“ฝ่าาทรงชอบหรือไม่เพคะ?” เหยียนอู๋อวี้เห็นซ่งอี้เฉินไม่ส่งเสียงใดออกมาจึงรู้ว่าเขาสงสัยฮวารั่วซีอีกครั้ง ความสงสัยรูปแบบนี้เป็เมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ในใจ ค่อยๆ รดน้ำ มันก็จะงอกยอดอ่อน ให้แสงแดดเล็กน้อย มันก็โตขึ้น สุดท้ายเมื่อตัดออกก็จะาเ็สาหัส
ฮวารั่วซีลงมือกับซ่งอี้เฉิน ดูท่านางคงผิดหวังกับซ่งอี้เฉินบ้างแล้ว ทว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าซ่งอี้เฉินคิดอย่างไรกับนาง
ซ่งอี้เฉินถูกถามเช่นนี้พลันได้สติกลับมาทันที “อวี้เอ๋อร์ช่างคิดเสียจริง ให้พู่สองสามอันเป็ของขวัญวันประสูติ เจิ้นย่อมชื่นชอบตามเ้าปรารถนา” เขาพูดพลางหยิบสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกออกมาจากอ้อมแขนแล้วโยนให้นาง “ไม่ต้องไปหาซูเฟยแล้ว นางกำลังช่วยเต๋อเฟยจัดการตำหนักหลัง เกรงว่าไม่มีเวลาเท่าไรนัก สร้อยข้อมือเส้นนี้นางเป็คนถักเองกับมือในปีนั้น เ้าฉลาดปราดเปรื่องคงทำตามได้”
เหยียนอู๋อวี้รีบรับมาแล้วทูลด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “เกรงว่าจะไม่ดีเพคะ อย่างไรแล้วพี่หญิงซูเฟยก็เป็คนมอบให้…..”
“ของเก่าๆ เ้าไม่ต้องไปจดจำ เจิ้นประทานสิ่งของอันใดให้ผู้ใด ก็ไม่ใช่สิ่งที่เ้าควรถาม”
ในน้ำเสียงซ่งอี้เฉินแฝงด้วยความเ็า เหยียนอู๋อวี้จึงไม่ได้พูดอีกและรับมันมาอย่างมีความสุข
นางย่อมมีความสุขแน่นอน
เหยียนอู๋อวี้คุ้นตากับสร้อยข้อมือเส้นนี้ ไม่นานก็นึกที่มาของมันได้
ปีนั้นหลังจากที่พวกเขาลอยแพอวิ๋นอู๋เหยียนก็ใช้สิ่งนี้เป็ของแทนใจ ซ่งอี้เฉินเก็บไว้ข้างกายมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าเขารักทะนุถนอมฮวารั่วซีมาจนถึงตอนนี้
ทว่าตอนนี้เขากลับมอบให้นาง หมายความว่าอย่างไร?
หากฮวารั่วซีเห็นของชิ้นนี้ต้องเข้าใจแบบเดียวกันกับที่เหยียนอู๋อวี้เข้าใจแน่นอน
ปีนั้นนางพยายามถลกหนังหมาป่าที่ยิงตายอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ซ่งอี้เฉิน ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไปปรากฏอยู่ในมือฮวารั่วซี ในที่สุดฮวารั่วซีก็มีโอกาสได้ััความรู้สึกเช่นนั้นแล้ว
ทว่านางไม่ได้วางแผนลงมือทันที แม้ว่าฟางเส้นสุดท้ายที่กดทับหลังอูฐจะเบาหวิว ทว่าสำหรับอูฐแล้วมันกลับหนักยิ่งกว่าูเาไท่ซาน โจมตีครั้งเดียวถึงตาย ต้องใช้ใน่เวลาสำคัญเท่านั้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอย่างสนิทสนม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนของเว่ยหรูไห่มาถึงที่ประตูแล้วหยุดลงอีกครั้งเหมือนมีท่าทีลังเล ซ่งอี้เฉินมองเหยียนอู๋อวี้แวบหนึ่งแล้วะโเสียงดัง “เข้ามา”
เว่ยหรูไห่ได้รับคำอนุญาตจากซ่งอี้เฉินแล้วจึงรีบเปิดประตูเข้ามาคุกเข่าทูลเสียงดังว่า “ฝ่าา...…เกิดเื่แล้วพ่ะย่ะค่ะ...…”
“ทำตัวตื่นตระหนกใไปได้” ซ่งอี้เฉินถามเสียงเ็า “มีอันใดก็ว่ามา”
เว่ยหรูไห่เงยศีรษะมองเหยียนอู๋อวี้เงียบๆ แล้วทูลทันที “มีคนแหกคุกช่วยครอบครัวอาลักษณ์อู๋หนีไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซ่งอี้เฉินลุกขึ้นยืนแล้วตรัสถามเสียงเข้มทันที “ฟ้ายังไม่มืดแหกคุกแล้วหรือ? เ้าได้ยินชัดเจนแน่หรือ?”
