อันเจิงคิดอยู่เสมอว่า ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าหอสมุดมายานั้นดูคลับคล้ายคลับคลากับใครบางคนที่เขารู้จัก แต่ใบหน้าดังกล่าวไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเขาเลยกลับเป็แววตาของอีกฝ่ายที่เขาคุ้นเคย คิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็สรุปได้ว่า เขาน่าจะเคยเห็นดวงตาคู่นี้ที่ไหนมาก่อนเพียงแต่ตอนนั้นอาจไม่ทันได้ใส่ใจเพราะว่าแววตาของเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่ยังไม่ได้เข้าร่วมนิกายมันก็คล้ายๆ กันหมด
กับเด็กหนุ่มที่ยืนะโอยู่หน้าหอสมุดมายาอย่างกล้าหาญผู้นั้นอันเจิงรู้สึกเคารพอีกฝ่ายไม่น้อย ปีนั้นเขาก็เป็เหมือนชายหนุ่มผู้นี้เลือกนิกายที่้าจะเข้าศึกษาเอง จากนั้นยืนะโอยู่หน้านิกายนั้นว่า้าเข้าไปเป็ศิษย์และจะเป็ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุด
ภายหลังเขาก็ประสบความสำเร็จจริง ๆ
พวกที่ออกมาต้อนรับเด็กหนุ่มชุดขาวคือกลุ่มผู้คุมที่ดูคล้ายอันธพาลมากกว่าในสายตาอันเจิงนับั้แ่มู่ฉางเยียนจากไป บรรยากาศของหอสมุดมายาก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆตอนที่มู่ฉางเยียนยังอยู่อย่างน้อยที่สุดคนพวกนี้ก็ยังหวาดกลัวไม่กล้าทำตัวผยองมากเกินไป แต่หลังจากเชียวจ่างเฉินเข้ามารับตำแหน่งแทนเขาก็หลงใหลเพลิดเพลินไปกับโลกมายา ไม่เหลือเค้าความเป็ทหารอีกยิ่งไม่เหมือนรองแม่ทัพแห่งกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กของต้าเยี่ยนที่แสนยิ่งใหญ่
อาจเป็เพราะ่เวลาที่เขาอยู่ในกองทัพได้ใช้ชีวิตหดหู่และกดดันตัวเองมากจนเกินไป เมื่อมาอยู่ในโลกมายา สถานที่ที่สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจจึงหลงระเริงยิ่งถูกคนปลิ้นปล้อนเลียแข้งเลียขา ถูกผู้คนมากมายมองด้วยสายตาชื่นชมนับถือ เขาก็ยิ่งปล่อยตัวไม่สนกฎเกณฑ์อันใดอีก
ชีวิตในหนึ่งวันของเขา หากไม่เข้าหอโคมเขียวก็ไปขลุกอยู่ที่โรงเหล้าดื่มจนเมามายลืมวันเวลายากลำบากที่เคยมีจนหมดสิ้น หมดแล้วซึ่งมาดของทหารหาญกลุ่มทหารของอัศวินเพลิงเหล็กที่เคยเคร่งครัดในกฎระเบียบอีกสามสิบชีวิตเอง ก็ถูกความเลื่อนเปื้อนโสมมของที่แห่งนี้พาออกนอกลู่นอกทางไปเช่นกัน
ผู้คุมหลายคนเดินกร่างออกมาอย่างยโสขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด พวกเขาก็ถูกตั๋วเงินของชายหนุ่มชุดขาวที่โปรยลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจทำเอาหุบปากไปเสียก่อนก้มมองบนพื้น ตั๋วเงินแต่ละใบมีค่าถึงหนึ่งหมื่นตำลึง
“เชิญทุกท่านนำทางข้าเข้าไปดื่มชาหน่อย”
แม้ปากจะพูดคำว่าเชิญแต่ใบหน้าของเขานั้นแสดงออกถึงความเย่อหยิ่งชัดเจนเขาไม่ได้ส่งมอบตั๋วเงินพวกนั้นให้กับเหล่าผู้คุมโดยตรง แต่โปรยมันลงพื้น
ผู้คุมพวกนั้นแม้ตอนแรกจะตกตะลึงไม่น้อยกับท่าทีของชายชุดขาวตรงหน้าแต่หลังจากได้เห็นตัวเลขบนตั๋วเงินชัด ๆ พวกเขาก็หัวเราะออกมาพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง เชิญคุณชายชุดขาวเข้าไปข้างในประหนึ่งเป็บ่าวรับใช้ส่วนตัวของอีกฝ่ายท่าทีแตกต่างจากตอนออกมาลิบลับ
“คุณชายท่านนี้ไม่ทราบว่าท่าน้าให้ข้าพาท่านไปพบอาจารย์ หรือพบกับศิษย์ที่ดูแลเื่การทดสอบเข้าสำนักดี?”
