดทั้งมีเหตุผลและสมเหตุสมผล ดูเหมือนว่ามีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายได้
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในยามนี้แล้ว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเชื่อ
นอกจากนี้ ในที่สุดอันธพาลน้อยผู้นี้ก็ฟื้นคืนสติจากความเดือดดาลอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่นี้ หากพวกเขาทำลายสิ่งต่างๆ ลงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็การหาเื่ใส่ตัว
ดังนั้นเล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยจึงมองหน้ากัน
จากนั้นพวกเขาก็พยักหน้าแสดงการยอมรับอย่างชาญฉลาด!
หลังจากเตะศพแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็ส่ายขา ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าของเขาหากมืดคล้ำกว่านี้อีกหน่อยจะมีหยดน้ำไหลออกมาได้แล้ว “พี่สะใภ้สามสังหารคน ทั้งยังทำลายศพ ดังนั้นในยามนี้นางต้องตกอยู่ในอันตรายเป็แน่ เราต้องหานางให้เจอโดยเร็ว!”
หากมู่จื่อหลิงได้ยินว่าหลงเซี่ยวเจ๋อเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับ ‘จิตใจที่เลวร้าย’ ของนาง ทั้งยังได้ยินว่าสมองของเขานั้นช่างเปิดกว้าง เพียงประโยคเหล่านี้ประโยคเดียว ไม่รู้ว่านางควรจะหดหู่หรือพูดไม่ออกดี
สิ่งเหล่านี้ใช่เื่ที่เข้าใจถ่องแท้ได้โดยง่ายหรือ? หรือเขาเป็พยาธิตัวกลมในท้องนาง!
ใครจะไปรู้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อสนใจแผนการของมู่จื่อหลิงเป็พิเศษ
ตราบใดที่มันเป็วิธีการที่โหดร้ายและน่าตื่นเต้น คนแรกที่หลงเซี่ยวเจ๋อนึกถึงก็คือมู่จื่อหลิง
แน่นอนว่านี่เป็สิ่งที่เชื่อมต่อมาจากประสบการณ์ส่วนตัว
ทันทีที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดจบ องครักษ์เงาที่ถูกส่งไปค้นหาอีกครั้งก็ส่งข่าวว่าพบศพหญิงหัวขาดอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
ศพหญิงหัวขาด?
ข่าวนี้ทำให้หัวใจของหลงเซี่ยวเจ๋อเต้นไม่เป็จังหวะ
แต่ด้วยบทเรียนที่ได้รับจากอดีต ความมุ่งมั่นที่จะอดทนต่อสถานการณ์นี้อีกครั้งย่อมดีกว่าก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนถามพร้อมกันว่า “คนผู้นั้นใส่ชุดสีอะไร ฝ่ามือเป็สีดำหรือไม่”
องครักษ์เงาไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด แต่เขาตอบตามจริง “ชุดสีเขียว ฝ่ามือสีขาว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสามก็ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน
—
พวกหลงเซี่ยวเจ๋อรีบไปยังจุดที่พบศพหญิงหัวขาดทันที
เมื่อพวกเขาเห็นศพเป็ครั้งแรก พวกเขายังคงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกและตัวสั่นเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ค่อนข้างยุ่งเหยิง มีร่องรอยการต่อสู้ ใบไม้เขียวชอุ่มเกลื่อนเต็มพื้น
กิ่งไม้และใบไม้เขียวชอุ่มในป่ากลายเป็โล่งเตียน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เคยถูกโจมตีด้วยะเิครั้งใหญ่
จุดที่ศพหญิงไร้ศีรษะนอนอยู่นั้นอยู่ในรูปของหลุมที่ล้อมรอบด้วยใบไม้ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ว่าสถานที่นี้เคยผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาก่อน
ยามเล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยเห็นคอที่ไหม้เกรียมสีดำคล้ำของศพหญิงไร้ศีรษะ พวกเขาก็เชื่อในสิ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดก่อนหน้านี้
กุ่ยเม่ยยังรู้แน่ชัดว่านี่เป็าแจากพิษของเสี่ยวไตกู
แม้ว่าศพหญิงสาวจะไม่กลายเป็เื แต่าแก็ดูน่ากลัว ทั้งเน่าและดำสนิท น่ากลัวยิ่งกว่าแอ่งเื
สำหรับภาพดังกล่าว ในความทรงจำกุ่ยเม่ยยังเป็สิ่งสดใหม่
ดังที่หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวไว้ ไม่จำเป็ต้องคิดเกี่ยวกับเื่นี้ ผู้หญิงสองคนที่ตายไปที่พวกเขาเห็นในยามนี้ล้วนเป็ผลงานชิ้นเอกของมู่จื่อหลิง
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ใยิ่งกว่าเดิม มู่จื่อหลิงหญิงสาวอ่อนแอจะรับมือกับสถานการณ์สั่นะเืใต้หล้าเช่นนี้ได้อย่างไร?
เล่อเทียนขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวลลึกๆ ฉายชัดในดวงตาของเขา “ดูเหมือนเสี่ยวหลิงเอ๋อร์จะถูกตามล่า อีกทั้งอีกฝ่ายไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองคน นางสามารถจัดการกับหนึ่งหรือสองคนได้ หากมีมากกว่านั้น นางผู้ไร้วรยุทธ์จะจัดการกับเื่นี้ได้อย่างไร?
ใครตามล่าหลิงเอ๋อร์? ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งถูกส่งมา? เล่อเทียนรู้สึกสับสน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร เขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้