เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานหอบเอาก้อนหินแร่สองก้อนกลับมาลู่ซานชุนก็รีบเข้าไปรับ
แม้ว่าจะรู้ว่า “คุณหนูหลิน” มีความสามารถมาก แต่จะให้ยืนมองหญิงสาวขนของหนักๆ แบบนั้นลู่ซานชุนก็คงจะทำไม่ได้
“คุณหนูหลิน ขนก้อนหินสองก้อนนี้กลับมาทำไมเหรอครับ?” ด้วยกำลังของลู่ซานชุนยังรู้สึกว่ามันหนักอยู่นิดหน่อยเขานึกไม่ออกเลยว่าทำไมผู้หญิงที่ดูอ่อนนุ่มอย่างหลินลั่วหรานถึงได้ถือมันมาราวกับหิ้วถุงผักแบบนั้น
หลินลั่วหรานยิ้มออกมา “ด้านในของก้อนหินมีของดีอยู่น่ะค่ะหลังจากนี้เดี๋ยวก็จะได้รู้แล้ว”
แม้ว่าจะยังคงไม่เข้าใจ แต่ลู่ซานชุนก็ได้แต่เอียงหัวพร้อมกับขนก้อนหินของหลินลั่วหรานขึ้นตึกไป
เหมือนว่าผู้บังคับบัญชาฉินจะไม่อยู่บ้านหลินลั่วหรานเข้าไปดูอาการของเป่าเจียก่อน ตอนนี้เธอไม่ปล่อยเหงื่อสีดำออกมาแล้วพลังในร่างก็สงบลง เมื่อนึกถึง “พื้นฐานพลัง” ที่ผู้บังคับบัญชาฉินพูดถึง ว่ามีอยู่ห้าชนิดไม่รู้ว่าเป่าเจียจะเป็แบบไหน?
แต่ว่าเดี๋ยวก่อนนะ แล้วตัวเราเองล่ะ เป็แบบไหนกัน?
หลินลั่วหรานนึกขึ้นมาได้ในตอนที่นั่งสมาธิพลังที่ดูดซึมมาต่างก็มาจากไข่มุกทั้งนั้นพลังที่บริสุทธิ์แบบนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แบ่งชนิดกันยังจะคิดไปลองตอบสนองกับพลังทั้งห้าของธรรมชาติอีก!
วันที่ต่อสู้กับเหวินกวนจิ่ง เขาเพียงแค่ทำท่าทางมืออะไรสักอย่างสมาธิก็ปรับแต่งพลังไฟได้แล้ว หรือว่าเขาจะเป็พวกธาตุไฟ?
ความจำดีจนน่าใเหมือนว่าจะเป็ข้อดีเสริมของการฝึกศาสตร์เมื่อหลินลั่วหรานคิดย้อนกลับไปในตอนนี้แม้ว่าท่าทางมือของเหวินกวนจิ่งในคืนนั้นจะรวดเร็วมากแต่เพราะว่าถูกขัดขวางอยู่หลายครั้งทำให้หลินลั่วหรานได้แต่มองอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ท่าทางนั่น เหมือนจะเป็แบบนี้นะ?
