ระบบราวกับจะกลืนน้ำลาย อ๋าวหรานกำลังคิดว่าตกลงระบบนี้เป็หุ่นยนต์หรือคนกันแน่
“ตระกูลทางแข็งแกร่งกว่าที่คุณคิดไว้มาก เพราะว่านเฟิง้าจะเขียนนิยายเื่ยาว แค่ทางเฉิงหยู้คนเดียวจะจบได้อย่างไร” อ๋าวหรานอดพยักหน้าไม่ได้ นั่นมันก็จริง ระบบจึงพูดต่อว่า “ดังนั้นที่สำคัญตอนนี้ก็คือต้องให้ตัวเอกแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางโต้กลับ”
อ๋าวหรานยิ้มขมขื่น “นี่เป็เื่ที่ฉันตัดสินใจเองได้หรือ? ตอนนี้ทางเต๋อรั่วก็ออกมาแล้ว ไม่มีเวลามาทำให้ตัวเอกแข็งแกร่งหรอกนะ”
ระบบนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “คิดหาวิธีรั้งพวกเขาไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้พวกตัวจริงออกโรง หากว่าพวกทางเต๋อรั่วลงมือละก็ ตระกูลจิ่งในตอนนี้ต้องกลายเป็ซากศพเกลื่อนกลาดอย่างแน่นอน”
อ๋าวหรานทอดถอนใจ หลักการนี้เขาเข้าใจ เขาก็ทำเช่นนี้มาตลอด แต่นี่ไม่ใช่แผนการระยะยาวเสียหน่อย
“แค่กๆ แล้วอีกอย่าง...” ระบบหอบหายใจ “จี๋ต้าว คัมภีร์ลับเล่มนี้ก็ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าที่คุณคิดมากนัก อีกทั้งคัมภีร์ลับนี่ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตัวเอก คนอื่นต่อให้อยู่ในระดับเดียวกับจิ่งฝาน แต่เมื่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ยังต่างกันอยู่หลายขั้น ตอนที่ล้มทางเฉิงหยู้นั่นได้ จิ่งฝานเพิ่งจะฝึกได้ราวๆ ระดับที่หนึ่งเท่านั้น ส่วนทางเฉิงหยู้เกือบจะระดับสามแล้ว ห่างกันขนาดไหน...คุณคงรู้นะ”
อ๋าวหรานฝืนยินดี “สุดท้ายก็มีข่าวดีขึ้นมาบ้าง”
พูดเสร็จก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “แล้วทางเต๋อรั่วในตอนนี้ล่ะ?”
ระบบ “ระดับสี่ คัมภีร์ของพวกเขาไม่สมบูรณ์ อย่างมากก็ไม่เกินระดับห้า”
เยี่ยม มีข่าวร้ายมาอีกแล้ว ระดับสี่! ไม่มีทางสู้ได้เลย!
แต่ว่าอ๋าวหรานก็เริ่มสงสัยขึ้นมาอีก “งั้นหลางฉากับตระกูลทางคนอื่นๆ ล่ะ? ไม่ใช่ว่าหลางฉาฝึกไปครึ่งหนึ่งแล้วหรือ? ทำไมยังสู้ทางเต๋อรั่วไม่ได้อีก?”
ระบบ “เป็เวอร์ชันตัดทอนทั้งสิ้น เอาไว้หลอกคนพวกนี้เท่านั้น เป็ระดับที่ตัดทอนไม่เท่ากัน พวกหลางฉาก็แค่ได้ฝึกอันที่แข็งแกร่งกว่าพวกตระกูลสวีเล็กน้อย แค่กๆ แต่ว่าถึงจะเป็เช่นนี้ก็นับได้ว่าเพิ่งเข้าระดับหนึ่งเท่านั้น”
อ๋าวหรานตกตะลึง ในนิยายต้นฉบับ หลางฉาเป็ถึงยอดฝีมือที่สังหารไปทั่วทั้งสี่ทิศ กลับอยู่แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเ้าคัมภีร์ลับเล่มนี้ก็แข็งแกร่งเสียจนไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว
อ๋าวหราน “จี๋ต้าวมีทั้งหมดกี่ระดับ?”