“ไม่จำเป็ พาข้าไปที่แท่นนวดาราเลย”
“นี่ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยหากไม่มีคำอนุญาตจากอาจารย์ คนนอกไม่สามารถเข้าใกล้แท่นนวดาราได้”
“เอานี่ไปซื้อเหล้าดื่ม”
ชายหนุ่มชุดขาวควักตั๋วเงินส่งให้สองสามใบ ผู้คุมคนนั้นก็หน้าบานรีบกลับคำทันที“แต่ข้าเห็นท่านมีสง่าราศี จิตใจดี นับว่ามีพวกเรามีวาสนาต่อกันไม่น้อย ข้าจะมองข้ามเื่พวกนี้ไปก็แล้วกันโดนด่าไม่เป็ไร ให้ข้าได้นำทางท่านไปเถิด”
ชายหนุ่มชุดขาวแค่ขานรับเบา ๆก่อนจะพูดคำว่า “ลำบากเ้าแล้ว” ออกมา
แม้ภายนอกเขาจะดูสุภาพและเกรงใจแต่ในความเป็จริงแล้ว เนื้อในของคนผู้นี้เหนือชั้นกว่าบรรดาผู้คุมขั้นหนึ่ง เขารู้ชัดแจ้งไปถึงกระดูกของอีกฝ่ายเลยละ
อันเจิงรู้สึกแปลก ๆตระกูลใหญ่ทั้งหลายในโลกมายาไม่ค่อยส่งลูกหลานเข้ามาเรียนที่หอสมุดมายาแห่งนี้นักยิ่งเป็เด็กที่มีพร์สูงส่ง ก็ยิ่งผลักดันให้พวกเขาไปเข้าสำนักด้านนอกโลกมายามากกว่าบางตระกูลถึงขนาดส่งไปอยู่จักรวรรดิต้าซีก็มี ให้ฝึกฝนและเข้าร่วมสำนักที่นั่น
ดังนั้น พวกที่เลือกเข้าศึกษาที่หอสมุดมายาล้วนแต่เป็ประเภทขี้ขลาดไม่กล้าออกไปเผชิญกับโลกภายนอกหรือไม่ตระกูลของพวกเขาก็ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะสนับสนุนให้พวกเขาไปฝึกฝนยังสถานที่ที่ดีกว่า
บรรยากาศรอบตัวเด็กหนุ่มคนนี้ประหลาดพิกลมันมืดมน มืดมนมากจริง ๆ อันเจิงอดไม่ได้ต้องคิดเื่นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาพยายามเค้นเอาจากความทรงจำว่า เคยเจออีกฝ่ายที่ไหนมาก่อนหรือไม่แต่หลังจากคิดไปได้ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา
ผู้เฒ่าฮั่วยกน้ำเต้าขึ้นกระดกแสร้งทำเป็เมาหนัก จากนั้นหรี่ตาลงมองไปยังฝั่งตรงข้าม“เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“แขนข้างหนึ่งของเ้าหนุ่มนั่นน่าจะเคยมีปัญหามาก่อนเพราะการเคลื่อนไหวของมันไม่เป็ธรรมชาติเอาเสียเลย เ้าอาจมองไม่ออก แต่หลอกสายตานักหลอมอาวุธอย่างข้าไม่ได้หรอกยังจำได้หรือไม่ ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งหลอมกระดูกนอกดามแขนให้เ้าอ้วน?ของระดับนั้นสำหรับข้าก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นสนุก ให้ข้าเดานะ แขนของเ้าหนุ่มนั่นข้างหนึ่งน่าจะเป็ของปลอม”
“ของปลอม?”
อันเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นไม่นานหัวสมองของเขาก็พลันสว่างวาบ...เป็เขารึ!
อันเจิงคิดถึงเฉินชี บุตรชายเพียงคนเดียวของเฉินผู่แต่ใบหน้าของเฉินชีไม่ใช่แบบนี้นี่ หรือว่าเขาจะเปลี่ยนใบหน้าด้วย?ใช่ว่าอันเจิงจะไม่เคยไล่ล่าผู้ร้ายที่เปลี่ยนแปลงใบหน้าเพื่อหลบหนีเขามาก่อนทั้งยังไม่ได้มีแค่คนเดียวที่ทำแบบนั้นหากว่าอีกฝ่ายคือเฉินชีจริงแล้วมาขอเข้าเรียนที่หอสมุดมายาไม่แน่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายอาจไม่ได้อยู่ที่หอสมุดมายา แต่อยู่ที่ตัวเขา
ก่อนหน้านี้อันเจิงได้ทำลายแขนข้างหนึ่งของเฉินชีทิ้งไปเขาหันไปถามผู้เฒ่าฮั่วที่อยู่ข้าง ๆ ผู้เฒ่าฮั่วบอกว่า แขนข้างนั้นกับแขนข้างที่ถูกอันเจิงทำลายทิ้งมีสภาพสอดคล้องกันมาก
“นี่เขาจงใจตามข้ามาหรือ?”
อันเจิงแอบพึมพำในใจรู้สึกเป็กังวลเล็กน้อย ครั้งแรกที่เขาเจอกับเฉินชี อันเจิงสามารถทำลายแขนอีกฝ่ายทิ้งได้อย่างง่ายดายแต่ตอนนี้ หากชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าคือเฉินชีจริง ๆระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายก็ก้าวหน้ารวดเร็วเกินไปแล้ว อันเจิงไม่อาจมองเห็นระดับการบ่มเพาะของชายชุดขาวได้แต่ที่เขาแน่ใจก็คือ อีกฝ่ายต้องเข้าสู่ระดับผู้เริ่มต้นแล้วแน่ ๆมิหนำซ้ำระดับการบ่มเพาะของเขาอาจไม่ได้อยู่แค่เพียงขอบเขตจุติ์ขั้นหนึ่งด้วยความมืดมนที่มาพร้อมกับความเชื่อมั่นของอีกฝ่าย อันเจิงบอกเลยว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะทำแบบนั้น
อย่างไรก็ตามอันเจิงยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หากว่าเขาคือเฉินชีระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยนอกเสียจากว่าเขาจะบังเอิญไปพบกับเหตุการณ์อันน่าทึ่งเข้า
อันเจิงคิดอยู่ในใจ ถ้ามีโอกาสเขาต้องเข้าไปตรวจสอบดูสักหน่อยว่าแขนของอีกฝ่ายเป็ของจริงหรือไม่ ถ้าเป็ของปลอมอย่างที่ผู้เฒ่าฮั่วว่าบุคคลนี้จะเป็ภัยคุกคามต่อตัวเขาในอนาคตแน่
ในหอสมุดมายา