หลินลั่วหรานขยับนิ้วมือไปเรื่อยๆ พร้อมกับเดินออกมาจากห้องของเป่าเจีย
ที่เธอไปซื้อหยกมา ก็เพราะว่าอยากจะศึกษายุทธศาสตร์ของหยกแต่ตอนนี้กลับนึกถึงสิ่งที่ล้ำลึกกว่ายุทธศาสตร์ของหยกขึ้นมาได้ลูกไฟที่เหวินกวนจิ่งปล่อยออกมาในวันนั้น น่าจะค่อนข้างมั่นใจเลยใช่ไหม? ถ้าหากเธอสามารถศึกษาการปล่อยพลังของเหวินกวนจิ่งได้ทั้งหมดก็คงจะดีกว่ารอยยุทธศาสตร์บนแผ่นหยกที่ถูกรอยแตกสกัดกั้นเอาไว้อีกทั้งยังต้องใช้ความเข้าใจและทดลองอีกมาก
คฤหาสน์ของตระกูลฉินถือว่าใหญ่มาก อีกทั้งยังมีชั้นดาดฟ้าอันเงียบสงบหลินลั่วหรานเกรงว่าหากไปทดลองในห้อง อาจจะทำลายบ้านตระกูลฉินทั้งหลังได้จึงเลือกที่จะไปยังชั้นดาดฟ้า
หลินลั่วหรานสูดลมหายใจเข้าลึกๆเธอหลับตาลงพร้อมกับนึกถึงขั้นตอนการปล่อยลูกไฟของเหวินกวนจิ่งอย่างละเอียด
อย่างแรกคือนิ้วกลางและนิ้วก้อยข้างขวายืดตรง สามนิ้วที่เหลือชิดติดกันนิ้วโป้งและนิ้วกลางวางลงบริเวณข้อที่สองของนิ้วนาง ถ้าไม่ใช่คนที่มืออ่อนทำท่าทางแบบนี้คงทำให้นิ้วบิดกันเป็เกลียวได้ง่ายๆการฝึกศาสตร์ไม่ใช่เื่คนที่คนทั่วไปจะทำกันได้ง่ายๆ จริงๆ
ในใจของหลินลั่วหรานเริ่มนึกขึ้นมาได้คร่าวๆ เธอก็ทำท่าที่สองออกไปต่อ แต่การที่ลูกไฟลูกเล็กๆ ออกมานี้ เมื่อแบ่งท่าทางออกมาแล้วกลับมีท่ากว่าสามสิบหกท่าซ้อนทับกันอยู่!
ความจำของหลินลั่วหรานดีจนน่าใ เพียงใช้เวลาคิดเล็กน้อย เธอก็ค่อยๆทำตามท่าทางเ่าั้ออกมาช้าๆ
หลังจากย้อนความคิดเสร็จ เธอก็ลองเริ่มต้นใหม่ั้แ่แรกอีกครั้งจัดการทำท่าทางทั้งสามสิบหกท่าออกมาต่อกัน ผลลัพธ์ก็เห็นกันได้ชัดอยู่หลินลั่วหรานไม่ใช่ผู้มีพร์จนน่าประหลาดใจอย่างในนิยายหากครั้งแรกสามารถปล่อยลูกไฟออกมาได้ นั่นก็คงราวกับการเห็นผีกลางวันแสกๆ
ไม่ว่าจะเป็การเริ่มฝึก หรือการแอบลอบเรียนอย่างน่าอับอายหลินลั่วหรานก็ไม่ได้มีความคิดว่าเพียงรอบเดียวก็จะทำได้อยู่แล้วอย่างไรวันนี้ก็อากาศดีทีเดียว เธอนอนลงบนเก้าอี้หิน เพื่อพักครุ่นคิด
ดูจากความเร็วในการปล่อยพลังของเหวินกวนจิ่งในวันนั้น ท่าทางทั้งสามสิบหกท่าต่อกันออกมาไม่ขาดสายนั่นคงเป็เพราะเขาฝึกมาหลายครั้งแล้วสินะ
แม้ว่าหลินลั่วหรานจะกำลังนอนอยู่ ร่างกายรู้สึกเบาสบายมือขวาคอยทำท่าทางเ่าั้อยู่ตลอด จนกระทั่งคุณป้ากวงมาตามไปทานข้าวมือที่ถือตะเกียบข้างขวาของเธอก็อดที่จะทำท่าจีบขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นสายตาแปลกใจของคุณป้าหวง หลินลั่วหรานก็ได้แต่ส่งยิ้มเมื่อทานข้าวเสร็จก็วิ่งกลับขึ้นไปยังดาดฟ้าอีกครั้ง