ระบบ “เก้าระดับ แต่ว่าว่านเฟิงยังเซตไว้อีกว่าเหนือกว่าระดับเก้าขึ้นไปยังมีไร้ระดับ ส่วนเมื่อฝึกจนไปถึงระดับไร้ระดับแล้ว...จะเป็อย่างไรนั้นก็คงบอกยาก”
ถ้าอย่างนั้น ขอแค่ตัวเอกได้คัมภีร์ลับมา วันหน้าก็อาจจะเก่งกาจยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งปวงแล้ว
ศักยภาพที่จะพัฒนาได้นี่มีมากจริงๆ
ดังนั้นอันดับต่อไปก็คือ...ถึงเวลางัดทักษะการแสดงออกมาแล้ว ในสมองของอ๋าวหรานพลิกจากแม่น้ำกลายเป็ทะเล แอบหลั่งน้ำตาด้วยความสงสารให้กับเฉินเปิ่นฉี ขอโทษด้วย คงต้องให้เ้าเสียสละมาแสดงเป็เพื่อนข้าสักฉากแล้ว หวังว่าละครฉากนี้จะหลอกพวกเขาได้ และหวังว่าเ้าจะให้ความร่วมมือกับข้า
หากยังไม่ไหวก็มีเพียงทางเดียวให้เดินแล้ว
“อ๋าวหราน!”
“หา?”
จิ่งจื่อปลง “คิดอะไรอยู่? ถึงจมลึกเข้าไปถึงเพียงนั้น?”
อ๋าวหรานตอบอย่างจริงจังว่า “ทางเต๋อรั่ว...คนผู้นี้ไม่ธรรมดา อย่าไปงัดข้อกับเขาเป็อันขาด”
จิ่งจื่อกลอกตา “ดูออกนานแล้ว แต่ปัญหาตอนนี้คือไม่ใช่ว่าเราอยากงัดข้อกับเขา แต่เป็เขาที่อยากงัดข้อกับเ้าต่างหาก ถึงเ้าไม่ไปหาเขา เขาก็ยังมาหาเ้าอยู่ดี ดูแค่ตอนนี้ขนาดเพิ่งผ่านไปไม่นาน ตาก็สอดส่องมาทางเ้าตั้งหลายหนแล้ว”
อ๋าวหราน “...”
อ๋าวหรานรู้สึกว่ากินข้าวมื้อหนึ่งยังทรมานถึงเพียงนี้ อาหารเลิศรสน่ารับประทาน แต่ตอนนี้มองเท่าไรก็ไม่รู้สึกอยากอาหารสักนิด ทางเต๋อรั่วผู้นั้นแสดงความสงสัยเขาออกมาอย่างชัดเจน ทั้งยังส่งสายตาพิฆาตมาบ่อยๆ บังคับให้อ๋าวหรานต้องจ้องเฉินเปิ่นฉีอยู่ตลอดแทนด้วยท่าทางโศกเศร้าเคียดแค้น...แสนเคียดแค้นเ้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ราวกับว่าจะใช้สายตาทิ่มแทงทะลุร่างเขาจนเป็รูอย่างไรอย่างนั้น
ทางนี้อ๋าวหรานถูกทางเต๋อรั่วจ้องเสียจนทรมาน ส่วนทางนั้นเฉินเปิ่นฉีก็ถูกอ๋าวหรานจ้องเสียจนขนลุก จึงเงยหน้าหาต้นตอของสายตาที่ส่งมาบ่อยๆ เขาเกือบจะคิดไปแล้วว่าคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้...มีสตรีนางใดที่เมื่อก่อนเขาเคยไปทำอะไรเอาไว้หรือไม่ ตอนนี้ตามมาถึงที่แล้วถึงได้ส่งสายตาเกาะติดเคียดแค้นถึงเพียงนี้ โชคดีที่อ๋าวหรานถอนสายตาได้ทันเวลาจึงไม่ถูกจับได้ ไม่อย่างนั้นเฉินเปิ่นฉีคงต้องกระอักเืแล้ว
จิ่งจื่อจ้องเขาอยู่ตลอดด้วยท่าทาง 'ข้าขอคารวะเ้าจากใจจริง' จนทำให้อ๋าวหรานโกรธจนถลึงตามองเขา “อย่างน้อยก็ช่วยให้ความร่วมมือบ้างได้หรือไม่ หรือไม่เ้าก็ทำเป็มองไม่เห็นไปเสีย ทางเต๋อรั่วผู้นี้หาใช่คนโง่งมไม่ ข้าหลอกลุงใหญ่เ้าได้ แต่หลอกเขานี่ยากเหมือนลอยขึ้นฟ้า”
จิ่งจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ลุงใหญ่ข้าโง่งมหรือ?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “โง่งมหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เขาไม่เข้าใจสถานการณ์จึงทำให้หลอกง่าย”
