Chapter 24
ณ โลกุ์ที่ที่เผ่าซาตานอาศัยอยู่ ตึกขนาดใหญ่สร้างจากหินสีเทาสูงเทียบเท่าวังป้อมปราการของาาตั้งโดดเด่นเป็สง่าอยู่ที่หัวมุมเมือง ที่แห่งนี้เก็บรวบรวมหนังสือตำราทุกภาษาที่ใช้ในโลกุ์ไว้มากมาย เป็ตึกทรงกลมสูงเหมือนหอคอย ชั้นหนังสือชิดติดผนังสูงจรดเพดาน เว้นไว้เพียงประตูทางเข้าออก และหน้าต่างทรงกลมสองบานที่้าสุดเท่านั้น
หอคอยแห่งนี้ไม่แบ่งชั้น เพียงเดินเข้ามาแล้วเงยหน้าขึ้นจะเห็นหลังคาอย่างง่ายดาย ตู้หนังสือสูงจรดเพดานไม่มีบันไดไว้สำหรับปีนหยิบหนังสือ เพราะถึงอย่างไรเหล่าซาตานก็บินขึ้นไปหยิบได้อยู่แล้ว
แซ็กคารีอยู่ท่ามกลางกองหนังสือรอบตัวในห้องสมุดของซาตานมาตลอดทั้งคืนจนฟ้าสว่าง เขานั่งบนโต๊ะไม้ตัวเดิม แล้วไล่สายตาอ่านอักขระเทพที่จารึกไว้บนหนังสือเล่มหนาฝุ่นเขลอะ แต่ยังไม่พบสิ่งที่เขา้า
ห้องสมุดซาตานไม่เคยมีผู้ใดเดินเข้ามานอกจากบรรณารักษ์ และแซ็กคารี เหล่าซาตานตนอื่น ๆ ไม่คิดว่าหนังสือพวกนี้มีประโยชน์อะไรกับตนเอง แซ็กคารีจึงครองทั้งหอคอยแห่งนี้ไว้เพียงผู้เดียวเมื่อบรรณารักษ์เลิกงานกลับบ้านไปเมื่อวาน
“แซ็กคารี เธอยังไม่กลับอีกเหรอ” เช้าวันใหม่มาถึง บรรณารักษ์ผมสั้นหยิกมาทำงานตามปกติ แต่ยังเห็นลูกชายของาาเผ่าซาตานนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะตัวเดิม ไม่ต่างจากเมื่อวานนี้ก่อนเธอเลิกงาน
แซ็กคารียกยิ้มบางเขินอาย เขายกมือนวดหัวตาแ่เบา มืออีกข้างปิดหนังสืออักขระเทพเล่มหนาที่ไม่ตอบคำถามคาใจของเขา
“บอกแล้วว่าผมชอบอยู่ที่นี่” วันนี้บรรณารักษ์ห้องสมุดซาตานยังคงสวมแว่นทรงกลมเมื่อกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์เหมือนกับเขา เบ้าตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นลึกเป็สีเข้ม ผิวของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีขาวซีดเป็สีน้ำตาลเข้มเงาสวย
“ถ้าทหารบุกเข้ามาตามตัวเธอที่นี่จะเป็เื่ใหญ่อีก”
แอชลีย์ไม่ชอบเสียงดังวุ่นวาย เธอจึงเหมาะกับงานบรรณารักษ์ที่สุด ทั้งสองพูดคุยอย่างสนิทสนม เพราะแอชลีย์เห็นแซ็กคารีมาั้แ่วัยเยาว์ที่เดินเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ด้วยดวงตาเป็ประกาย
แซ็กคารีเรียงหนังสือกระจัดกระจายบนโต๊ะไม้มารวมกันไว้เป็กองเดียว และผิวกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนสี สีแทนแดดกลายเป็สีขาวซีดนวล ร่างกายสูงใหญ่กำยำขึ้น เขางอกออกมาทั้งสองข้าง แล้วสยายปีกเป็อย่างสุดท้าย
ซาตานหนุ่มยกหนังสือเล่มหนาทั้งตั้งได้อย่างง่ายดาย แซ็กคารีค่อย ๆ หยิบสำรวจหนังสือทีละเล่ม นำไปวางคืนที่เดิมของมันตามป้ายระบุหมวดหมู่สีทองที่ติดอยู่บนชั้นหนังสือ