จิตใจของเธอหมกมุ่นอยู่กับท่าทางทั้งสามสิบหกท่าจึงไม่ได้ถามว่าคืนนี้ผู้บังคับบัญชาฉินจะกลับมาทานข้าวหรือเปล่า
ั้แ่ที่เธอยังเป็เด็ก เธอก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไรตลอดเส้นทางที่สอบเข้ามาเรียนในโรงเรียนมัธยมในเมืองจนเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ได้นั้น ต่างก็มาจากความอดทนของเธอปัญหาวิชาวิทยาศาสตร์ไร้ความน่าสนใจเ่าั้ หลินลั่วหรานสามารถทำมันซ้ำไปซ้ำมาได้ตอนนี้เธอสนใจที่จะเรียนรู้การปล่อยลูกไฟมากกว่า จึงทำท่าทางเ่าั้ซ้ำไปซ้ำมาแต่กลับไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย
วันนี้ทั้งวันเธอฝึกจนถึงเย็น ในที่สุดสิ่งที่หลินลั่วหรานเสียไปก็ส่งผลตอบกลับ ภายในความเร็วของมือ ระยะเวลาในการทำท่าทั้งสามสิบหกท่าก็ไม่ได้ต่างจากที่เหวินกวนจิ่งทำในวันนั้นเกินสิบวิแล้ว
น่าเสียดายที่หลินลั่วหรานไม่มีจุดสำคัญที่เธอจะปล่อยลูกไฟออกไปทำให้เธออดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้ ช้าไปสิบวินาที จะทำออกมาได้จริงเหรอ?
แต่ว่า ตอนที่เหวินกวนจิ่งปล่อยพลังออกมาวันนั้นเห็นได้ชัดว่าดึงพลังมาจากรอบตัว แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
เวทลูกไฟนี้...คือการทำให้พลังธาตุไฟในอากาศตอบรับกับตัวเองเหรอ?
ในตอนนี้หลินลั่วหรานลืมไปแล้วว่า เธอยังไม่รู้ว่าเธอมีพื้นฐานพลังชนิดไหนความจริงต่อให้เธอรู้จากความมือใหม่ของเธอ อย่างไรก็คงไม่รู้อยู่ดีว่าพื้นฐานพลังจำกัดการปล่อยพลังของแต่ละธาตุเอาไว้ หรือจะให้พูดก็คือหากผู้ฝึกศาสตร์คนหนึ่งเป็ธาตุน้ำ ถ้าเขา้าจะปล่อยลูกไฟ นอกจากจะใช้สัญลักษณ์อย่างอื่นช่วยแล้วก็ต้องใช้ของวิเศษที่จะสามารถยืมพลังไฟมาได้เท่านั้น
หลินลั่วหรานหลับตาลง ปล่อยให้ทั้งกายและใจผ่อนคลาย ค่อยๆรู้สึกว่าที่นี่มีแต่ความเงียบสงัด เหลือเพียงแค่ตัวของเธอคนเดียวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของบ้านตระกูลฉิน
ผ่านไปสักพัก แม้แต่ตัวเองยืนอยู่ที่ไหนเธอก็ไม่อาจจะััได้ถึงมันอีกแล้ว ราวกับว่าเธอกำลังล่องลอยไปในห้วงอากาศ
เมื่อผ่านไปอีกสักพัก หลินลั่วหรานก็ไม่รู้สึกถึงการล่องลอยอีกต่อไปราวกับว่าตัวของเธอได้เข้าไปยังค่ำคืนที่ไร้ที่สิ้นสุดไปเสียแล้ว
แสงไฟในเมืองหลวงค่อยๆ สว่างขึ้นมา ราวกับดวงดาวบนท้องนภา
แต่นั่นกลับยังไม่อาจเทียบได้กับภาพที่หลินลั่วหรานเห็นอยู่ในตอนนี้ หลังจากที่เธอได้เข้ามายังช่องว่างระหว่างฟ้าดิน รอบๆตัวของเธอก็เต็มไปด้วยแสงห้าสี สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีทอง และสีน้ำตาล...พวกมันคือโมเลกุลพลังทั้งห้าอย่างนั้นเหรอ?