เฉินชีวางมือของตนเองลงบนแท่นนวดาราจากนั้นไม่นานแสงสีแดงก็เปล่งประกายไปทั่ว
ใบหน้าของผู้คุมที่เป็คนนำทางเขามาทดสอบเต็มไปด้วยความประหลาดใจมองดูชายหนุ่มแสนหยิ่งยโสตรงหน้า เขาเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่า ศักยภาพของอีกฝ่ายจะไปได้ถึงขนาดไหน
แสงสีแดงทะยานขึ้นไปด้วยความรวดเร็ว เพียงพริบตามันก็ทะลวงไปถึงดาราดวงที่สี่แล้วหยุดลงก่อนถึงดาราดวงที่ห้าพอดิบพอดีเฉินชีรู้สึกขัดใจเล็กน้อย เขาคิดว่าศักยภาพของตนเองน่าจะสูงกว่านี้ตอนที่เขายังอยู่ในตระกูลเฉินทำงานเป็ผู้ติดตามของเฉินเซ่าป๋ายเขาไม่กล้าบอกใครว่าตัวเองสามารถฝึกฝนได้เพราะหากคนอื่นรู้ว่าศักยภาพร่างกายของเขาโดดเด่นกว่าของเฉินเซ่าป๋ายคนตระกูลเฉินจะต้องรีบกำจัดเขาทิ้งแน่
เพื่อปกปิดเื่ที่เขาสามารถบ่มเพาะได้เฉินผู่จึงได้สรรหายามากมายมาให้เขาดื่ม เพื่อทำให้จิติญญาของเขาไม่ถูกค้นพบโดยผู้อื่น
เฉินชีคิดถึงคำพูดของเฉินผู่ที่พูดกับเขาลูกเอ๋ย...ที่บิดาปิดบังพร์ของเ้าเช่นนี้ ทั้งหมดก็ล้วนเพื่ออนาคตของเ้า รอบิดากำจัดไอ้พวกเหลาะแหละพวกนั้นทิ้งก่อนได้สมบัติของตระกูลเฉินมาเมื่อไหร่ พวกเราก็ไม่จำเป็ต้องอดกลั้นอีกถึงตอนนั้นอยากจะทำอะไรก็ไม่จำเป็ต้องมองสีหน้าผู้อื่นแล้วบิดาจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดทั้งหมดให้แก่เ้า ชดเชยสิ่งที่เ้าได้สูญเสียไปทุกอย่างแต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เ้าต้องจำไว้ให้ดีตอนนี้เ้าเป็เพียงสุนัขตัวหนึ่งของเฉินเซ่าป๋ายเท่านั้น
ข้าไม่ใช่สุนัข ข้าคือเฉินชี
ในใจของเฉินชีเต็มไปด้วยความคั่งแค้นวินาทีนั้นเองแสงสีแดงที่คล้ายจะมอดดับลงไปแล้วก็สว่างจ้าขึ้นอีกครั้งมันเริ่มทะลวงผ่านขึ้นไปยังดาราดวงที่ห้า!
“ก็พอใช้ได้”
เฉินชีพูดกับตัวเองหนึ่งประโยคก่อนจะหันกลับมาหาผู้คุม “รบกวนท่านพาข้าไปพบท่านอาจารย์หน่อย”
ผู้คุมตอนนี้เป็อัมพาตไปแล้วถึงเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการฝึกฝนคนตรงหน้าเขาผู้นี้กับศักยภาพร่างกายระดับห้าดารา นี่คืออัจฉริยะตัวจริง!
