“เ้าเด็กหน้าเหม็นนี่มาจากที่ใด? กล้าหยาบคายกับศิษย์พี่หลานเยี่ยงนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
เสียงะโด้วยความโกรธดังกลบเสียงร่ำไห้ของเสิ่นซินจู๋ ซึ่งทำให้หนิงเทียนรำคาญใจอย่างมาก
“ศิษย์พี่หลาน ข้าจะสอนบทเรียนให้เด็กปากเสียผู้นี้เอง”
“อย่าฆ่าในคราวเดียวเล่า ข้าอยากค่อยๆ ทรมานมัน”
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะทำให้มันมาคุกเข่าต่อหน้าศิษย์พี่ ให้มันทรมานราวกับตายทั้งเป็” ศิษย์สำนักั์พฤกษาเอ่ยด้วยรอยยิ้มดุร้าย ก่อนจะพุ่งเข้ามาแล้วยกมือเตรียมตบหน้าหนิงเทียน
“เ้าหนู มาอวดความแข็งแกร่งที่นี่ เ้ามาผิดที่แล้ว!”
“ระวัง!” เสิ่นซินจู๋หยุดร้องไห้ตามสัญชาตญาณ แล้วเตือนหนิงเทียนให้สนใจการต่อสู้
“หึ! ช่างเป็รอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งนัก”
หนิงเทียนไม่ชอบรอยยิ้มบนใบหน้าของชายผู้นั้น เขาคว้าฝ่ามือของอีกฝ่ายด้วยมือขวา แล้วบีบมันอย่างแรงจนเกิดเสียงกระดูกแตกร้าว
หนิงเทียนกดแขนขวาลง ชายผู้นั้นหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความเ็ป ร่างกายของเขาคดงออย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะคุกเข่าลงแทบเท้าของหนิงเทียน
“อ๊าก! มือข้า เข่าข้า!” เสียงโอดครวญดังลั่นไปทั่วเกาะ ชายผู้นั้นตัวสั่นเทาด้วยความเ็ป ใบหน้าบิดเบี้ยว ทั้งยังกรีดร้องราวหมูถูกเชือด
หลานซานหู่แสดงท่าทีใขึ้นมาในทันที ศิษย์สำนักั์พฤกษาคนอื่นๆ ต่างก็หวาดผวาไปตามกัน ส่วนเสิ่นซินจู๋ก็งุนงงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ชัดเจนขึ้นนางจึงรู้สึกโล่งใจ
“เมื่อครู่เ้าว่าอย่างไรนะ? ลองพูดอีกครั้งสิ” หนิงเทียนมองอย่างเ็า
ชายผู้นั้นกล่าวด้วยความหวาดกลัว “ศิษย์พี่หลาน ช่วยข้าด้วย...”
“ไอ้หนู ปล่อยมือเสีย”
“เ้าเด็กหน้าเหม็น กล้ารังแกศิษย์น้องของข้า ทั้งยังทำร้ายเขาอีก”
ณ ที่แห่งนี้มีศิษย์จากสำนักั์พฤกษาอยู่จำนวนมาก แล้วพวกเขาจะทนต่อความป่าเถื่อนของหนิงเทียนได้อย่างไร?
ทันใดนั้น ศัตรูเจ็ดแปดคนก็กระโจนออกมารุมโจมตีหนิงเทียน
“ผกาทะยานพันชั้น!” พลันร่างของหนิงเทียนเปล่งแสงราวกับเงาผี บงกชสีมรกตลอยรอบกาย เขางอแขนและดีดนิ้วเพื่อหมุนใบมีด พลังหมัดแยกภูผาแผ่ขยายออกมาเพียงแค่บิดข้อมือ และเสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้องที่ก้องไปทั่วเกาะ
ดวงตาคู่งามของเสิ่นซินจู๋เบิกกว้าง ยามนี้นางเห็นหนิงเทียนไม่ชัดมากนัก นี่เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงใด?
ส่วนฉินเสี่ยวเยวี่ยก็มีสีหน้าน่าเกลียด นางรู้สึกรำคาญพลางคิดอยู่ในใจว่า เป็หนิงเทียนที่มักปรากฏตัวผิดที่ผิดเวลา หรือเป็เสิ่นซินจู๋ที่โชคเข้าข้างกันแน่?
ปัง! ปัง! ปัง!