หลินลั่วหรานใกับภาพสวยงามตรงหน้า ดวงตาประกายแสงเหล่านี้เหมือนกับหิ่งห้อยห้าสีที่กำลังโบยบินไปในอากาศ พลังขยับไปตามธรรมชาติสวยงามยิ่งกว่าแสงสีใดๆ
ดังนั้น จิติญญาเล็กๆ สีแดงที่ยืดหางขยับไปมา ก็คือโมเลกุลของพลังธาตุไฟอย่างนั้นเหรอ? หลินลั่วหรานนึกถึงเป้าหมายของตัวเองขึ้นได้ ก่อนจะค่อยๆแบ่งจิตความคิดของตัวเองออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อไปสร้างความสนิทสนมกับพลังธาตุไฟเ่าั้
เดิมทีสิ่งเล็กๆ เ่าั้ก็ต่างเล่นสนุกได้ด้วยตัวของมันเอง เมื่อมีพลังแปลกหน้าเข้ามาไม่เหมือนกับพลังอีกสี่ชนิดที่เล่นด้วยอยู่ทุกวัน พวกมันก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
หลายวันก่อนจิตความคิดของหลินลั่วหรานได้รับความเสียหายเมื่อมองดูแล้วช่างน่าสลดใจ ไม่ได้มีความรุกรานใดๆจึงไม่ได้ดึงดูดการโจมตีของพลังธรรมชาติที่ยุ่งเหยิง แน่นอนว่าก็ไม่อาจจะดึงดูดความสนใจเช่นกัน
หลินลั่วหรานพยายามที่จะแสดงความจริงใจเพื่อที่จะตีสนิทกับพลังธาตุไฟเ่าั้ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักจิตความคิดของเธอก็เริ่มที่จะรับไม่ไหว ตัวเธอในโลกแห่งความจริงชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่ในตอนนี้หลินลั่วหรานกำลังอยู่ในขอบเขตลึกลับจึงไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่หลินลั่วหรานกำลังพยายามทำความคุ้นเคยกับพลังธาตุไฟอยู่นั้นไข่มุกที่มือขวาของเธอก็ขยับสั่นไหวเบาๆ
กระท่อมเล็กที่หลินลั่วหรานไม่สามารถเข้าไปได้ลอยขึ้นสู่ฟ้าเปลวไฟลุกขึ้นอย่างไร้ที่มา ะโเด้งตัวขยับไปมาก่อนจะทะลุผ่านบาเรียที่กั้นเอาไว้เข้าไปยังในกระท่อม กระท่อมไม้สั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะสงบลงในที่สุดโดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กลับมาที่หลินลั่วหราน พลังที่มึนงงไม่ได้แยกแยะลักษณะของเธอกลับพากันกระตือรือร้นััได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของไข่มุกกลุ่มพลังสีแดงถูกแยกออกมาจากกลุ่มก้อนที่ปนเปกันเหมือนว่าจะไม่อยากที่จะอยู่ร่วมกับพลังที่ยังไม่ถูกคัดแยกเ่าั้แล้วก็เคลื่อนย้ายไปยังเส้นเืเส้นอื่น
ในร่างกายมนุษย์ซ่อนเส้นเืเล็กๆ เอาไว้มากมายอย่าได้พูดถึงการแพทย์ของโลกมนุษย์เลยแม้แต่นักปราชญ์ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็อาจจะไม่รู้เพราะว่าระหว่างการฝึกที่ช้าเฉื่อย เพื่อที่จะเป็รุ่นที่ล้ำลึกก็ไม่อาจจะไปได้ทุกสายเส้นเื
การฝึกศาสตร์เรียนรู้ต่อกันมา วิธีการฝึกต่างมีเส้นทางกำหนดเอาไว้ให้แล้วผู้ฝึกศาสตร์ในแต่ละรุ่นต่างตามหาวิธีการพลังและเวทที่จำและเข้าใจได้ง่ายเหล่านี้โดยสูญเสียการอยากจะตามหาประโยชน์ของเส้นเือื่นไป อย่างไรของที่แม้จะพัฒนาไปแล้วก็ไม่อาจจะใช้ประโยชน์ได้แล้วทำไมจะต้องเสียเวลาไปศึกษาล่ะ?
