สีหน้าของจ้าวยวนจริงจัง คำพูดของเขา ทำให้กู้ชิงฮั่นกับหยางหนิงถึงกลับหน้าถอดสี กู้ชิงฮั่นลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เ้าพูดว่าอย่างไรนะ? เงินภาษีส่งไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
จ้าวยวนพูดด้วยความจริงจังว่า “สิ้นเดือนเก้าได้ส่งไปแล้ว แล้วท่านเฉิง...พ่อบ้านใหญ่ฉีเป็คนจัดการ เพื่อแน่ใจว่าเงินภาษีส่งไปอย่างปลอดภัย เหมือนทุกปี ยังไปหาท่านเ้าเมืองของเมืองจิงโจว เพื่อขอทหารคุ้มกันไปด้วยอีกสิบนายขอรับ”
หยางหนิงคิดในใจว่ายิ่งฟังยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เขาเองก็ลุกขึ้นมาแล้วถามว่า “ทางจวนโหว ไม่ได้รับเงินภาษี ด้วยเหตุนี้ ข้ากับซานเหนียงจึงมาที่เจียงหลิงด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“เป็ไปได้อย่างไร” จ้าวยวนพูดด้วยความใ “พ่อบ้านใหญ่ฉีตั้งใจจะไปส่งด้วยตัวเอง แต่เพราะติดภารกิจจึงไปมิได้ เลยส่งเสี่ยวชุยคุ้มกันเงินไป เสี่ยวชุยเคยไปเมืองหลวง คุ้นเคยกับเส้นทางดี หลังจากที่พวกเขากลับมา ก็บอกว่าเงินภาษีส่งถึงที่หมายแล้ว ทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ” เขาพูดด้วยความสงสัยว่า “ฮูหยินสามกับซื่อจื่อกลับมาในครั้งนี้ ก็เพราะเงินภาษีรอบนี้อย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่จ้าวยวน เห็นจ้าวยวนสีหน้าจริงจัง จึงนั่งลง แล้วปิดตาลง แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าขอถามเ้าอีกครั้ง ตอนนี้ที่ดินศักดินา เก็บภาษีที่สัดส่วนเท่าไหร่?”
“ฮูหยินสามก็รู้ ตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่ ได้กำหนดเอาไว้ว่า ภาษีอาหารของจวนจิ่นอีโหว ให้เก็บสองส่วนจากผลผลิตทั้งหมด” จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “หากเจอภัยธรรมชาติ เช่นภัยแล้งหรือน้ำท่วม ให้ลดภาษีลงอีก ท่านโหวเป็คนมีเมตตา ้าให้ชาวบ้านที่อยู่ที่นี่มีความสุขสงบ พวกเราทางนี้ ก็ต้องเก็บตามที่จวนโหวกำหนดเอาไว้ขอรับ”
หยางหนิงพูดว่า “แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้มา ที่ดินศักดินาของทางจวนโหวเก็บภาษีเพิ่มมาหลายปีแล้ว แถมยังไม่ได้เพิ่มแค่เล็กน้อย” เขายื่นสี่นิ้วออกไป “ตอนนี้ทิ่ดินศักดินานี้ เก็บภาษีปีละสี่ส่วน ท่านจ้าว อย่าบอกนะว่าเื่นี้เป็เื่โกหก?”
จ้าวยวนใ จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง ซื่อจื่อท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว”
“ข้าไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับเ้า” หยางหนิงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าถามเ้าแค่ว่า เื่นี้มันจริงหรือไม่?”