จิ่งจื่อหมดคำจะพูดกับความพยายามอย่างยิ่งยวดในการหลอกคนของเขา ส่งเสียงดังเฮอะอย่างน่าเกรงขามว่า “อย่างมากก็แค่สู้ไปตรงๆ ทำเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
อ๋าวหรานปลง “เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดเช่นนั้น แต่พอทางเต๋อรั่วปรากฏตัว ข้ารู้สึกกลัวจริงๆ ตระกูลจิ่งไม่ได้มีคนเดียว แต่เป็ทั้งตระกูล ให้ปกป้องดูแลคนคนเดียวนั้นได้ แต่ถ้าต้องปกป้องทั้งตระกูลจิ่งคงไม่ไหวแน่ อย่าประมาทตระกูลทาง แค่ทางเต๋อรั่วคนเดียวก็มากพอจะทำให้ตระกูลจิ่งพบกับหายนะแล้ว และข้าก็เชื่อว่าตระกูลทางไม่ได้มีคนแบบทางเต๋อรั่วเพียงคนเดียวแน่”
สีหน้าของจิ่งจื่อถึงกับหนักอึ้งแล้ว “ไม่รู้ว่างานประลองครั้งนี้ ทางเต๋อรั่วจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่? หวังว่าจะได้เห็นพลังที่แท้จริงของทางเต๋อรั่ว”
อ๋าวหราน “เชื่อข้า เ้าคงไม่อยากเห็นหรอก คาดว่าแค่หลางฉาก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่ข้าแล้ว”
...
“พ่อ งานใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดท่านถึงไม่บอกข้าสักคำ” จิ่งเซิ้งในมือสะบัดกิ่งไม้สีเขียวเล่นที่ไม่รู้ว่าไปได้มาจากไหน ส่วนอีกมือก็ลูบเส้นผมแล้วยิ้มอย่างคุณชายเสเพล
ทั้งโรงอาหารถูกเสียงนี้ของเขาทำให้เงียบงันไปในทันใด ใบหน้าของจิ่งเหวินซานที่ั้แ่เข้ามาในช่างฉือจายก็ประดับรอยยิ้มไว้ตลอดเวลาดุดันขึ้นมาอยู่หลายส่วนทันที จิ่งเซิ้งราวกับว่ามองไม่เห็นก็ไม่ปาน หันซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
จิ่งเหวินซานกดเสียงต่ำ ในน้ำเสียงดุดันขึ้นอยู่หลายส่วน “จิ่งเซิ้ง! เ้าหายไปไหนมาแต่เช้า? ส่งคนไปหาเ้าเสียนานก็หาไม่เจอ!”
จิ่งเซิ้งที่เพิ่งเดินเข้ามาก็มองโน่นมองนี่ ระหว่างทางผ่านจินเฉียนเป้ย 'เ้าเด็กโง่นี่ไม่สนใจบรรยากาศที่เงียบสนิทรอบกายเลยแม้สักนิด' เขายิ้มทักทาย จิ่งเซิ้งก็ยิ้มสว่างสดใสตอบกลับไปเช่นกัน “นอนไม่หลับเลยลุกขึ้นมาเดินเล่น พ่อ ท่านต้องบอกข้าแต่เนิ่นๆ สิ เหตุใดกำลังจะเริ่มแล้วถึงเพิ่งมาบอก ผักหวางกวาเย็นหมดแล้ว1 ”
พูดแล้วก็เท้าสะเอว ใช้มือหยิบเนื้อจากอาหารจานหนึ่งขึ้นมาใส่ปากแล้วเคี้ยวด้วยสีหน้าเป็สุข
จิ่งเหวินซานโกรธจนอยากทุบโต๊ะ “เ้า! จิ่งเซิ้ง! คนมากมายถึงเพียงนี้ เ้ากล้าใช้มือหยิบได้อย่างไร เ้ายังมีมารยาทอยู่หรือไม่”
จิ่งเซิ้งราวกับว่าไม่ได้ยินจึงยกยิ้มไปทางคนที่นั่งอยู่ นอกจากจินเฉียนเป้ยแล้ว คนที่เหลือก็ล้วนมีท่าทางกระอักกระอ่วนว่าควรจะยิ้มดีหรือไม่