ห้องสมุดซาตานมีหนังสือมากมายจนเกือบเต็มทุกชั้น แซ็กคารีไล่หาบทลงโทษของเทพอารักษ์กฎในหนังสือกฎเทพทุก ๆ ข้อแล้วแต่ยังไม่พบข้อไหนกล่าวถึงการลงโทษให้เทพป่วยทรมาน และไอเป็เื
แซ็กคารีจึงไล่หาหนังสือหมวดอื่น ๆ เช่น พลังอำนาจของเทพแต่ละองค์ ที่เขาเคยอ่านจบเล่มั้แ่อายุเก้าขวบ หรือหนังสือคำสาปแช่งเทพที่เขียนเป็ภาษาของภูตผีก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะสาปแช่งเทพได้สำเร็จ คล้ายเขียนขึ้นเพื่อระบายความโกรธที่ภูตผีบางตนมีต่อเทพมากกว่า
หลังเก็บหนังสือที่ไล่อ่านมาตลอดทั้งคืนแต่ไม่ได้ข้อมูลอะไรกลับเข้าชั้น แซ็กคารีบินวนรอบหอคอยไม่ต่ำกว่าสิบรอบอย่างเชื่องช้า ลำคอซาตานหนุ่มเอียงเล็กน้อยเพื่ออ่านตัวอักษรหลากหลายภาษาที่สันปกหนังสือแต่ละเล่มบนชั้น
“ยังไม่เจอเหรอแซ็ก” แอชลีย์รู้จักแซ็กคารีดีว่ายามเขาอยู่กับหนังสือ เหมือนการเข้าไปในอีกโลกหนึ่งเพียงลำพัง และไม่ควรเอ่ยขัด แต่เธอมองลูกชายาาเผ่าซาตานบินวนรอบหอคอยจนเวียนหัวไปหมด
“ครับ ยังไม่เจอ”
แซ็กคารีบินร่อนลงต่ำจนเท้าเหยียบพื้นพรมลวดลายวิจิตร เขาถอนหายใจผิดหวัง แววตาเหนื่อยล้ายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ และกวาดมองสันหนังสือแต่ละเล่มบนชั้นต่อไป
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบถามนะ แต่ถ้าอยากรู้อะไร รู้ใช่ไหมว่าบรรณารักษ์รู้ทุกอย่าง”
ใคร ๆ ก็บอกว่าแซ็กคารีเป็เด็กอวดดี เพราะเขามักไม่ปริปากถามเื่ที่สงสัยหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมาั้แ่เด็ก การเติบโตมาพร้อมภาพซ้อนทับเป็ความทรงจำในชาติก่อนตอนที่อายุเท่ากันทำให้แซ็กคารีไม่ไว้ใจใคร หากไม่ใช่แม่นมชื่อว่าลิลลี่ที่เลี้ยงดูเขาเมื่อชาติก่อน
แซ็กคารีส่ายหน้าปฏิเสธความใจดีของแอชลีย์ทันที เขาหันหลังให้เธอ และเดินไปมองหนังสือใหม่เอี่ยมที่วางเรียงรายบนชั้นล่างสุด เป็หนังสือจากโลกมนุษย์ที่แอชลีย์หามา เพราะเธอชอบอ่านเล่นในยามบ่าย แน่นอนว่าในชั้นนี้คงไม่มีคำตอบเื่เทพให้เขา แซ็กคารีจึงเดินหาต่อไป
“โรคที่เกิดกับซาตานเหรอ ซาตานเป็โรคได้เหมือนมนุษย์เหรอครับ”
ชื่อหนังสือและสันปกสะดุดตาจนแซ็กคารีหยิบมันมาสำรวจ มันเขียนด้วยภาษาของซาตานซึ่งไม่แตกต่างจากอักขระเทพมากนัก เพราะรับอิทธิพลมา
“ลองเปิดอ่านดูสิ” บรรณารักษ์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ
แซ็กคารีเปิดหน้าหนึ่งในหนังสือดู เปิดผ่าน ๆ ต่อไปอีกสองสามหน้า ก่อนจะปิดหนังสือและวางเก็บที่เดิมทันที
“หนังสือหลอกเด็กนี่”
ภายในเล่มเป็ภาษาซาตานตัวใหญ่บ่งบอกว่าเป็หนังสือหัดอ่านสำหรับเด็ก ส่วนเนื้อหาในนั้นคือข้อความทำนองว่า หากซาตานไม่เชื่อฟังพ่อแม่ จะเป็โรคอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็ไปไม่ได้ เพราะตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ซาตานไม่เคยป่วยเป็โรคเหมือนกับมนุษย์ มีเพียงาเ็จากการต่อสู้ หรือไม่ก็อายุมากจนร่างกายเสื่อมโทรมและดวงจิตดับลงเท่านั้น