“ซื่อจื่อ เก็บภาษีสองส่วน ท่านเหล่าโหวเป็คนกำหนด อย่าว่าแต่สี่ส่วนเลย ต่อให้ทางจวนโหว้าจะเก็บสามส่วน พวกเราทางนี้ก็ต้องทัดทานอยู่แล้ว” จ้าวยวนพูดต่อว่า “หลายสิบปีมานี้ ชาวบ้านที่นี่กับต่างคุ้นเคยความเมตตาที่ท่านเหล่าโหวให้ ก็เพราะเช่นนี้ ภาษีของที่ดินศักดินาจึงไม่ค่อยเกิดปัญหาอะไร สามารถเรียกเก็บได้ตามกำหนดตลอด แต่หากว่าเพิ่มภาษี ชาวบ้านก็จะต้องมีการเคลื่อนไหว ภาษีลดชาวบ้านก็ยินดี แต่เพิ่มภาษี เกรงว่าชาวบ้านจะโกรธแค้นเอาได้ จะเพิ่มภาษีโดยพลการมิได้ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “นักบัญชีจ้าว เ้าฟังไม่เข้าใจหรือ ไม่ใช่ว่าทางจวนโหว้าเพิ่มภาษี แต่เป็พวกเ้าที่แอบเพิ่มภาษีกันเอง”
จ้าวยวนขมวดคิ้ว “ฮูหยินสามหมายความว่า ทางจวนโหวมิได้มีคำสั่ง ทางเราแอบขึ้นภาษีเองอย่างนั้นหรือขอรับ?” เขาแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา “มันจะเป็ไปได้อย่างไร ฮูหยินสาม ข้าน้อยขอถามท่านสักคำ หากเราทำเช่นนั้นจริง หัวจะขาดหรือไม่ขอรับ?”
“รู้ก็ดี” กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “แอบเพิ่มภาษี จวนโหวไม่มีทางปล่อยพวกเ้าไปอย่างแน่นอน”
“เหตุผลนี้พวกเรารู้ดี ดังนั้นฮูหยินสามคิดว่าเราจะโง่ทำเื่เช่นนั้นอย่างนั้นหรือขอรับ?” จ้าวยวนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยังดีที่มีบัญชีของหลายปีก่อนอยู่ ฮูหยินสามลองตรวจดูก็ได้ จะได้เข้าใจมากขึ้นขอรับ” เขาพูดต่ออีกว่า “ฮูหยินสามไม่ต้องกังวลว่าข้าน้อยจะทำอะไรกับบัญชี ท่านกับซื่อจื่อมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ข้าน้อยคงไม่มีเวลาทำอะไรกับบัญชีแน่นอนขอรับ”
ถึงแม้เขาจะเป็นักบัญชี แต่ราศีความเป็บัณฑิตของเขายังอยู่
กู้ชิงฮั่นคิดว่าบัญชีอย่างไรก็ต้องดู ตัวนางเองดูแลจวนโหวมานาน การตรวจบัญชีเป็ขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่ง กลับมาครั้งนี้ ก็ต้องตรวจบัญชีอย่างละเอียด
“ในเมื่อเ้าเป็นักบัญชี หัวหน้าพื้นที่ต่างๆ เ้าน่าจะรู้จักดี” หยางหนิงยิ้ม “ท่านจ้าว เ้ารู้จักคนที่ชื่อหานอี้หรือไม่?”
“หานอี้หรือขอรับ?” จ้าวยวนคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไปว่า “เรียนซื่อจื่อ หานอี้เป็หัวหน้าหมู่บ้านหลูหวัง แต่ว่าเขาเป็คนใจร้อน พื้นที่อื่นเก็บภาษีได้ไว มีเพียงหมู่บ้านหลูหวังเท่านั้นที่ล่าช้าขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้าเป็อย่างเ้าว่า หมู่บ้านหลูหวังก็เป็อุปสรรคอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่เชิงขอรับ ภาษีครั้งล่าสุดพวกเขาก็ส่งไม่ขาดขอรับ” จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้ชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็คนธรรมดา แต่ก็มีเพื่อนไม่น้อย มีเส้นสายมากมาย อีกทั้งยังกล้าบ้าบิ่น ปีก่อนเก็บภาษี ยังมีปากเสียงกับหัวหน้าพื้นที่ข้างๆ ทั้งสองเกิดลงไม้ลงมือกันขึ้น หานอี้เกือบจะทำคนตาย” จากนั้นก็มองไปยังกู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามจะไปห้องบัญชีใช่หรือไม่ขอรับ? ยังไม่มืด พ่อบ้านฉีคงยังไม่กลับมาในตอนนี้”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า แล้วพูดว่า “เ้านำทางข้าไป!”