จิ่งเหวินซานด่าว่า “เ้าดูตัวเ้าสิ ยืนไม่เป็ยืน ท่าทางดูไม่ได้ ดูไม่เอาจริงเอาจังเลยแม้แต่น้อย เ้าดูคุณชายอายุน้อยทั้งหลายที่นั่งอยู่ คนไหนบ้างที่ไม่ประสบความสำเร็จั้แ่อายุยังน้อย ชื่อเสียงขจรขจาย เมื่อไรเ้าจะรู้ความเช่นพวกเขา...เช่นพี่ชายเ้าบ้าง”
จิ่งเซิ้งมีสีหน้าคล้ำลงแล้ว ส่งเสียงดัง “ชิ” ออกมาอย่างไม่ยี่หระ ทำให้จิ่งเหวินซานโกรธจนอยากจะดุด่าอีกรอบ จิ่งเคอที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ น้องยังเล็กอยู่ อย่าเอาแต่ต่อว่าเขาเลยขอรับ อีกอย่างวันนี้มีผู้คนมากมาย ไว้หน้าน้องบ้างเถิด แล้วก็อย่าเพิ่งขัดความสำราญของทุกท่านเลยขอรับ”
เมื่อจิ่งเหวินซานได้ยินเช่นนั้นก็เห็นว่าทุกคนกำลังมองเขาอยู่ จึงหอบหายใจอยู่สองทีเพื่อดับความโกรธ สีหน้าเข้มงวดมองไปทางจิ่งเซิ้ง “รีบหาที่นั่งลงแล้วเก็บท่าทางเสเพลไม่เอาถ่านของเ้าเข้าไปด้วย”
พูดจบก็มองไปทางผู้คน แล้วพยายามยิ้มอย่างอ่อนน้อม “นี่คือลูกชายคนเล็กของข้า ชอบเล่นไร้สาระ ไม่จริงจังเอาการเอางาน รบกวนความสำราญของทุกท่านแล้ว”
ใบหน้าเรียบเฉยของหลัวฉี่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งประดับด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยจิ่งเซิ้งน่ารักมาก อีกอย่างอายุเท่านี้ก็ชอบเล่นสนุกกันทั้งนั้น จะไปกดดันเขาทำไมกันเล่าขอรับ”
จิ่งเหวินซานย่นหัวคิ้วราวกับว่าปลงแล้ว “หลานคนดี เ้าปลอบใจข้าแล้ว ตอนที่เ้าอายุเท่าเขาก็ได้เป็คนที่ไม่ธรรมดาแล้ว เ้าดูเขาเถิด วันๆ เอาแต่เล่น”
อ๋าวหรานได้ยินหลัวฉี่ใช้คำว่า 'น่ารัก' มาอธิบายตัวจิ่งเซิ้ง ข้าวที่ค้างอยู่ในกระเพาะก็เกือบจะขย้อนออกมา หากเ้าเด็กนี่มาข้องเกี่ยวกับคำว่าน่ารักได้ เช่นนั้นคำนี้ก็เกรงว่าคงจะเป็คำที่มีความหมายในเชิงลบแล้ว
นับว่าจิ่งเซิ้งก็เป็คนที่รู้ตัวดี เมื่อได้ยินพวกเขาตอบรับกันไปมาด้วยถ้อยคำจอมปลอมก็รู้สึกขนลุกจนตัวสั่น ถูกด่าว่าแล้วเขาก็ไม่คิดจะอยู่ตรงนี้ต่อ ก็แค่มากินข้าวเท่านั้น อยู่ที่ไหนก็กินได้เหมือนกัน แต่เมื่อหันศีรษะมาก็เจอเข้ากับอ๋าวหราน รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย
“คุณชายอ๋าวหรือ ไม่เจอกันแค่สองวัน สีหน้าดูดีมีเืฝาดขึ้นนะ” จิ่งเซิ้งยิ้มอย่างชั่วร้าย มีลับลมคมใน ดวงตาที่เรียวยาวก็หรี่ลง
อ๋าวหราน “...”
จิ่งจื่อเห็นเขาแล้วก็ขมวดคิ้ว “จิ่งเซิ้ง แม้ว่าอ๋าวหรานไม่จะเอาความกับเ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่อยากซัดเ้า ทำอะไรไม่รู้จักขอบเขตเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกตว่าจิ่งจื่อก็อยู่ด้วย มาถึงแล้วจึงเพิ่งเห็นเขา จิ่งเซิ้งชะงักไป แข้งขาสั่นเล็กน้อย แต่ก็ยังแสร้งทำเป็ไม่สนใจ สีหน้าราวกับอย่างไรก็ได้ “แล้วจะทำไมหรือ? หรืออยากจะสู้กันตรงนี้สักตั้ง?”