ร่างมากมายลอยกระจายไปทุกทิศ หยาดโลหิตสาดกระเซ็นไปทุกทาง
ศิษย์ทั้งหลายจากสำนักั์พฤกษา บ้างก็สูญเสียแขนขา บ้างก็ถูกฉีกร่างเป็ชิ้นๆ พวกเขาล้วนหวาดกลัวและสิ้นหวัง ทว่ามันสายเกินแล้วไปที่จะเสียใจ
“ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!” เฉินจี๋พยายามลุกขึ้นยืน พร้อมกล่าวชมหนิงเทียนอย่างตื่นเต้น
หลานซานหู่โกรธจนตัวสั่นก่อนจะแผดเสียงคำรามดังลั่น “เ้าเด็กหน้าเหม็น เ้ากำลังมองหาความตาย!”
เงาต้นไม้ใหญ่แกว่งไกวไปมา ส่วนเงาร่างคนก็รวดเร็วดุจฟ้าแลบ หลานซานหู่พุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดด้วยความโกรธแค้น ลมโหมกระหน่ำตามการเคลื่อนไหวของเขาราวกับูเาไท่ซาน และพุ่งตรงไปยังหนิงเทียน
“ระวัง!” เฉินจี๋และเสิ่นซินจู๋อุทานออกมาพร้อมกัน หลานซานหู่อยู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแปดซึ่งคนทั่วไปไม่อาจเทียบได้
ดวงตาของหนิงเทียนส่องสว่างราวคบเพลิง บงกชสีมรกตข้างกายแปรเปลี่ยนเป็ภาพลวงตา กิ่งก้านและใบเขียวขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันและก่อตัวเป็โล่ปกป้องหนิงเทียน
สำหรับผู้บำเพ็ญสายรากพฤกษาแล้ว ศิษย์จากสำนักั์พฤกษานับว่ามีความแข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากพวกเขามีรากบ่มเพาะอันทรงพลัง ทำให้มีข้อได้เปรียบในการต่อสู้กับขอบเขตเดียวกัน ซึ่งสำนักเชียนเฉ่าและสำนักร้อยบุปผาก็ยากที่จะต่อต้าน
พลั่ก!
หนิงเทียนคำรามลั่น กลิ่นอายอำมหิตกลืนกินท้องนภา โลหิตทั่วร่างพุ่งสูง เส้นสีทองอร่ามตามิัปรากฏขึ้นราวสัตว์ร้ายโบราณที่ตื่นจากการหลับใหล
เขาเคลื่อนไหวด้วยกายาสุวรรณะนิรันดร์ พลันดูมีอำนาจนับอนันต์ ประสาทััทั้งหกคมชัด พลังไร้ขีดจำกัด และกระดูกแตกร้าวไปทั้งตัว เขาเป่าอากาศด้วยหมัดเดียว ซึ่งปะทะเข้ากับหมัดของหลานซานหู่อย่างรุนแรง
“อ๊าก! ไม่...” เสียงกรีดแหลมบ่งบอกถึงความอับอาย
หลานซานหู่โจมตีอย่างเต็มแรงด้วยพลังมหาศาล ไม่คาดคิดว่ามันจะกระทบกับแผ่นเหล็กแกร่งจนหมัดถูกฉีกออกเป็ชิ้นๆ คลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้าหักแขน ทำให้เขาทั้งตกตะลึงและหวาดหวั่น
“กล้ารังแกศิษย์พี่ของข้า หากข้าไม่ทุบตีเ้าจนเหมือนหมู ก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าหนิงเทียน!” หนิงเทียนทรงพลังเกินต้านทาน ราวกับภูผาทรนงที่ไม่อาจก้าวข้าม เขาปล่อยหมัดรวดเร็วดุจสายฟ้า ไม่มีช่องว่างให้หลานซานหู่หลบหนี ทั้งยังกระหน่ำทุบตีจนอีกฝ่ายไม่มีโอกาสใช้ทักษะหรืออาวุธิญญาเสียด้วยซ้ำ
ฉากตรงหน้าเต็มไปด้วยความโกลาหลและทุกคนล้วนตกตะลึง
ฉินเสี่ยวเยวี่ยลอบกัดฟันดังกรอด นางกลัวแทบตายแล้ว หนิงเทียนมีพลังมากเพียงนี้ได้อย่างไร?