“โรคที่เกิดกับภูตผีก็ด้วยเหรอครับ ทำไมถึงมีหลายเล่มล่ะ”
แซ็กคารีหยิบหนังสือขนาดเดียวกันที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา เล่มนี้เขียนด้วยตัวอักษรขยุกขยิกของภูตผี แล้วยังมีอีกหลายเล่มวางเรียงต่อกัน มีชื่อกำกับว่าเป็ภาคต่อ
“พวกภูตผีมีหลายแบบ เล่าในเล่มเดียวไม่หมดหรอก”
“ทั้ง ๆ ที่เป็เื่หลอกเด็กแต่ก็เขียนมาได้ตั้งหลายเล่มเนี่ยนะครับ” แอชลีย์หัวเราะลั่นกับความคิดของแซ็กคารีจนต้องถอดแว่นออก
“ได้ผลดีมากในยุคหนึ่งเลยนะ ถ้าเธอเกิดยุคนั้น อืม… คงไม่รอด”
แซ็กคารียักไหล่ แล้วเก็บหนังสือวางที่เดิม เขารู้ประวัติศาสตร์แต่ละ่ยุคสมัยของซาตานดี เคยมียุคหนึ่งที่ซาตานมีลูกง่ายมากกว่าตอนนี้หลายเท่า แต่ไม่มีใครรู้จักวิธีการเลี้ยงซาตานเพิ่งเกิดยังไม่เติบโตเป็ผู้ใหญ่ เมื่อเด็กยุคนั้นไม่เชื่อฟังพ่อแม่จะได้รับบทลงโทษรุนแรงไม่ต่างกับนักโทษ ั้แ่นั้นมาเทพแห่งการกำเนิดจึงสาปแช่งชนเผ่าซาตานให้มีลูกยากกว่าเดิม ประชากรซาตานจึงลดน้อยลง
ดีแล้วที่แซ็กคารีเกิดในยุคนี้ ไม่อย่างนั้นซาตานผู้ไม่เคยฟังคำสั่งของใครมาั้แ่เด็กอย่างเขาอาจถูกฆ่าตายก่อนได้เติบโต
และเขาจำได้ดีว่าเมื่อ 115 ปี ก่อน มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งถูกลงโทษโดยคนในครอบครัวเพราะขัดคำสั่ง
เด็กคนนั้นคือ เอเดน กริฟฟิน
แซ็กคารีอยู่ในห้องสมุดต่อจนถึงบ่าย แอชลีย์งีบหลับพร้อมหนังสือนิยายรักจากโลกมนุษย์ในมือ ดวงตาสีเฮเซลมองเธอเงียบ ๆ สลับก้มมองกองหนังสือตรงหน้าที่ไม่มีเล่มไหนเอ่ยว่าเทพสามารถป่วยได้เลย และถอนหายใจผิดหวัง
มือใหญ่ที่ควบคุมน้ำหนักไม่ได้เผลอปิดหนังสือปกแข็งเล่มหนาจนเกิดเสียงดัง บรรณารักษ์จึงสะดุ้งตื่น รีบคว้าแว่นกรอบกลมมาสวมและกวาดตาหาที่มาของเสียง
“ยังไม่ไปอีกเหรอ”
ราวกับภาพเดิมเมื่อตอนเช้าฉายซ้ำอีกครั้ง แซ็กคารียิ้มบาง ๆ และส่ายหน้าตอบ รวบหนังสือเป็กองเดียวแล้วบินขึ้นไปเก็บหนังสือตามชั้นในหอคอย
แอชลีย์เริ่มสงสัยใคร่รู้ว่าอะไรทำให้แซ็กคารีไม่ยอมแพ้เช่นนี้ เธอทนความอยากรู้ของตัวเองไม่ได้อีก ราวริมฝีปากคันยุบยิบอยากพูดอะไรสักอย่าง พร้อมความคาดหวังว่าครั้งนี้แซ็กคารีจะยอมตอบ
“ถามจริง ๆ เถอะ” เธอถอดแว่นสายตา เงยหน้ามองลูกชายาาเผ่าซาตานที่กำลังเก็บหนังสือใส่ชั้น
“หาอะไรอยู่เหรอแซ็ก ฉันไม่ช่วยเธอก็ได้ แค่เห็นว่าเธอตั้งใจหามากจนฉันอยากรู้แล้ว”
แซ็กคารีบินลงมายืนตรงข้ามโต๊ะทำงานของบรรณารักษ์ พร้อมหนังสือการพิจารณาโทษของเทพในมือ ซาตานหนุ่มยกยิ้ม ยักคิ้วขึ้นจนเห็นรอยย่นตื้น ๆ ที่หน้าผากระหว่างใช้ความคิดเรียบเรียงคำถามออกมาเป็คำพูดที่เข้าใจง่ายที่สุด