เว่ยหรูไห่ตัวสั่นระริกทูลว่า “เมื่อวานตอนเย็น...... เมื่อวานตอนเย็นก็ลักพาตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนถูกเปลี่ยนเป็ศพที่มีรูปร่างใกล้เคียงกัน เนื่องจากถูกทรมาน รูปร่างจึงผิดรูป ยังไม่พบพิรุธอยู่ครู่ใหญ่ วันนี้ผู้คุมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เข้าไปตรวจดูจึงรู้ ทว่าไม่สามาารถบอกได้แน่ชัดว่าเปลี่ยนตัวไปั้แ่เมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่ซ่งอี้เฉินได้ยิน เขาเดือดเป็ฟืนเป็ไฟตบโต๊ะเสียงดัง “พวกถังข้าว (คนที่ไม่ได้เื่ได้ราว) จริงๆ นักโทษเพียงคนเดียวก็ดูได้ไม่ดี!”
พูดจบเขาก็มองสีหน้าประหลาดใจของเหยียนอู๋อวี้ ทว่าคร้านที่จะอธิบาย แค่กำชับไปหนึ่งประโยคแล้วรีบจากไป
เหยียนอู๋อวี้มองพวกเขาจากไปโดยที่ยังไม่ได้เก็บความตื่นตระหนกบนใบหน้ากลับไป
อาลักษณ์อู๋หนีไปแล้ว?
ผู้ใดช่วยเขา!
เหยียนอู๋อวี้นึกถึงคนคนหนึ่งและรู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที
ในเวลานั้นนางเพียงแค่กำชับให้จวินอู๋เสียช่วยไปตรวจสอบให้นาง เื่หลังจากนั้นยังไม่ได้เตรียมการ ไม่กี่วันที่ผ่านมานางรอข่าวจากเขาไม่ไหว ทั้งยังล่าช้าด้วยเหตุผลต่างๆ นานา นางจึงไม่กล้าติดต่อเขา ทว่าน่าจะไม่ใช่จวินอู๋เสีย เขาไม่มีทางทำแบบนั้น!
ถึงกระนั้นเหยียนอู๋อวี้กลับกระวนกระวายใจเป็อย่างยิ่ง รู้สึกว่าต้องได้พบกับจวินอู๋เสียสักหน่อยถึงจะสบายใจ
......
ซ่งอี้เฉินออกจากตำหนักเฟิ่งชัยและรีบไปที่ห้องทรงอักษร ในเวลานี้รองเ้ากรมอาญาได้รออยู่ที่นี่แล้ว เมื่อเห็นฮ่องเต้เขาจึงเล่ารายละเอียดให้ฟังด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
อาลักษณ์อู๋กับครอบครัวถูกแยกขังอยู่ในเรือนจำแต่ละแห่ง ว่ากันตามตรง มีเพียงแค่อาลักษณ์อู๋กับบุตรชายเขาไม่กี่คนที่จัดคนเฝ้าอย่างเข้มงวด ผู้คุมพบความผิดปกติในตอนเที่ยงของวันนี้ ไม่กี่วันก่อนที่อาหารเรือนจำถูกส่งมา สตรีทุกคนในครอบครัวต่างร้องห่มร้องไห้ ทว่าวันนี้ทุกคนในคุกกลับรีบวิ่งมาหยิบอาหาร
เดิมทีผู้คุมไม่ได้รู้สึกแปลกใจ คนถูกขังอยู่ในคุกหลายวัน ต่อให้แข็งแกร่งเพียงไรก็ทนหิวท้องไม่ไหว เขาคุ้นชินกับเหตุการณ์เช่นนี้นานแล้ว ทว่าแขนของคนเ่าั้เผยช่องโหว่ออกมา
อาลักษณ์ใช้ชีวิตมั่งคั่งร่ำรวย สตรีในครอบครัวย่อมมีิัเนียนนุ่ม ทว่าวันนี้แขนของสตรีพวกนี้กลับผอมบางหยาบกร้าน เขาจึงสั่งให้คนมายืนยันทันทีและพบว่าคนในเรือนจำอื่นก็ถูกจับมาคุมขังที่นี่เช่นกัน ส่วนสตรีในครอบครัวอาลักษณ์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว
ผู้คุมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบรายงานทันที เมื่อตรวจสอบจึงพบว่าไม่ใช่แค่สตรีในครอบครัวเท่านั้น แม้แต่บุตรชายของอาลักษณ์อู๋ก็ยังถูกคนสับเปลี่ยน ทว่าเมื่อคืนทุกอย่างเหมือนปกติ ไม่มีเื่พิเศษอะไรเกิดขึ้น ครอบครัวของอาลักษณ์อู๋ดูเหมือนอยู่ดีๆ ก็หายไปจากคุกและยังหายไปในเวลาเดียวกันอีกด้วย
“คุกหลวงคุ้มกันแ่า...…” ซ่งอี้เฉินเผยความเย้ยหยันบนใบหน้า “พวกเ้าช่วยเจิ้นดูแลนักโทษเช่นนี้หรือ!”
