จากการสังเกตเมื่อเย็นวานนี้ นางดูออกว่าบิดามีจิตผูกพันต่อนาง แต่ทุกครั้งแม้ว่าเขาจะมองนางด้วยความรักใคร่ ทว่าในแววตากลับดูเหมือนมีความแคลงใจบางอย่าง ทำให้นางสงสัยว่าตอนที่มารดาเสียชีวิตในปีนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ สิ่งใดที่ทำให้บิดาทอดทิ้งนางไปโดยไม่เหลียวแล ทั้งที่ดูเหมือนว่าเขาก็รักนางมากเหลือเกิน
เื่นี้เกิดที่เมืองอวิ๋นเฉิง นางเพิ่งมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานคงยากที่จะตรวจสอบได้ แต่โม่เสวี่ยถงมั่นใจว่าเื่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับฟางอี๋เหนียงอย่างแน่นอน
นับั้แ่มารดาคลอดตนเองออกมาสุขภาพก็ไม่ค่อยดี หลายปีก่อนก็ยังพยายามแข็งใจดูแลจัดการภายในจวน แต่สามปีให้หลังเกือบทุกอย่างกลับตกอยู่ในเงื้อมมือของฟางอี๋เหนียง เพราะฉะนั้นหากมีใครสักคนที่สามารถก่อเื่ขึ้นมาใน่กำลังวุ่นวาย นอกจากฟางอี๋เหนียงแล้วจะเป็ใครจากไหนได้อีก มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในจวนโม่โดยไม่ให้ผู้อื่นรับรู้
เมื่อคิดถึงเื่ที่ทำให้เ็ป แววตาของนางพลันเย็นเยียบ เพียงแค่ฟางอี๋เหนียงยังคิดมุ่งหมายต่อตำแหน่งนายหญิงของจวนโม่ นางก็จะยื่นมือเข้าไป...
โอกาสมาถึงตรงหน้าแล้ว ชาติภพก่อนมีเหตุการณ์หนึ่งกำลังจะเกิดขึ้น นางก็รอให้ฟางอี๋เหนียงยื่นมือออกมาอยู่เงียบๆ หลังจากนั้นค่อยจับให้มั่นแล้วสะบั้นเสียให้แหลกลาญ...
โม่เสวี่ยถงรับประทานอาหารเช้าภายใต้การปรนนิบัติของโม่อวี้ ขณะที่กำลังนั่งพักผ่อนก็ได้ยินเสียงหวานหูดังมาจากประตู
“น้องสามป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นอีกหรือ”
ม่านประตูถูกเลิกขึ้น โม่เสวี่ยิ่พาโม่จิ่นสาวใช้ข้างกายมาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู
“พี่หญิงใหญ่มาแล้ว ไฉนจึงไม่เข้ามาเล่า เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย กอปรกับเดินทางต่อเนื่อง ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าทว่ากลับนอนไม่หลับ วันนี้ก็เลยตื่นสายเสียได้ ทำให้พี่หญิงได้เห็นเื่ชวนหัวแล้ว” โม่เสวี่ยถงยกมือเกาศีรษะ ยิ้มอ่อนบาง ท่าทางราวกับเขินอายที่ตนเองตื่นสาย
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ และไม่มีความร้ายกาจเหมือนตอนที่อยู่หน้าประตูเมืองเมื่อวานนี้เลยแม้แต่น้อย โม่เสวี่ยิ่ก็อึ้งงันมองพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดั้แ่หัวจรดเท้า จากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “น้องสาม วันนี้อากาศดี พี่สาวจะไปเดินเล่นในสวนเป็เพื่อนเ้าดีหรือไม่ หนึ่งปีที่ผ่านมาน้องสามต้องไปอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงและได้รับความไม่เป็ธรรมมาโดยตลอด ยามนี้กลับมาเมืองหลวงแล้ว พวกเราพี่น้องต้องใกล้ชิดสนิทสนมกันไว้ให้มาก”
ใกล้ชิดสนิทสนมกันให้มาก? แน่นอน ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้ นางย่อมต้องใกล้ชิดสนิทสนมกับโม่เสวี่ยิ่ให้มากถึงจะถูก