“ผมแค่สงสัยว่า… มีบทลงโทษอะไรที่ทำให้เทพเจ็บป่วยอ่อนแรงได้บ้างหรือเปล่าครับ”
เขาเปิดหนังสือรวบรวมการพิจารณาโทษของเทพในคดีใหญ่ผิดกฎเทพร้ายแรง หนังสือเล่มนี้บอกละเอียดทั้งบทสนทนาในห้องพิจารณาโทษ และชื่อของเทพทุกองค์ที่อยู่ในห้องนั้น เขียนโดยซาตานผู้รับใช้เทพอารักษ์กฎ ผู้เขียนจึงจดจำได้ทุกรายละเอียด
“เทพเจ็บป่วยเหรอ” แอชลีย์ขมวดคิ้วและทวนคำถามอีกครั้ง
“ใช่ครับ เล่มนี้รวบรวมไว้จาก 5,000 ปีก่อน คงเก่าเกินไป” แซ็กคารีปิดหนังสือ
“ถ้าผมอยากได้บันทึกการพิจารณาโทษของเทพใน่ร้อยปี ผมต้องไปขอเทพอารักษ์กฎเหรอครับ หรือว่า… มีหนังสือที่อธิบายเื่การใช้พลังอำนาจของเทพหลอกลวงเหยื่อหรือเปล่า”
คำถามแรกแอชลีย์ยังฟังไม่ทันแตกฉาน คำถามที่สองและสามจากแซ็กคารีก็พุ่งเข้าใส่ ยิ่งทำให้บรรณารักษ์สับสน
“เดี๋ยวก่อน เทพเจ็บป่วยที่เธอหมายถึง คือป่วยแบบไหน” เทพเป็ะ หากร่างกายาเ็จะฟื้นฟูกลับมาใหม่ในเวลารวดเร็ว ความเจ็บป่วยของเทพจึงขัดแย้งกับความะ
“หมายถึง… ไอเป็เื” แซ็กคารีนึกย้อนภาพของเทพโจไซอา
“มีแต่เืเต็มไปหมด หนาวสั่นทั้ง ๆ ที่รอบตัวกำลังอุ่น ร่างกายดูไร้เรี่ยวแรงเหมือนเป็มนุษย์มากกว่าจะเป็เทพ ตัวผอม ผิวซีด” เขาบรรยายตามความทรงจำที่จดจำอย่างละเอียด และรีบปิดปากหยุดพูดเมื่อเผลอบรรยายละเอียดเกินไปจนกลัวแอชลีย์รู้ว่าหมายถึงเทพโจไซอา
ริมฝีปากอิ่มหนาของเธอยกยิ้มเมื่อนึกออก ผิวกายสีน้ำตาลเข้มงดงามของเธอเปลี่ยนเป็สีขาวนวล สยายปีกสีเดียวกัน เธอบินขึ้นสูงถึงชั้นบนสุดชิดหลังคาหอคอย แล้วหยิบหนังสือปกแข็งสีครีมเล่มบางออกมา แซ็กคารีจำได้ว่าชั้นตรงนั้นเป็หนังสือหมวดหมู่ ‘ความรัก’
“คำตอบของเธออยู่ในนี้” ถึงปากของแอชลีย์บอกว่าจะไม่ช่วย แต่ความเป็บรรณารักษ์ทำให้พ่ายแพ้และหยิบคำตอบมาส่งให้ถึงมือผู้ถาม
“โรครักระทม ทำไมผมไม่เคยเห็นเล่มนี้เลย”
“ซาตานอย่างเธอน่ะ แค่เห็นคำว่ารักก็บินหนีแล้ว รู้ตัวไหมแซ็ก”
แอชลีย์รู้นิสัยของเขาดีจนแซ็กคารีเถียงไม่ออก เขาเอ่ยขอบคุณพร้อมก้มหัวให้บรรณารักษ์ และนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ห่างจากมุมโต๊ะทำงานของแอชลีย์ แล้วเปิดหนังสือเล่มบางเขียนด้วยอักขระเทพ แต่กลับใช้หมึกสีดำพิมพ์ลงในกระดาษสีอมเหลืองแบบวิธีการของมนุษย์
โรครักระทม
แค่ฟังชื่อก็ชวนให้หดหู่ แค่หวนนึกถึงสาเหตุของโรคก็ชวนให้เ็ป ผมคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายปี จนตัดสินใจเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมตั้งใจเขียนด้วยหมึกพิมพ์แบบมนุษย์ แต่ใช้อักขระเทพ เพราะเทพเป็ผู้้าหนังสือเล่มนี้มากที่สุด ยามพวกท่านถูกมนุษย์ปฏิเสธรัก
โรครักระทม เกิดทันทีหลังจากเทพหลงรักมนุษย์คนใด และมนุษย์ผู้นั้นไม่รักตอบ