รองเ้ากรมกรมอาญารีบคุกเข่า “ฝ่าาโปรดอภัยด้วย เมื่อวันก่อนไม่มีความผิดปกติแม้แต่นิดเดียวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าคนในร่วมมือกับคนนอกปล่อยครอบครัวอาลักษณ์อู๋หนีไปแน่นอน!”
คนของไทเฮาควบคุมกรมอาญามาโดยตลอด รองเ้ากรมกรมอาญาพูดเช่นนี้เท่ากับหมายหัวไปที่องค์หญิงใหญ่อย่างชัดเจน
เมื่อคิดอย่างละเอียดก็สมเหตุสมผล อาลักษณ์อู๋เป็คนขององค์หญิงใหญ่ แน่นอนว่าในมือองค์หญิงใหญ่มีความลับที่ผู้อื่นไม่รู้มากมาย องค์หญิงใหญ่ไม่คิดว่าจะถูกคนพบเข้าจึงต้องคิดหาวิธีรักษาความลับพวกนี้ นางไม่เคลื่อนไหวมาโดยตลอด ไม่คาดคิดเลยว่าทันทีที่ลงมือก็พาคนหลบหนีไปแล้ว
การกระทำเช่นนี้บุ่มบ่ามเกินไปหน่อย เทียบได้กับการบอกไทเฮาอย่างชัดเจนว่านางเป็คนทำ
ซ่งอี้เฉินคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกถึงความผิดปกติ ตามนิสัยขององค์หญิงใหญ่ หากนาง้าลงมือก็คงคิดหาวิธีก่อนแล้ว นางไม่รอจนถึงตอนนี้แน่นอน มีความเป็ไปได้ที่นางจะถามบางอย่างก่อนลงมือ ถึงขนาดที่ว่าฆ่าปิดปากยังลงมือได้ง่ายดายกว่ามาก
ด้วยความรอบคอบเช่นนี้จึงไม่มีความผิดพลาด ซึ่งเื่นี้ยิ่งไม่เหมือนสิ่งที่องค์หญิงใหญ่จะนึกได้เลย
ใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นมาในใจซ่งอี้เฉิน และเขาก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็ไปได้ เมื่อเห็นรองเ้ากรมกรมอาญาหมอบคลานอยู่บนพื้นโดยไม่ได้มีท่าทีประหม่าสักครึ่ง เขาก็ยกยิ้มเย้ยหยันในใจ ทำคนร้ายหลุดรอดไป ทว่ากลับเผชิญหน้ากับโอรส์อย่างไม่เกรงกลัว ก็มีแค่เขาที่แสร้งทำเป็มองไม่เห็นเื่พวกนี้กระมัง
ซ่งอี้เฉินผ่อนคลายความคิดแล้วทิ้งความสงสัยนั้นไป ก่อนจะตรัสว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถามหาความรับผิดชอบ” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสถามว่า “ครั้งสุดท้ายที่ยืนยันว่าอาลักษณ์อู๋อยู่ในคุกคือเมื่อใด?”
รองเ้ากรมกรมอาญาทูลตอบ “เมื่อคืนก่อนยามจื่อ[1]พ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งอี้เฉินครุ่นคิดรอบหนึ่ง ขณะกำลังจะตรัสถามอีกพลันกลืนคำพูดกลับเข้าไปอีกครั้ง แล้วตรัสไปว่า “เ้าคิดอย่างไร?”
รองเ้ากรมกรมอาญาทูลตอบ “ตอนนี้น่าจะยังไม่ออกจากเมือง ไทเฮามีรับสั่งให้ฝ่าาออกฎีกาล่าตัวคนร้ายหลบหนีพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งอี้เฉินยกยิ้มมุมปาก “หัวหน้ากองทหารลาดตระเวนทั้งเก้าประตูเฝ้าทางเข้าออกเมืองหลวงอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว ส่วนเื่ที่เหลือ เ้าน่าจะรู้ว่าควรทำอย่างไร”
รองเ้ากรมกรมอาญารับบัญชาทันที เขาคาดการณ์การกระทำนี้ไว้นานแล้ว สิ่งที่้ามีเพียงแค่คำพูดของซ่งอี้เฉิน จากนั้นก็ต้องตรวจค้นทั่วทุกที่ในเมืองหลวงอย่างเข้มงวดให้เจอครอบครัวของอาลักษณ์อู๋ มิฉะนั้นจะต้องถูกไทเฮาลงโทษแน่นอน ต่อไปเขาคงดำรงตำแหน่งรองเ้ากรมไม่ได้แล้ว
[1] ยามจื่อ (子时) คือเวลา 23.00 น. – 01.00 น. เป็่เวลาที่หนูจะวิ่งกันขวักไขว่ จึงเรียกเวลานี้ว่ายามชวด/หนู