แม้ภายในหัวใจจะหนาวเยือก แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับยิ่งงามพิลาส “พี่หญิงใหญ่กล่าวถูกแล้ว หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ข้าห่างไกลจากบ้านมาโดยตลอด ไม่อาจอยู่ปรนนิบัติแทนคุณบิดา พี่สาวจึงต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว”
“พี่น้องบ้านเดียวกัน จะกล่าวเช่นนี้ไปไย” โม่เสวี่ยิ่กล่าวพลางยิ้มบางๆ
“พี่หญิงใหญ่ช่างมีน้ำใจไมตรีต่อพี่น้องลึกซึ้งยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าคนเขาจะรับน้ำใจหรือไม่” เสียงหัวเราะหยิ่งผยองดังมาจากด้านหลังของพวกนาง “พี่หญิงใหญ่รักและปรารถนาดีต่อผู้อื่นสุดหัวใจ แต่ก็ไม่แน่ว่าผู้อื่นจะเห็นความสำคัญของท่านเสมอไป ได้ยินมาว่าที่หน้าประตูเมือง นางก็ปฏิเสธความหวังดีของพี่หญิงใหญ่ต่อหน้าผู้คนมากมายมิใช่หรือ”
โม่เสวี่ยฉงมาปรากฏตัวที่หน้าประตูเรือน นิ้วมือคีบผ้าเช็ดหน้าขณะกล่าววาจากระทบกระเทียบ ริมฝีปากยิ้มเยาะ
พอเอ่ยถึงเื่นี้โม่เสวี่ยิ่ก็ยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อวานตนเองนัดหมายกับคุณหนูสองสามคนอย่างดิบดีให้มาร่วมงานเลี้ยงจวนโม่ วันนี้แต่ละคนกลับส่งจดหมายกลับมาว่ามีธุระ โม่เสวี่ยิ่โมโหแทบกระอัก ดวงตาเผยแววขุ่นเคืองออกมาวูบหนึ่ง แต่ชั่วพริบตาก็คลี่ยิ้มอ่อนโยนขึ้นมากลบเกลื่อน “ น้องสี่ เื่เหล่านี้ล้วนเป็เื่เล็ก”
“ที่แท้ก็น้องสี่นี่เอง เ้ามาได้จังหวะพอดี จะไปเดินเล่นกับพวกเราหรือไม่” โม่เสวี่ยถงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม สีหน้าผ่อนคลายเป็ธรรมชาติ
“ข้าไหนเลยจะมีวาสนาดีเช่นนั้น เดินไปที่ไหนก็มีแต่คนรักใคร่ ตัวเพิ่งมาก็เรียกพี่หญิงใหญ่มาอยู่เป็เพื่อนแล้ว ข้าน้องสาวผู้นี้ไม่กล้าอาจเอื้อมมาอยู่เป็เพื่อนหรอก” โม่เสวี่ยฉงมองนางด้วยหางตา กล่าวอย่างไม่พึงพอใจ
“พี่น้องบ้านเดียวกันจะมาพูดว่าอยู่เป็เพื่อนหรือไม่อยู่เป็เพื่อนไปทำไมเล่า”
“ใครจะกล้าเรียกพี่เรียกน้องกับเ้า” โม่เสวี่ยฉงไม่รู้ว่าคำพูดนี้โม่เสวี่ยิ่เป็คนพูด จึงเอ่ยปากเสียดสี “เ้าอย่ามาทำตีสนิทกับพวกเราดีกว่า ไม่ว่าก่อนหน้าหรือว่าจากนี้ไป ข้ากับพี่หญิงใหญ่ก็ไม่อาจเรียกเ้าว่าพี่น้องบ้านเดียวกันได้”
โม่เสวี่ยิ่ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าพลันทะมึนลึกในชั่วพริบตา
“หากไม่ใช่พี่น้องบ้านเดียวกัน หรือว่าน้องสี่ไม่ใช่บุตรสาวของท่านพ่อ” โม่เสวี่ยถงกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
โม่เสวี่ยฉงพลันอึ้งงัน แล้วถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ “เ้าหมายความว่าอย่างไร จงใจหาเื่กันใช่หรือไม่”
ผู้ที่จงใจมาหาเื่ก็คือเ้าต่างหากเล่า ดวงตาของโม่เสวี่ยถงเผยความเ็าออกมาวูบหนึ่ง รวดเร็วจนใครก็มองไม่เห็น แต่ริมฝีปากกลับยิ้มอ่อนโยน “เป็พี่สามไม่ดีเอง ข้ากำลังจะออกไปกับพี่หญิงใหญ่ หากน้องสี่ไม่ไปด้วยก็อย่ามาขวางทางเลย”
โบราณว่าสุนัขดีย่อมไม่ขวางทาง!