อาการของโรค หากเทพคลุกคลีกับเหล่ามนุษย์จนตกหลุมรักพวกเขา จะรู้ว่ามนุษย์มีกลไกของโรคภัยไข้เจ็บที่ทำให้อายุขัยสั้นลง ยามเทพเป็โรครักระทม ไม่ต่างกับมนุษย์ป่วยโรคต่าง ๆ ผมตัวร้อนแต่หนาวสั่น เ็ปหัวใจที่บีบรัดแน่นไม่คลายออก หัวใจของผมไม่เต้นมาหกสิบปี ร่างกายก็เปลี่ยนไปเป็ซูบผอมราวศพเดินได้ ผมเจ็บทุกก้าวเดินจนนอนนิ่งบนเตียงหลายปี
เทพเป็ะ ความทรมานของโรครักระทมจึงไม่สิ้นสุดอย่างน้อยสิบปี ถึงอยากตายก็ตายไม่ได้ ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ต่อไป
วิธีการรักษามีเพียงหนึ่งเดียว คือการรอให้หมดรัก ส่วนใหญ่มักหายไปในสิบปี แต่ผมยังคงทรมานจนเข้าปีที่หกสิบหก
โรครักระทมจะหายไปตามความรู้สึกของเทพ หากเทพยังมีความรักตุ่์ผู้นั้นไม่จางหายมากกว่าหนึ่งร้อยปี
จากเทพผู้เป็ะ จะกลายเป็ฝุ่นผงสีทองสลายหายไปตลอดกาล
เนื้อหาต่อจากนั้นเป็บันทึกประจำวันของเทพผู้เขียน เล่าความเ็ปทุกข์ทรมานและคร่ำครวญถึงหญิงผู้เป็ที่รัก ซึ่งเทพใจสลายมากกว่าเดิมเมื่อเธอตายด้วยโรคชรา อาการทุก ๆ อย่างในหนังสือเล่มนี้ตรงกับอาการของโจไซอาทั้งหมด ทั้งไอเป็เื บางครั้งก็อาเจียนเป็เื ทั้งเืกำเดา ทั้งความอ่อนแอไร้ทางสู้แม้เป็เทพก็ตาม
เวลาผ่านไปจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เกือบครบหนึ่งวันที่แซ็กคารีอยู่ในห้องสมุดเพื่อหาคำตอบเื่อาการเจ็บป่วยของโจไซอา เขาเปิดมาจนถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มบาง ซาตานหนุ่มพรูลมหายใจ เขาโล่งอกขึ้นเมื่อได้รู้คำตอบที่สงสัยมานาน
แต่เกิดคำถามใหม่หลังจากนั้น
โรครักระทม เกิดทันทีหลังจากเทพหลงรักมนุษย์คนใด และมนุษย์ผู้นั้นไม่รักตอบ
“ฉันเป็คนรักของเธอเมื่อชาติก่อน”
เขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เทพโจไซอาเอ่ยเป็เื่จริง ในเมื่อเขาจำอะไรไม่ได้เลย
มือซาตานััความหนาของกระดาษแข็งปกหลังที่มากกว่าปกหน้า เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ขัดจังหวะความใคร่รู้ก่อนหน้านี้จนเื่เก่าจางหายไปในอากาศ มีรอยกรีดที่ปกหลัง ดวงตาสีเฮเซลจึงมองแอชลีย์ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังงีบหลับอยู่ จึงใช้ปลายนิ้วสะกิดรอยกรีดนั้นให้แยกออกจากกัน
มีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่ในกระดาษหุ้มจั่วปัง แซ็กคารีดึงมันออกมา กระดาษเก่ามีรอยจุดสีน้ำตาลแผ่นนี้ดูใหม่กว่าหนังสือ เขาคาดเดาว่าคงมีผู้นำมันมาใส่ใน่หนึ่งร้อยหรือสองร้อยปีมานี้ แซ็กคารีกำลังพลิกกระดาษดูอีกด้าน แต่เสียงนาฬิกาปลุกของแอชลีย์ดังขึ้น เขาจึงรีบเก็บมันกลับที่เดิม และปิดหนังสือ
“ได้เวลาเลิกงานแล้วละ” แอชลีย์บิดตัวไปมาพร้อมอ้าปากหาว เธอหันมามองแซ็กคารีด้วยแววตางัวเงีย
“ใช่อย่างที่เธอ้าไหม”
“ไม่มั่นใจเท่าไหร่ครับ ผมขอยืมกลับไปอ่านอีกที”