คู่ต่อสู้ของเขาเป็ถึงผู้บำเพ็ญขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแปด ทั้งยังเป็ศิษย์สำนักั์พฤกษาอีกด้วย
ทางด้านเสิ่นซินจู๋ นางตื้นตันกับคำว่า “ศิษย์พี่” ของหนิงเทียนอย่างมากจนหลั่งน้ำตาออกมา เฉินจี๋ก็ส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น และเหล่าศิษย์สำนักร้อยบุปผาต่างก็โห่ะโพร้อมะโด้วยความดีใจ นี่ช่างน่าตื่นเต้นเหลือเกิน
หลานซานหู่ถูกเล่นงานอย่างหนัก หากรู้ว่าเ้าเด็กนี่น่ากลัวขนาดนี้ เขาคงจะหยิบอาวุธิญญาจื๋อซิวออกมาั้แ่แรก แต่ยามนี้ก็สายเกินกว่าจะพูดสิ่งใดแล้ว
“คุกเข่าลง จงสำนึกผิด!”
หนิงเทียนฟาดฝ่ามือก่อนที่หลานซานหู่จะคุกเข่าต่อหน้าเสิ่นซินจู๋
“ศิษย์พี่ไม่ต้องกลัว ข้าจะจัดการกับคนเ่าั้ก่อน”
หนิงเทียนยิ้มให้เสิ่นซินจู๋ ก่อนจะไล่ปล้นศิษย์สำนักั์พฤกษาทุกคน จากนั้นเขาก็กลับมาหานางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เสิ่นซินจู๋เป็คนจิตใจงดงาม แม้จะเคยถูกหลานซานหู่ทำให้อับอาย ทว่านางก็ฆ่าเขาไม่ลงและเตะออกไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
“ศิษย์พี่ หากท่านยังปฏิบัติเช่นนี้ ในอนาคตท่านจะลำบากได้นะ” หนิงเทียนก้าวเข้ามาจับแขนของหลานซานหู่แล้วฉีกออกทันที ความเ็ปนั้นหนักหนาเสียจนเขาน้ำตาไหลพราก
ริมฝีปากของฉินเสี่ยวเยวี่ยสั่นเล็กน้อย นางอยากจะห้ามปรามเขา แต่เมื่อคำพูดเคลื่อนมาถึงริมฝีปาก นางก็กลับลังเลขึ้นมา
ใบหน้าของหลานซานหู่บิดเบี้ยว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “เ้าหนู เ้าไม่รอดแล้ว ไม่มีผู้ใดช่วยเ้าได้!”
“ช่างเย่อหยิ่งยิ่งนัก! ดูเหมือนเ้าจะไม่ได้ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของการสำนึกผิดเลย ไม่เป็ไร ข้าจะสอนเ้าเอง”
หนิงเทียนสะบัดฝ่ามือตบร่างของหลานซานหู่อย่างไม่ใส่ใจ เสียงกระดูกแตกอย่างรุนแรงดังขึ้นพร้อมเสียงร้องโหยหวน หลานซานหู่กระดูกหักทั้งร่างและทรุดตัวลงกับพื้นราวแอ่งโคลน
เมื่อรากจิติญญาทั้งแปดถูกหนิงเทียนกลืนกิน ขอบเขตของหลานซานหู่ก็เริ่มร่วงหล่น เขาส่งเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง
ทันทีที่เปิดแหวนมิติของหลานซานหู่ หนิงเทียนก็พบสิ่งที่เขา้า
มันคือหอกไม้สีน้ำตาลแกมเขียว พื้นผิวปกคลุมไปด้วยลวดลายแห่งจิติญญา ซึ่งเป็อาวุธิญญาจื๋อซิวประเภทหนึ่ง
ยามหนิงเทียนถือหอกไว้ในมือ ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์ในร่างก็กระตือรือร้นอย่างมาก พลังิญญาซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีแห่งความก้าวร้าวหลั่งไหลเข้าสู่หอกอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังลบล้างรัศมีของพฤกษาที่หลานซานหู่ทิ้งไว้
ผ่านไปครู่หนึ่งหอกก็สั่นเล็กน้อยและลวดลายทางจิติญญาก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว ขณะที่หนิงเทียนทิ่มแทงออกไป หอกแหลมคมยาวสามจั้งก็พุ่งออกมาจาก้าราวกับปราณกระบี่
“ฮ่าๆ ของดีจริงด้วย! เมื่อมีเ้าสิ่งนี้ข้าก็ไม่ต้องกลัวกระบี่ใบพฤกษาขจีอีกแล้ว”
“คะ...คืน...ข้า...มา” หลานซานหู่กดเสียงต่ำและร้องอย่างแ่เบาด้วยความไม่ยินยอม