ครั้งแรกในชีวิตเขาเลยที่ได้เห็นแท่นนวดาราส่องแสงสว่างขนาดนี้ฉับพลันเขาตระหนักได้ถึงความโง่งมของตัวเอง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าลูกศิษย์คนก่อน ๆที่มีศักยภาพสองถึงสามดาราไม่นับว่าเป็ตัวอะไร ไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้น่าโอ้อวด
บนโลกใบนี้ ศักยภาพร่างกายของผู้ฝึกตนส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับสองดาราไม่เกินไปจากนี้สามดาราจะถูกมองว่าเป็อัจฉริยะหนึ่งในพันที่หาได้ยาก สี่หรือห้าดาราคืออัจฉริยะหนึ่งในหมื่นที่หาได้ยากยิ่งส่วนหกดาราขึ้นไปเรียกได้ว่าแทบไม่มีหวังจะพบเจอ หากสำนักหรือนิกายใดโชคดี มีลูกศิษย์ที่มีศักยภาพระดับหกดาราขึ้นไปอยู่ในการดูแลพวกเขาจะให้ความสนใจและมอบสิ่งที่ดีที่สุดทุกอย่างให้กับศิษย์คนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับเจ็ดดาราขึ้นไปบนโลกใบนี้เด็กที่มีศักยภาพร่างกายถึงเจ็ดดารามีน้อยยิ่งกว่าน้อย แทบจะนับด้วยนิ้วมือข้างเดียวได้
ผู้คุมรู้แล้วว่าบัดนี้ตัวเองได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ขึ้นมา เขารีบนำทางเฉินชีเดินออกไปทันทีมุ่งหน้าไปยังห้องพักของเจินจวงปี้รองอาจารย์ใหญ่ของหอสมุดมายาโดยตรง
เจินจวงปี้ตอนนี้มีอายุเท่าไหร่ไม่สามารถตรวจสอบได้การที่เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็ถึงรองอาจารย์ใหญ่ของหอสมุดมายา ก็ไม่ได้มาจากความสามารถทางด้านวิชาการของเขาโดยตรงแต่มาจากสุดยอดทักษะอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขาสามารถมองสีหน้าและสังเกตอารมณ์จากน้ำเสียงหรือคำพูดของผู้อื่นได้ตอนที่มู่ฉางเยียนยังอยู่ เขาปรนนิบัติอีกฝ่ายจนมู่ฉางเยียนได้รับความสะดวกสบายและพึงพอใจอย่างถึงที่สุดจนกระทั่งเชียวจ่างเฉินขึ้นมารับตำแหน่งใหม่ เจินจวงปี้ก็รีบเข้าไปแสดงความจงรักภักดีของเขาต่อเชียวจ่างเฉินทันที
เจินจวงปี้ภายนอกดูเหมือนตาแก่อายุประมาณห้าสิบปีรูปร่างผอมมาก แต่กลับชื่นชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าตัว
เขามีดวงตาตี่เล็ก ไว้เคราแพะ มักจะชอบใช้คำพูดเ้าบทเ้ากลอนแต่กับสถานที่อย่างโลกมายานี้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่ากลอนที่เขาพูดออกมานั้นถูกต้องหรือไม่
ได้ยินว่ามีเด็กที่มีศักยภาพถึงห้าดาราเข้ามา เจินจวงปี้ก็ดีใจจนเนื้อเต้น
“ไหน? เขาอยู่ที่ไหน?”