“ได้ เอาไปสิ” แซ็กคารีโกหกได้แเีจนเธอไม่คิดสงสัย บรรณารักษ์ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หลังทำงาน เดินมาหาแซ็กคารีที่โต๊ะอีกมุมหนึ่งในหอคอย มือใหญ่จึงต้องกางออกปกปิดมุมกระดาษที่โผล่ออกมาเพราะเขาไม่ทันซ่อนมันไว้ดี ๆ
“เธอคือคนโปรดของฉันนะแซ็ก น้อยนักที่ซาตานจะมาห้องสมุด เพราะคิดว่าความสามารถในการจดจำเปล่าประโยชน์ แต่เลือกไปใช้แรงงานด้วยพละกำลังแทน”
“พละกำลังเห็นผลเร็วกว่าความรู้ที่จำได้ละมั้งครับ”
“ฉันคิดว่ามันมีเหตุผลนะที่ซาตานจำอดีตชาติได้ เราจะมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งยังไงละ เราไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นใหม่เพราะความทรงจำหายไป แต่เราจะรู้ว่าเราเคยทำมาแล้ว”
“ผมเห็นด้วยนะครับ” แซ็กคารีไม่มีสติฟังคำพูดของแอชลีย์มากนัก เขาร้อนรนอยากรีบกลับไปเปิดกระดาษแผ่นนั้นดูมากกว่า
“การมีประสบการณ์เพิ่มอีกเท่า เป็เื่ดีนะแซ็ก แต่ว่า…” แววตาของเธอจริงจังมากกว่าเดิม เขาจึงปลีกตัวกลับไม่ได้
“แต่อะไรครับ”
“ให้มันเป็แค่ประสบการณ์ อย่ายึดติดกับอดีตชาติมากเกินไป”
แซ็กคารีคือซาตานที่หมกมุ่นกับอดีตชาติของตนเองมากกว่าซาตานตนไหนที่แอชลีย์เคยรู้จัก ซาตานหนุ่มตนนี้มีแต่ความสงสัย ความใคร่รู้อยู่ในหัวเต็มไปหมด และใช้เวลาตลอดชีวิตพร้อมความทรงจำในอดีตชาติในการหาคำตอบสิ่งที่อยากรู้
แซ็กคารียกยิ้มก้มหน้ามองฝ่ามือเถียงอะไรไม่ออก เขาตัดสินใจลุกขึ้นยืนเพื่อรีบกลับไปั้แ่ตอนนี้ แซ็กคารีไม่รับปากว่าจะทำอย่างที่แอชลีย์บอก เพราะเขามั่นใจว่าตนเองไม่สามารถตัดขาดปัจจุบันกับชีวิตของเอเดน กริฟฟินได้ ไม่เหมือนซาตานตนอื่น ๆ ที่เพียงแค่รับรู้อดีตชาติและไม่ได้สนใจมันมากนัก
“ผมกลับนะครับ ขอบคุณมากที่หาหนังสือให้ผม”
“หน้าที่ของฉันอยู่แล้ว”
แซ็กคารีเดินออกจากหอคอย สยายปีกบินขึ้นยามท้องฟ้าเป็สีน้ำเงินเข้ม เขาถือหนังสือไว้ในมือแน่น บินสูงขึ้น สูงขึ้น และหายตัวไปในอากาศ ปรากฏกายในกลุ่มหมอกเหนือคฤหาสน์กริฟฟิน เขาบินต่ำลงอย่างระมัดระวัง และถึงที่หมายซึ่งเป็กระท่อมเล็ก ๆ ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับแซ็กคารี
เมื่อเปิดหลอดไฟที่ต่อสายกับแบตเตอรี่เองจนมันสว่าง แซ็กคารีในร่างมนุษย์เปิดหนังสือหน้าสุดท้าย พลิกกระดาษแผ่นนั้นดูด้วยหัวใจเต้นแรง ตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนเป็ลายมือด้วยหมึกสีดำ
โจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณี
มีอำนาจเยียวยารักษาผ่านการัั จุมพิต หรือการร่วมหลับนอน
เทพองค์เดียวที่สามารถรักษาโรครักระทมของเทพให้หายขาดผ่านการร่วมหลับนอน
“ให้ฉันทำอะไรให้อีกล่ะ”
ไฮเดน เทพแห่งการแปลงกาย หรือเทพขี้เมาที่แซ็กคารีเรียก เอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นแซ็กคารีปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านในเมืองเทพ