โม่เสวี่ยฉงพอได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งโมโหหนัก “เ้าถือดีอย่างไร ตัวเป็แค่เด็กกำพร้าที่ถูกบิดาทอดทิ้ง ถึงกับกล้าพูดแบบนี้กับข้าเชียวหรือ”
โม่เสวี่ยฉงเป็เพียงบุตรสาวอนุภรรยา เมื่อชาติภพก่อนโม่เสวี่ยถงไม่เข้าใจมาตลอดว่าทำไมนางถึงเอาแต่มาเยาะเย้ยถากถางตนเอง ทั้งที่พวกนางก็ไม่เคยมีเื่บาดหมางกันมาก่อน ทำไมถึงไม่ไปหาโม่เสวี่ยิ่บ้าง กลับเพียรแต่มาหาเื่สร้างปัญหาให้ตนเองตลอด ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจ คนบางจำพวกชอบรังแกคนอ่อนแอแต่หวาดกลัวคนแข็งแกร่ง หากไม่กดผู้อื่นให้ต่ำกว่า ตนเองก็ไม่อาจอยู่เหนือใครได้
โม่เสวี่ยฉงเป็คนประเภทที่สร้างความรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น ด้วยการกดขี่คนที่อ่อนแอกว่านั่นเอง
ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ ถามอย่างเป็ธรรมชาติ “ท่านพ่อก็ยังอยู่ ข้ากลายเป็ลูกกำพร้าั้แ่เมื่อไร น้องสี่ไม่ควรพูดให้ท่านพ่อเสื่อมเสียเยี่ยงนี่”
“เ้า...” โม่เสวี่ยฉงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
นางรู้สึกว่าเมื่อวานตนเองถูกท่านพ่อตำหนิโดยไม่มีเหตุผล วันนี้จึงคิดจะมาหาเื่ เห็นโม่เสวี่ยถงแล้ว อะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด
ยิ่งเห็นใบหน้าที่งดงามผุดผาดก็ยิ่งอารมณ์เสีย โม่เสวี่ยถงผู้ขี้ขลาดผู้นี้ถือสิทธิอันใดมาเป็ที่โปรดปรานของบิดามากกว่าตนเอง แต่กลับไม่คิดว่าโม่เสวี่ยถงมีความจำเป็อันใดที่ต้องมาทนรองรับอารมณ์และการกลั่นแกล้งของตนเอง ทั้งที่นางก็เป็ถึงบุตรสาวภรรยาเอกเ้านายที่แท้จริงของจวนโม่
“น้องสี่ น้องสามเพิ่งกลับมา เ้าทำเสียมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร” บัดนี้โม่เสวี่ยิ่ที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ก็อมยิ้มแสร้งตำหนิเบาๆ
คำพูดของโม่เสวี่ยิ่ยิ่งทำให้โม่เสวี่ยฉงคับข้องใจ กล่าวด้วยอารมณ์บิดเบี้ยว ใช้มือขยำผ้าเช็ดหน้าจนแทบขาดก็ยังไม่คลายโทสะ “พี่หญิงใหญ่ ข้าหรือจะกล้าไร้มารยาท นี่ไม่ใช่ว่ามาคารวะนางแต่เช้าหรืออย่างไร หากไม่ใช่ว่าพวกเรามา เกรงว่าคงนอนยาวไปถึงยามมะเมีย[1] โน่นเลยกระมัง เป็ถึงธิดาตระกูลใหญ่แต่กลับทำตัวไร้ระเบียบเช่นนี้”
มีมารดาให้กำเนิด แต่ไม่มีมารดาอบรมสั่งสอน จึงไม่รู้จักกฎระเบียบ!