“หากเ้า้า ข้าคืนให้ก็ได้” หนิงเทียนสะบัดมืออย่างง่ายๆ แล้วแทงหอกลงบนหัวของหลานซานหู่ก่อนจะตอกเขาลงกับพื้น
ฉินเสี่ยวเยวี่ยตัวสั่นเทา ท่าทางของเฉินจี๋ก็เปลี่ยนไปด้วยความใ แม้แต่ปฏิกิริยาของเสิ่นซินจู๋เองก็ดูแปลกประหลาดไปเช่นกัน
“ศิษย์พี่ไม่ต้องกลัว ข้าเป็คนสังหารเขาเอง และเื่นี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน”
“ไม่ เ้าฆ่าเขาเพื่อช่วยข้า แล้วจะให้เ้ารับผิดชอบคนเดียวได้อย่างไร?” แม้เสิ่นซินจู๋จะหวาดกลัว ทว่านางก็เต็มใจรับผิด
เฉินจี๋ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “หลานซานหู่เป็บุตรของแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ ภูมิหลังตระกูลของเขาค่อนข้างน่ากลัว ในวันหน้าศิษย์น้องหนิงต้องระวังตัวให้ดี”
“บุตรของแม่ทัพ?” หนิงเทียนขมวดคิ้วแน่น เขาไม่เคยคิดเลยว่าชายผู้นี้จะมีภูมิหลังอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเสียงการต่อสู้ก็ดังมาจากต้นไม้ใหญ่ใจกลางเกาะ
“อย่าเพิ่งคิดมากเลย ไปดูตรงนั้นกันก่อนเถอะ” หนิงเทียนเก็บหอกด้วยรอยยิ้มอันสงบ ขณะที่เสิ่นซินจู๋บ่นพึมพำแล้วหันมองเฉินจี๋ด้วยความลำบากใจ
“เ้าไปเถิด ข้าจะฟื้นตัวอยู่ตรงนี้” เฉินจี๋าเ็สาหัส ยามนี้เขาจึงไม่สามารถปกป้องนางได้
ั้แ่หนิงเทียนมาถึงที่แห่งนี้ เขายังไม่ได้เหลือบมองฉินเสี่ยวเยวี่ยเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่สนใจศิษย์สำนักร้อยบุปผาคนอื่นๆ และเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับเสิ่นซินจู๋
...
ต้นไม้ใจกลางเกาะสูงประมาณร้อยจั้ง เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นมากกว่าสามจั้งและมีหลุมต้นไม้อยู่เหนือพื้นดินสองจั้ง
สูงขึ้นไปอีกสองจั้ง หลุมต้นไม้ที่สองก็ปรากฏขึ้นในมุมเฉียง และถัดขึ้นไปทุกๆ สองจั้งก็จะปรากฏหลุมต้นไม้เฉียงขึ้นไปเรื่อยๆ จนครบเก้าหลุม
หลุมทั้งเก้าคดเคี้ยวเป็เกลียวเวียนวนรอบลำต้น แต่ละหลุมสูงประมาณหกจั้ง กว้างสามจั้ง และลึกหกจั้ง เป็เหมือนประตูต้นไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และไม่สามารถมองเห็นร่องรอยที่สลักไว้จากภายนอก
ผู้คนจำนวนมากเบียดเสียดกันอยู่ใต้ต้นไม้ ส่วนใหญ่เป็ลูกศิษย์ของสำนักเชียนเฉ่ากับสำนักทะยานเวหา นอกจากนี้ยังมีศิษย์จากสำนักั์พฤกษาและสำนักร้อยบุปผาอีกสองสามคน
ทุกคนกำลังสำรวจและพูดคุยกันว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่ในหลุมต้นไม้คล้ายประตูเหล่านี้
ทันทีที่หนิงเทียนมาถึง ศิษย์หลายคนจากสำนักเชียนเฉ่าและทะยานเวหาก็กำลังต่อสู้กันพัลวัน ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะยอมยกธงขาวก่อน
หญิงชุดเขียวที่เขาพบตรงริมทะเลสาบยืนอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง รอบกายของนางเต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี และกำลังแหงนมอง้าศีรษะแทนที่จะเป็ประตูต้นไม้
เมื่อเสิ่นซินจู๋เห็นหญิงชุดเขียว นางก็รีบดึงหนิงเทียนเข้ามาทันที “อย่าเข้าใกล้นาง”
หนิงเทียนถามอย่างสงสัย “ท่านรู้จักนางหรือ?”