ร่างที่แต่เดิมนอนเอนอยู่บนเก้าอี้โยก มีหญิงงามคอยปรนนิบัตินวดขาให้อยู่ไม่ห่างหลังจากได้ฟังคำพูดของผู้คุมก็รีบเด้งตัวขึ้นมาทันที ก้าวอาด ๆเดินออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว “หอสมุดมายาของข้าครั้งนี้ได้เวลาผงาดแล้ว”
แต่ทันทีที่เดินออกมาสายตาของเขาก็สบเข้ากับชายหนุ่มชุดขาวที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอกพอดีเมื่อคิดว่าคำพูดของตนเองถูกคนข้างนอกได้ยินเข้าก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเขากระแอมไอล้างคอสองสามครั้ง วางมาดเคร่งขรึมแบบฉบับรองอาจารย์ใหญ่ก่อนจะพูดออกไป“อันที่จริงกับเด็กที่ร้องขอเข้ามาเป็ศิษย์ในหอสมุดอย่างเ้าปกติพวกเราไม่ค่อยรับกันหรอกนะ เพราะหอสมุดมายาของพวกเราไม่ใช่ที่ที่ใครอยากจะเข้ามาก็สามารถเข้ามาได้”
เฉินชีพยักหน้ารับ “ข้าทราบขอรับขอบพระคุณท่านรองอาจารย์ใหญ่ในความกรุณา”
เจินจวงปี้แอบคิดในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลย
“ตอนนี้ท่านอาจารย์ใหญ่ไม่อยู่ข้าจะเป็ผู้นำทางเ้าไปเยี่ยมชมหอสมุดของพวกเราก่อนรอจนกระทั่งท่านอาจารย์ใหญ่กลับมา ค่อยให้เขาตัดสินใจอีกทีว่า จะให้เ้าไปเป็ศิษย์ในการดูแลของอาจารย์ท่านไหนเ้าเองก็รู้ว่าหอสมุดมายาคือสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในโลกมายาแห่งนี้ ลูกศิษย์ภายใต้การดูแลของอาจารย์แต่ละท่านก็ช่างมากมายดังนั้นแล้วการจะเข้าไปเป็ศิษย์ของอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งนั้นไม่ใช่เื่ง่ายนัก”
เฉินชีโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ขอความกรุณาท่านรองอาจารย์ใหญ่ช่วยดูแลข้าด้วย”
เฉินชีหยิบกล่องเล็ก ๆออกมาจากอกเสื้อของเขาแล้วยัดมันใส่มือเจินจวงปี้ “นี่คือชาเหยียนฉาจากเทือกเขาหมอกเมฆาที่บิดาของข้าชื่นชอบมากที่สุดแม้ไม่นับว่าเป็ของมีค่าอันใดแต่ก็หาได้ยากยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ของสิ่งนี้ยังมีสรรพคุณพิเศษอยู่นั่นคือหากดื่มต่อกันเป็เวลานานมันสามารถเสริมพลังหยางในกายได้...”
เจินจวงปี้เปิดกล่องเล็ก ๆ นั้นออกดูพบว่านอกจากใบชาจำนวนหนึ่งแล้วยังมีหยกแห่งิญญาระดับกลางอีกหนึ่งก้อน
ดวงตาชายแก่สว่างวาบขึ้นทันที เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า“ในเมื่อไม่ใช่ของมีค่าอันใดเช่นนั้นข้าก็จะขอรับมันไว้ก็แล้วกันนี่ถ้าเป็ของมีค่าละก็ข้าไม่กล้ารับมันไว้แน่ ๆ ทุกคนในโลกมายาต่างก็รู้ดีว่า ข้าเจินจวงปี้เป็คนยุติธรรมและซื่อสัตย์มากขนาดไหนตลอดอายุการทำงานของข้าไม่เคยรับสินบนมาก่อน แน่นอนหากแค่ใบชาก็ไม่นับว่าเป็อะไรอีกหน่อยหากเ้ามีอีก ช่วยนำมาแบ่งให้ข้าลิ้มลองหน่อยละกัน ข้าชอบดื่มชาเป็ที่สุด”
เฉินชีพยักหน้า “รอได้ของใหม่มาข้าจะนำมาแบ่งให้ท่านอีก”
“ดีมาก ดีมาก”
เจินจวงปี้ยิ้มแก้มปริถามขึ้นขณะที่เดินไปด้วยว่า “ยังไม่รู้เลยว่าเ้าชื่ออะไร มาจากที่ไหน?”