จ้าวยวนนำทางไป หยางหนิงเดินตามหลังกู้ชิงฮั่น มาถึงเรือนเล็กหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปด้านในทั้งด้านซ้ายและด้านขวามีตู้ไม้ บนตู้ไม้เต็มไปด้วยสมุดบัญชี ในห้องมีคนผู้หนึ่งชื่อว่าเสี่ยวซือ เป็ผู้ช่วยอยู่ที่ห้องบัญชี
หยางหนิงเห็นกองบัญชีเยอะเท่าูเา รู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีความอดทนมากพอ หลังจากกู้ชิงฮั่นนั่งลง จ้าวยวนก็นำสมุดบัญชีมาวางที่โต๊ะ หยางหนิงคิดในใจว่าหากต้องตรวจบัญชีทั้งหมดนี้ คงไม่เสร็จในหนึ่งชั่วยามแน่นอน จึงออกจากเรือนไป เดินดูรอบๆ ดีกว่า กู้ชิงฮั่นรู้ว่าเขาไม่ถนัดเื่บัญชี จึงให้เขาไปเดินเล่น
หยางหนิงเดินเล่นกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว พบว่าจวนนี้ใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มาก ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับจวนจิ่นอีโหว แต่ว่าในที่เล็กๆ เช่นนี้ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่ค่อยพบเห็น จวนเก่าอย่างไรเสียก็คือจวนเก่า ถึงแม้จะเห็นว่าในหลายๆ ที่มีการบูรณะแล้ว แต่ว่าโดยรวมแล้ว ก็ยังเป็แบบโบราณอยู่ กำแพงในหลายๆ ด้านมองก็รู้ว่ามีอายุหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเห็นกู้ชิงฮั่นเคยพูดว่า จวนเก่ามีประวัติที่ยาวนานพอสมควร ตอนท่านเหล่าโหวยังเด็กเคยอาศัยอยู่ที่นี่ ฉะนั้น บ้านหลังนี้ก็น่าจะมีอายุกว่าร้อยปีได้
บ้านอายุกว่าร้อยปี ไม่ว่าจะบูรณะอย่างไร ก็ยังคงมีกลิ่นอายความขลังอยู่ อีกทั้งหลังจากคนในตระกูลฉีย้ายเข้าเมืองหลวงไป บ้านหลังนี้ก็เหลือไม่กี่คน ตอนนี้ก็วังเวงเหลือเกิน
หยางหนิงเดินวนอยู่ในจวนระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็เห็นที่ไม่ใกล้ไม่ไกลมีกำแพงอยู่ เห็นว่าที่นั่นไม่เหมือนที่อื่นๆ กำแพงอันนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ มันแทบจะเต็มพื้นที่กำแพงจนทั่ว
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ แอบคิดว่าถึงแม้บ้านเก่านี้จะมีคนไม่มาก แต่ว่าก็ยังมีคนดูแลอยู่ ปกติก็จะมีการมาทำความสะอาดดูแลอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ที่เขาเห็น มันก็ผ่านการดูแลมาแล้วอย่างดี ภายในบ้านเก่าไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้า ก็มีคนตัดแต่ง แต่ว่าตรงนี้ เถาวัลย์ขึ้นเต็มขนาดนี้ เหตุใดไม่มีคนมาจัดการ
เขาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดู เห็นทางที่จะไปเป็เรือนเล็กตรงกำแพงนั้นปูไปด้วยหินอ่อนที่เต็มไปด้วยรา เหมือนไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้เลย เมื่อเดินผ่านมาระยะหนึ่ง ก็เป็หญ้าทึบ ตอนนี้เป็ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ก็ตกทับถมกันไปหมด ทำให้รู้สึกวังเวงยิ่งนัก
ผ่านมาอีกระยะหนึ่ง ด้านหน้าเต็มไปด้วยหญ้าขวางทางอยู่ แต่ว่าเมื่อมองผ่านช่องเถาวัลย์ เห็นประตูใหญ่ประตูหนึ่งปิดสนิท มีโซ่กุญแจคล้องไว้อยู่ โซ่ก็ขึ้นสนิมหมดแล้ว สีประตูก็รอกออกหมดแล้ว ดูเก่ายิ่งนัก
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดเรือนนี้ถึงได้วังเวงเช่นนี้ ด้านหลังก็ได้ยินเสียงคนไอขึ้นมา เขาหันไปมอง เห็นเหวยต้งยืนอยู่ไม่ไกล กำลังมองมาที่ตน
หยางหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี่เดินไปไหนมาไหนไม่มีเสียงหรืออย่างไรกัน ทำตัวอย่างกับผี ไม่กลัวทำคนตายหรืออย่างไร แต่สีหน้าของเขายังนิ่งอยู่ ชี้ไปที่ประตูที่ลงกลอนไว้ แล้วถามว่า “เรือนหลังนี้แต่ก่อนใครอยู่รึ? เหตุใดถึงไม่มีคนดูแล เถาวัลย์มันขึ้นเข้าไปด้านในแล้ว อย่างนี้คนก็เข้าไปไม่ได้”
เหวยต้งไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ แค่ยกมือกวักหยางหนิงให้ออกมา “ซื่อจื่อ ที่ตรงนั้นมันไม่ดี ท่าน...ท่านกลับออกมาเถอะ”
หยางหนิงเห็นเหวยต้งท่าทางแปลกๆ จึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ไม่ใช่ที่ดีอย่างนั้นหรือ? หมายความว่าอย่างไรกัน?” เห็นเหวยต้งไม่คิดจะเดินมา อีกทั้งข้างหน้าก็ไปไม่ได้แล้ว จึงหันหลังกลับ ถึงได้พบว่า เรือนหลังนี้เป็เรือนเดี่ยว ห่างกับเรือนอื่นๆ มาก
เมื่อหยางหนิงเดินเข้ามาใกล้เหวยต้งก็พูดเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ อาหารเตรียมไว้พร้อมแล้ว จะไปกินเลยไหมขอรับ?”
“เ้าอย่าเปลี่ยนประเด็น” หยางหนิงหันไปชี้ที่เรือนหลังนั้น “เ้าบอกว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่ดี เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
สายตาของเหวยต้งมีความหวาดกลัว แล้วพูดเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ ที่นี่...ที่นี่เป็สถานที่อัปมงคล ไม่ใช่แค่ตอนนี้ มันั้แ่ตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่แล้วขอรับ ที่นี่ถูกลงกลอนไว้ตลอด ท่านเหล่าโวสั่งไว้ ใครก็ห้ามเข้าใกล้เรือนหลังนั้น ห้ามใครเข้าไปในเรือนโดยเด็ดขาดขอรับ”
“หา?” หยางหนิงใ แล้วพูดแปลกๆ ว่า “เพราะอะไร? แล้วเหตุใดที่นี่ถึงอัปมงคลได้เล่า?”
“ซื่อจื่ออย่าถามอีกเลย” เหวยต้งถอยหลังสองก้าว “ซื่อจื่อเชิญไปทานอาหารดีกว่าขอรับ” เขาหลบสายตา ไม่กล้าไปมองไปยังเรือนนั้น
หยางหนิงหันกลับไปมอง ก็ไม่รู้ว่าคำพูดของเหวยต้งเป็ความจริงหรือไม่ ถึงแม้จะเป็ตอนกลางวัน แต่ในตอนนี้เมื่อมองกลับไปที่เรือนอีกที ก็รู้สึกแปลกๆ บ้านเก่าบรรยากาศแปลกๆ ตอนนี้ยังมีเรือนประหลาดโผล่ขึ้นมาอีก หยางหนิงรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังมีสีหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดเ้าชอบพูดอะไรครึ่งๆ กลางๆ ข้าถามเ้า เ้าจะอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้นหรือ? ยังไม่พูดออกมาอีก”
เหวยต้งไม่กล้าขัดคำสั่งของหยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ที่นั่น...ที่นั่นมีผีขอรับ!”
ลมพัดขึ้นมาทันใด ภายในจวนเงียบสงบ หยางหนิงโดนลมพัดเขาก็รู้สึกหนาว จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พูดอะไรเหลวไหล มีผีอะไรกัน เรือนใหญ่ดีๆ เช่นนี้ จะมีผีได้อย่างไรกัน? เ้าอย่ามาพูดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ซื่อจื่อ มีผีจริงๆ ขอรับ” ตอนแรกเหวยต้งไม่อยากคิดมาก แต่พอหยางหนิงพูดมาเช่นนี้ เหวยต้งจึงร้อนใจแล้วพูดขึ้นว่า “เพราะเรือนผีสิงหลังนี้ เคยมีคนตายมาแล้วสองคนขอรับ”