ใบหน้าของเสิ่นซินจู๋ฉายแววเคร่งขรึมก่อนจะกระซิบเสียงค่อย “โม่ซินเจวี๋ยจากสำนักเชียนเฉ่า ยอดฝีมือจิติญญาพิษซึ่งหาได้ยากในรอบพันปี นางจึงเต็มไปด้วยพิษสงและไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุนาง”
หนิงเทียนหน้าเปลี่ยนสีทันที ยอดฝีมือจิติญญาพิษหรือ? ที่แท้ก็มีคนเช่นนี้อยู่ด้วย
โม่ซินเจวี๋ยดูเป็มิตรอย่างมาก ทว่ากลับเป็บุคคลที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
นอกจากโม่ซินเจวี๋ยแล้ว ที่แห่งนี้ยังมีอีกคนหนึ่งที่หนิงเทียนรู้จัก นั่นก็คืออวี๋เฟยเยี่ยน ยอดฝีมือด้านการพัฒนาจิติญญาแห่งสำนักทะยานเวหา
“เหตุใดเ้าถึงมีหอกนาคามรกตของหลานซานหู่?”
หอกนาคามรกต? สมแล้วที่มีลวดลายคดเคี้ยวเช่นนี้ อีกทั้งส่วนบนของมันก็ยังโค้งงอเล็กน้อยด้วย
“หลานซานหู่มอบสิ่งนี้ให้ข้า เขาตกหลุมรักข้าั้แ่แรกเห็น ทั้งยังพยายามเชื้อเชิญและมอบของขวัญให้ ข้ารู้สึกอายมาก หากข้าไม่รับสิ่งนี้มาก็คงต้องอับอายต่อไป”
เสิ่นซินจู๋กลอกตาหลังจากได้ยิน ชายผู้นี้พูดจาเลื่อนเปื้อนเหลือเกิน
“เ้าคิดว่ามีผู้ใดเชื่อเื่ไร้สาระนี้บ้าง?” อวี๋เฟยเยี่ยนก่นด่าทันที
หนิงเทียนมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ที่นี่มีผีหรือ? อยู่ที่ใดเล่า?”
“เ้าอย่างไรเล่าเ้าผีหัวโต[1]!” อวี๋เฟยเยี่ยนอยากตบเขาแรงๆ สักที ช่างแกล้งบ้าและโง่เง่าเสียจริง
“ว่าแต่... มีผู้ใดอยู่ที่นี่บ้าง?”
“เ้าหนู ช่วยพูดภาษามนุษย์หน่อยได้ไหม?”
“เ้าเป็คนหรือผี? เข้าใจที่ข้าพูดด้วยหรือ?” หนิงเทียนถามด้วยท่าทางจริงจัง จนอีกฝ่ายต้องคำรามอย่างฉุนเฉียว
“เ้าเด็กนี่สมควรโดนทุบ!”
เมื่อโดนยั่วยุมากเข้า อีกห้าหกคนที่เหลือก็รีบมายังจุดนั้นด้วย้าทุบตีเขาให้ตาย ซึ่งเป็เหตุให้คนเ่าั้ได้รับความทุกข์ยาก เพราะพวกเขาถูกหนิงเทียนกำราบจนหน้าบวมปูดและปล้นทุกอย่างไป
“ใช่แล้ว! ใครมีหินิญญาก็เข้ามาเลย ผู้ใดไม่มีก็อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”
สิ้นคำของหนิงเทียน การปะทะกำลังรอบใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น
ทันใดนั้นเสิ่นซินจู๋ อวี๋เฟยเยี่ยน และโม่ซินเจวี๋ยก็มีสีหน้าแปลกไป หนิงเทียนปล้นทุกคนในคราวเดียวจริงๆ จนพวกเขาแทบหลั่งน้ำตา
“โอ้์! อสูรตนนี้มาจากที่ใด? เหตุใดไม่สับมันให้สิ้น?”
“น่ารังเกียจยิ่งนัก หินิญญาที่ข้าพยายามรักษาไว้เป็อย่างดี!”
“ข้าไม่สามารถเอาชนะจิตหยั่งลึกขั้นแรกได้ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
---------------------------------------
[1] ผีหัวโต (大头鬼) หมายถึง ผู้คนหรือสิ่งของที่นำมาซึ่งโชคร้าย ใช้ในการสบถและหยอกล้อว่าเป็ดั่งคนหัวบวม หัวใหญ่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้