แต่หลินลั่วหรานนั้น เป็เพียงคนธรรมดาที่ก้าวเข้ามาในโลกแห่งการฝึกศาสตร์เธอไม่ได้มีการนำทางจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ทำให้เส้นทางของเธอดูยากลำบากและเพราะแบบนั้น เธอจึงทำทุกอย่างตามใจในความคิดของเธอไม่ได้มีแนวทางจากอาจารย์คนไหน แม้ว่าจะไม่รู้เื่ราวอะไรมากนักแต่นั่นก็ทำให้เธออยากจะที่ทดลองทำสิ่งต่างๆ...อีกทั้งยังกล้าหาญมากอีกด้วย!
โลกในเวลานี้ พลังทั้งห้าต่างยุ่งเหยิงไม่สงบในตอนที่ผู้ฝึกศาสตร์ระดับฝึกลมหายใจเริ่มฝึกเวทต่างก็อยู่ภายใต้การฝึกของอาจารย์ทั้งนั้น เพราะเกรงว่าหากไม่ระวัง พลังเวทไม่ได้ถูกปล่อยออกมาก็จะไปสร้างความโมโหให้กับเหล่าพลังที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ในตอนนี้แล้วโดนกระทบกลับไป...
มีเพียงหลินลั่วหราน เธอไม่รู้อะไรจึงกล้ามากอย่าได้พูดถึงการชี้นำของอาจารย์เลย แม้แต่การปล่อยพลังเธอยังต้องไปแอบลอกเลียนคนอื่นมาเพื่อศึกษา!
ผู้กล้าหลินไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเธอไม่สามารถหยอกล้อพลังไฟเ่าั้ได้ เมื่อรู้สึกความผิดปกติในร่างกายเธอก็รีบเรียกสติกลับมาจากสภาวะนั้น เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาเต็มศีรษะออกไปพักอยู่ครู่หนึ่งให้สมองได้พักผ่อน ก่อนจะเข้าสู่การมองเห็นภายใน
เอ๋ ทำไมพลังสีแดงเพลิงที่หลบไปอยู่ที่เส้นเือื่นถึงได้ดูคุ้นตาแบบนี้นะ? เมื่อเข้าไปแยกมันออกเพื่อดูอย่างละเอียดก็พบว่าหน้าตาเหมือนกับพลังธาตุไฟที่เพิ่งได้พบมาเมื่อครู่ หลินลั่วหรานรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานี่เป็ครั้งแรกที่พลังในร่างกายของเธอเริ่มแบ่งคุณลักษณะออกมาหรือว่าเธอจะมีพื้นฐานพลังเป็ธาตุไฟกัน?
แต่ว่า ถ้านับจากที่ถูกปลุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อกี้พลังพวกนั้นก็ควรจะเปลี่ยนเป็สีแดงทั้งหมดสิ ทำไมถึงยังเหลือพวกที่ยังไม่รู้ธาตุสงบนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนอยู่อีกเยอะเลยล่ะ?
หลินลั่วหรานนึกถึงความเป็ไปได้ขึ้นก่อนจะเสียแรงผลักดันที่จะเรียนรู้การปล่อยลูกไฟไปทันที
พลังพื้นฐานแบบชนิดเดียวเป็สิ่งที่หาได้ยากเจียงิเยว่เป็ธาตุไม้และน้ำ เพราะว่าธาตุน้ำมีประโยชน์ต่อธาตุไม้เธอจึงนับว่าเป็พร์ที่ดี
แต่ว่าตอนนี้ธาตุไฟของเธอปรากฏออกมาแล้วอีกทั้งยังเหลือพลังที่ยังไม่รู้ธาตุอีกเป็กอง หรือว่าจะยังไม่ตื่นขึ้นมากันนะ?
หลินลั่วหรานหน้ามืดจนอยากจะต่อยคนเมื่อมองไปยังจำนวนของพลังที่ยังไม่รู้ธาตุดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงอีกธาตุเท่านั้นที่รอคอยการปลุกให้ตื่นขึ้น...พระเ้านี่ความสามารถของฉันมันแย่แค่ไหนกันเนี่ย?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้