“โอ... หากรู้แต่แรกว่าน้องสามยัง้าพักผ่อน ข้าจะได้มาสายหน่อย” โม่เสวี่ยิ่ตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แสร้งทำไม่เข้าใจคำพูดของโม่เสวี่ยฉง ซ้ำยังกล่าวตำหนิตนเอง
ประกายเ็าทอวาบผ่านดวงตาสีนิลของโม่เสวี่ยถง แต่ก็เร็วพอที่คนจะไม่ทันสังเกตเห็น สีหน้าของนางยิ่งดูผ่อนคลายเป็ธรรมชาติ “ท่านพ่อบอกว่าข้าเพิ่งมาถึง ยังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอยู่จึงอนุญาตให้ตื่นสายหน่อยได้ หรือว่าน้องสี่ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษข้อนี้ โอ๊ะ! ข้าลืมไป เมื่อวานน้องสี่ถูกท่านพ่อลงโทษนี่นา แต่ก็ไม่เป็ไรหรอกนะ ต่อไปแค่น้องสี่เป็ผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักรักษากฎระเบียบ ท่านพ่อก็อาจจะให้สิทธิแบบนี้กับเ้าบ้าง”
ที่ผ่านมามีแต่นางที่ชอบหาเื่พูดจาถากถางโม่เสวี่ยถงเสมอ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเองั้แ่เมื่อไรกัน โม่เสวี่ยฉงตะลึงงัน โมโหสุดขีด หัวใจถูกแผดเผาด้วยเพลิงโทสะ ยื่นมือชี้หน้า แผดเสียงตะคอกใส่โดยมินำพาต่อสิ่งใด “โม่เสวี่ยถง เ้าคงไม่ได้หลงคิดไปว่าท่านพ่อรักเ้าอย่างแท้จริงหรอกนะ ถูกทิ้งไว้เมืองอวิ๋นเฉิงนานขนาดนั้น หากท่านพ่อคิดถึงเ้าก็คงไปรับกลับมาตั้งนานแล้ว เ้าต้องทำสิ่งใดผิดต่อท่านพ่อเป็แน่ จึงถูกทอดทิ้งเยี่ยงนั้น”
“น้องสี่ พูดจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร” โม่เสวี่ยิ่สีตาเปลี่ยนวูบ น้ำเสียงที่อ่อนโยนมีความดุดันเพิ่มขึ้นหลายส่วน มุ่นคิ้วมองโม่เสวี่ยฉงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พี่หญิงใหญ่...” โม่เสวี่ยฉงมองโม่เสวี่ยิ่อย่างไม่ยำเกรง “ข้าแค่เตือนนางว่าการตื่นสายเป็สิ่งไม่ดี นางกลับใช้สถานะของตนเองมาด่าข้า เพิ่งเข้าจวนมาก็ไม่เกรงใจกันขนาดนี้แล้ว ต่อไปข้าจะยังใช้ชีวิตอยู่ได้อีกหรือ”
“เอาเถอะๆ น้องสามไม่ได้ตั้งใจจะดุด่าเ้าจริงๆ หรอก พวกเราพี่น้องยังต้องอยู่ร่วมกันอีกนาน จะมาโกรธเคืองกันด้วยเื่เล็กแค่นี้ไปเพื่อสิ่งใด เป็พี่น้องบ้านเดียวกันก็ควรดีต่อกันไว้ ครอบครัวจึงจะมีความสุขได้” โม่เสวี่ยิ่ผงกศีรษะพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอาเถอะ ข้าให้อภัยนางก็ได้ แต่นางต้องมาขอโทษข้าอย่างเป็ทางการ” โม่เสวี่ยฉงถลึงตาใส่โม่เสวี่ยถงอย่างดุดัน ไม่ยอมลงให้ด้วยคิดว่าตนเองจับพิรุธนางได้ และถือไพ่เหนือกว่า