ไฮเดนเป็เทพองค์เดียวที่แซ็กคารีรู้จัก และไม่อยากรู้จักไปพร้อม ๆ กันเพราะการพูดจายียวนกวนประสาท แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไฮเดนยินดีช่วยเหลือแซ็กคารีเสมอ และคือเทพเพียงองค์เดียวที่แซ็กคารีขอร้องให้ช่วย
“แปลงกาย” แซ็กคารีอยู่ในร่างมนุษย์ นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้บุบวมในบ้านหลังใหญ่ของเทพแห่งการแปลงกาย ดวงตาสีเฮเซลเหม่อล่องลอยจนไฮเดนโบกมือตรงหน้าหลาย ๆ ครั้ง แต่ยังคงเหม่อเช่นเดิม
“ดื่มก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง”
ไฮเดนยัดแก้วใสทรงสั้นบรรจุเหล้าที่หมักเองในโลกของเทพใส่มือแซ็กคารี เพียงแค่ยกแก้วใกล้จมูก กลิ่นที่ตีขึ้นมาก็ทำให้แซ็กคารีเบ้ปากย่นจมูกไม่ชอบใจ แต่กลับเป็เหล้าที่ไฮเดนดื่มเรื่อย ๆ ได้ทั้งวัน สมฉายาเทพขี้เมาที่แซ็กคารีตั้งให้
ไฮเดนเป็เทพหล่อเหลารูปงาม ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาเป็ประกายแพรวพราว เป็ที่หมายปองของเทพองค์อื่นรวมถึงมนุษย์ แต่ไฮเดนเดินทางผ่านประตูเชื่อมโลกไม่บ่อยมากนัก เพราะชอบอยู่ในเมืองเทพมากกว่า
แซ็กคารีชอบมาขอร้องให้ไฮเดนช่วยแปลงกายให้ พลังอำนาจของไฮเดนมีประโยชน์กับเขายาม้าสืบหาคำตอบ วันนี้เขามีสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำ หลังชั่งใจมานานหลายเดือน
“ท่านรู้จัก… โรครักระทมหรือเปล่า” เหล้ารสแรงยิ่งกว่าเหล้าในโลกมนุษย์เป็แรงผลักชั้นยอดให้ซาตานอย่างแซ็กคารีเผลอเอ่ยคำถามนี้ออกไป
“อืม เคยได้ยิน”
“มันเป็ยังไง”
“อกหักจากมนุษย์ ได้ยินว่าทำให้เทพตายได้เลย ท่านแม่เคยเอามาขู่ฉันตอนเด็ก ๆ นี่แหละมั้ง เหตุผลที่ฉันไม่อยากไปโลกมนุษย์บ่อย ๆ”
“ความรักมันเกิดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ รู้ทั้งรู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ยังจะรัก” เสียงทุ้มยานคางพูดเบาราวบ่นกับตนเอง
“ที่พวกมนุษย์พูดกันไว้ไง ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แล้วความรักเกิดขึ้นในคืนเดียวยังได้”
ประโยคสุดท้ายทำให้หัวใจของแซ็กคารีแทบหยุดเต้น เพราะนำความทรงจำ่ท้ายของชีวิตเอเดนก่อนตายกลับมาฉายซ้ำชัดเจน เป็เื่ราวที่เอเดนเก็บเป็ความลับ แซ็กคารีจึงเก็บความทรงจำนี้เป็ความลับเช่นกัน
“จะแปลงกายเป็อะไร ว่ามาเลย ฉันพร้อมแล้ว” ไฮเดนบิดคอซ้ายขวา หลังอุ่นเครื่องด้วยเหล้าสองสามแก้วทั้งที่ไม่จำเป็
“มนุษย์ที่ดูเป็มิตร ไม่อันตราย”
“มนุษย์เดี๋ยวนี้แม้แต่เด็กกับคนแก่ก็อันตราย”
“หมายถึงหน้าตาต่างหาก เป็ผู้หญิงก็ได้ แบบที่เด็กเห็นแล้วจะไม่ร้องไห้น่ะ”