“ข้าชื่อเฉินโจวขอรับ”
“ข้าไม่ใช่คนของโลกมายาแต่เพราะที่บ้านมีปัญหาเล็กน้อยจึงได้ออกจากตระกูลเดินทางเสาะหาสถานที่ฝึกฝนเพียงลำพังจนกระทั่งมาถึงที่นี่เข้าข้าได้ยินมาว่าหอสมุดมายาแห่งนี้คือสำนักศึกษาที่โดดเด่นที่สุดในโลกมายาจึงได้รีบมาที่นี่”
“ใช่ เ้าพูดถูกต้องแล้ว”
เจินจวงปี้กล่าวต่อ “ในรัศมีหลายร้อยหลายพันกิโลเมตรนี้ไม่มีสำนักใดดีไปกว่าหอสมุดมายาของพวกข้าอีกแล้วในเมื่อเ้าเป็คนที่มาจากโลกภายนอกอีกหน่อยหากมีปัญหายุ่งยากอะไรก็สามารถมาปรึกษาข้าได้ข้าจะพยายามช่วยเ้าอย่างเต็มที่ ว่าแต่ดูจากบรรยากาศเด็ดขาดไม่ธรรมดารอบตัวเ้าคิดว่าครอบครัวของเ้าคง...”
เฉินชีแสยะยิ้มเย็นในใจ รู้ว่าเจินจวงปี้กำลังพยายามหาข้อมูลเื่สถานภาพครอบครัวของเขาอยู่จึงได้ตอบกลับไปว่า“บ้านข้าอยู่อันโจวขอรับ สถานภาพครอบครัวไม่แย่ มีกินมีใช้ มีที่นาหนึ่งหมื่นไร่มีข้าทาสบริวารอีกกว่าร้อยคน บิดาของข้ามีความสัมพันธ์ไม่เลวนักกับราชวงศ์ของแคว้นจ้าวแต่เนื่องจากตอนนี้แคว้นจ้าวกำลังอยู่ใน่คัดเลือกาาพระองค์ใหม่บิดาจึงได้ให้ข้าออกจากบ้านมา รอสถานการณ์ที่นั่นสงบลงแล้วค่อยกลับไป”
เจินจวงปี้สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ที่แท้ก็เป็แบบนี้เ้าวางใจได้ หอสมุดมายาก็เหมือนบ้านเ้าอีกหลังหนึ่ง”
เฉินชีขานรับเบา ๆ
“เฉินโจว...เฉินโจว[2]ชื่อนี้ฟังแล้วไม่ค่อยเป็มงคลเท่าไหร่เลย”
“ทุบหม้อจมเรือศิษย์กลับคิดว่าชื่อนี้ช่างเหมาะกับนิสัยของศิษย์นัก”
เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังฝั่งตรงกันข้าม “สำนักฝึกวรยุทธ์โกโรโกโสนั่นมีนักเรียนด้วยหรือขอรับ?”
“ทำไมจะไม่มีเล่า แต่ก็เป็แค่ไอ้พวกสวะไร้ค่าพร์ไม่ได้ดีเด่นอะไรหัวโจกของพวกมันชื่อว่าอันเจิง เป็เด็กกำพร้าคนหนึ่ง แค่ภูมิหลังก็เป็สวะแล้ว!อีกสามเดือนให้หลังพวกนั้นกับหอสมุดมายาของพวกเรามีนัดประลองกันแต่ไม่ต้องใส่ใจไปหรอก กับแค่เศษเดนไม่กี่คนอาศัยศิษย์ที่แย่ที่สุดในหอสมุดของพวกเราก็สามารถเอาชนะพวกนั้นทั้งหมดได้แล้ว”
เฉินชีหัวเราะหึ ๆ “อย่างนั้นหรือขอรับ...ดูเหมือนข้าจะเลือกมาได้ถูกที่แล้ว”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[2] เฉินโจว(陈舟)ในที่นี้พ้องเสียงกับคำว่าเฉินโจว(沉舟)ที่มีความหมายว่าจมเรือมาจากสำนวนทุบหม้อจมเรือ(破釜沉舟)หมายถึงตัดสินใจสู้ตาย อุปมาว่าไปตายเอาดาบหน้า