จิ่งจื่อจริงจังมาก เอื้อมมือไปจับกระบี่ที่ข้างเอว “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”
ขมับของจิ่งเซิ้งมีเหงื่อไหลแล้ว เท้าไม่ขยับแม้แต่น้อยราวกับยึดติดกับพื้นก็ไม่ปาน มีสีหน้าเกรงกลัวแล้วพูดว่า “จิ่งจื่อ เ้านี่จะเกินไปแล้ว”
อ๋าวหรานเหงื่อตก คนที่ชอบทำอะไรเกินเลยกลับมาว่าคนอื่นว่าชอบทำอะไรเกินเลย...ช่างเป็ฉากที่งดงามเสียนี่กระไร
“เ้าคิดว่าข้ากลัวเ้าอย่างนั้นหรือ หากเ้ากล้าลงมือที่นี่ เกรงว่ากระบี่เ้ายังไม่แม้แต่ได้ชักออกมาก็ถูกคนลากออกไปก่อนแล้ว!”
จิ่งจื่อยิ้มเย็นออกมาทีหนึ่ง “เชื่อข้าเถิด ข้าสามารถตัดขาเ้าออกมาได้ก่อนที่พวกเขาจะมาลากข้าออกไปแน่!”
จิ่งเซิ้งขาสั่น อดขบฟันกันแรงๆ หลายทีไม่ได้
อ๋าวหรานอยากหัวเราะออกมาจริงๆ คนผู้หนึ่งย่อมถูกพิชิตได้โดยคนอีกผู้หนึ่ง จิ่งจื่อจัดการเ้าเด็กนี่อย่างไรกันจึงสามารถทำให้เขากลัวได้ถึงเพียงนี้
จิ่งเซิ้งแค่เห็นมุมปากของอ๋าวหรานมีแววยิ้มหัวก็อดรู้สึกโกรธเคืองไม่ได้ “เ้ากล้าหัวเราะข้าหรือ!”
อ๋าวหราน “...” เ้าอ่อนไหวเกินไปแล้ว
จิ่งจื่อนำกระบี่จากข้างเอวมาวางไว้บนโต๊ะแล้วยักคิ้วมองจิ่งเซิ้ง สีหน้าราวกับพร้อมต่อยตีได้ทุกเวลา จิ่งเซิ้งส่งเสียงดัง “ชิ” ออกมาทีหนึ่ง ถลึงตามองอ๋าวหรานปราดเดียวแล้วจึงหมุนกายจากไป
อ๋าวหรานก็ยิ้มตอบเขาไปทีหนึ่ง...อย่างไร้ความจริงใจ
หลังจากส่งจิ่งเซิ้ง...เ้าิญญารบกวนผู้คนนี้ออกไปได้แล้ว อ๋าวหรานก็อารมณ์ดีขึ้นมาก “เ้าซัดเขาเสียน่วมขนาดไหน จึงได้กลัวเ้าถึงเพียงนี้”
จิ่งจื่อแย้มยิ้ม “ใช้ยารักษาแผลชั้นดีของตระกูลจิ่ง เขาต้องนอนอยู่ถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ เ้าคิดดูว่าน่าอนาถแค่ไหน”
อ๋าวหรานถามอย่างสงสัยว่า “เขาไปล่วงเกินเ้าอีท่าไหน?”
จิ่งจื่อชะงักไป ใบหน้ากระอักกระอ่วน “ไม่มีอะไร ก็...แค่ใช้วิธีชั่วร้ายรังแกคน ตอนแรกข้าก็คร้านจะสนใจ ภายหลังบ่อยเกินไปจนทำให้ข้ารู้สึกรำคาญจึงซัดเขาไปรอบหนึ่ง ตอนนั้นไม่ระวังน้ำหนักมือให้ดีเลยลงมือโหดไปสักหน่อย”
อ๋าวหรานส่งเสียงดัง “อ้อ” ออกมาอย่างลึกซึ้ง เขาคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่
เชิงอรรถ
ผักหวางกวาเย็นหมดแล้ว1 ใช้เปรียบเทียบถึงคนที่มาสาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้