“โจทย์ยากขึ้นทุกทีเลยนะแซ็ก ชาติหน้าคงได้เกิดเป็เทพแห่งการสั่งมั้ง” ไฮเดนเอ่ยกวนประสาทพร้อมทำท่านวดขมับ
สาเหตุที่เขาต้องใช้ความเป็มิตร และต้องเป็ผู้หญิง คือแซ็กคารีจะไปหาทายาทตระกูลกริฟฟินที่เหลืออยู่ 3 คนสุดท้าย ครอบครัวเล็ก ๆ พ่อแม่ลูกอาศัยในกระท่อมชั้นล่างสุดของกำแพงสูง ใกล้รางรถไฟขนส่งสินค้า
สามีมักออกไปทำงานแทบตลอดเวลา ภรรยาจึงอยู่บ้านกับลูกอายุหนึ่งขวบ เขาต้องแปลงกายเป็ผู้หญิงเพื่อให้เธอไว้ใจมากพอ ผู้หญิงในยุคปัจจุบันยังกลัวอันตรายที่เกิดจากเพศชาย ซึ่งฝังรากลึกมาหลายร้อยปีจนถอนรากถอนโคนออกไม่ได้
แซ็กคารีคิดเื่นี้อยู่นานหลายเดือน เพราะความกลัว และความสงสัยใคร่รู้ที่กำลังต่อสู้กันในหัวของเขา สุดท้ายแซ็กคารีละทิ้งความกลัว เดินทางมาหาไฮเดน เทพแห่งการแปลงกายให้ช่วย หากไปถึงกระท่อมหลังเล็กแล้วแซ็กคารีไม่ได้เอ่ยถามถึงเอเดน กริฟฟินก็ไม่เป็ไร อย่างน้อยแค่ได้อุ้มเด็กหญิงแมรี่ กริฟฟิน เหลนของเขาก็ยังดี
“พร้อมนะ” ไฮเดนลุกขึ้นยืน และถามย้ำอีกครั้ง
“อือ” แซ็กคารีครางตอบในคอ
“ซาตานที่พูดจาเพราะ ๆ เมื่อก่อนหายไปไหนนะ”
เมื่อก่อนแซ็กคารีเคยพูดอย่างสุภาพกับไฮเดนทุกคำ หลังจากได้รู้ความกวนประสาท และสนิทกันมากขึ้นความสุภาพจึงเริ่มหายไป ไฮเดนบ่นเสียงเบา แต่แซ็กคารีไม่สนใจ
ร่างกายสูงกำยำของชายหนุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลง ตัวเล็กลง ไหล่แคบ แขนขาก็เล็กลงตาม เส้นผมสีขาวซีดแปรเปลี่ยนเป็สีน้ำตาลเข้ม และค่อย ๆ ยาวถึงบ่า ดวงตาแทบไม่เปลี่ยนแปลง จมูกเล็กเรียวกว่าเดิม ริมฝีปากมุมคว่ำเล็กลง กลายเป็กระจับดูน่ารัก
แซ็กคารีแปลงกายเป็หญิงสาวอย่างสมบูรณ์
“ฉันก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย” แซ็กคารีตวัดตามองเทพตรงหน้าทันทีที่ได้ยินคำเยินยอตนเอง
“ขอบคุณท่านเทพ”
“รีบไปเถอะ มีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง อย่าให้มนุษย์เห็นตอนกลับร่างเดิมเด็ดขาด”
แซ็กคารีมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงในร่างหญิงสาวใจดี
เขามีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการสืบว่าเหตุใดตระกูลกริฟฟินถึงตกอับเพียงนี้
แซ็กคารีอยากช่วยพวกเขาให้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่เขาเองยังต้องทำงานหาเงินของมนุษย์อยู่ เพราะพ่อของเขาไม่เคยมาโลกมนุษย์ และไม่ได้เก็บสะสมเงินของมนุษย์เอาไว้เหมือนกับเหล่าเทพ
หลายอย่างแปลกประหลาด ดูเหมือนสมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สมเหตุสมผลในเวลาเดียวกันั้แ่ที่เอเดน กริฟฟินตาย
แต่เขายังกลัวความจริงที่อาจโหดร้าย จึงยืนนิ่งหน้าประตูของกระท่อมอยู่สักพัก
และตัดสินใจเคาะประตูเบา ๆ สองสามครั้ง เพราะความกดดันจากนาฬิกานับถอยหลังหนึ่งชั่วโมงที่ไฮเดนมอบให้
tbc.
#เฮเซลอาย