“เอาน่าๆ อย่าไปโกรธน้องสามเลย เมื่อวานพี่หญิงใหญ่ได้ปิ่นมุกบุปผามาสองสามชิ้น เป็ลวดลายที่มาใหม่ล่าสุดตอนนี้ น้องสี่มาเลือกไปสักชิ้นสองชิ้นสิ ถือว่าเห็นแก่หน้าพี่หญิงใหญ่ได้หรือไม่” โม่เสวี่ยิ่ยังคงยิ้มใช้วาจาอ่อนโยนและพูดเหมือนขอโทษรับผิดแทนโม่เสวี่ยถง นางมักจะแสดงท่าทางใจกว้างและอ่อนโยนแบบนี้เสมอ และกลับเป็การตอกย้ำว่าโม่เสวี่ยถงทำผิดจริง
คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้โม่เสวี่ยถงที่เพิ่งเข้าจวนมากลายเป็คนยโสโอหัง หาเื่รังแกบุตรอนุภรรยา แต่นางกลับเป็พี่สาวคนโตผู้อ่อนโยนมีจิตใจกว้างขวาง ที่คอยเป็ตัวกลางเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง
ชาติที่แล้วผู้กรอกยาพิษนางอย่างอำมหิต บีบคั้นให้นางต้องถึงที่ตายอย่างสิ้นหวัง ก็คือพี่สาวคนโตผู้มีจิตใจอ่อนโยนดีงามผู้นี้นี่เอง
กระแสเย็นหนาวเหน็บแผ่ซ่านออกมาจากแผ่นหลัง ั์ตาประกายหยาดน้ำปกคลุมด้วยพยับเมฆดำทะมึน แต่เพียงวูบเดียวเท่านั้นก็กลืนหายเข้าไปในดวงตางามพิลาสที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คน หางตาของนางสะดุดกับเงาร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปรากฏตัวที่มุมหอ สีหน้าสงบราบเรียบพลันเปลี่ยนเป็น้อยเนื้อต่ำใจในความไม่ยุติธรรม ขอบตาแดงเรื่อ ดวงตาหวานราวกับถูกปกคลุมด้วยไอหมอกจางที่ให้ความรู้สึกหม่นเศร้า นางขบริมฝีปาก เสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือ เผยให้เห็นความเสียใจสุดประมาณ
“ท่านพ่อย่อมรักข้าอยู่แล้ว เพราะข้าสุขภาพไม่ดี ท่านจึงให้พักรักษาตัวอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงเป็การชั่วคราว ไม่ใช่เพราะข้าทำสิ่งใดผิดต่อท่าน พี่ใหญ่ น้องสี่ พวกท่านสองคนอย่าเอาเื่แบบนี้มากล่าวโทษข้าเลยนะ”
“พี่ใหญ่ท่านดูสิ นางยังจะกล้าแก้ตัวอีก โม่เสวี่ยถง หากเ้าไม่ได้ทำผิดจริง ท่านพ่อจะทิ้งเ้าไว้ที่เมืองอวิ๋นเฉิงโดยไม่เหลียวแลตั้งปีกว่าได้อย่างไร ปรกติก็ได้ยินแต่ท่านพ่อชื่นชมแต่พี่ใหญ่ ไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงเ้าเลย ครั้งนี้หากมิใช่ว่าบ้านตายายของเ้าพูดขึ้นมาว่าให้ไปรับเ้ากลับเมืองหลวง ชาตินี้ท่านพ่อคงไม่คิดถึงเ้า ปล่อยให้แก่ตายอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงนั่นแหละ” โม่เสวี่ยฉงเห็นท่าทางอ่อนแอน่ากลั่นแกล้งของพี่สาวคนที่สามก็นึกลำพองใจ ยิ่งกล่าววาจาถากถางเจ็บแสบ
โม่เสวี่ยิ่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเริ่มรู้สึกใจไม่ดี ขณะที่กำลังจะเอ่ยปลอบขวัญโม่เสวี่ยถง ก็ได้ยินเสียงตะคอกด้วยความโมโหดังมาจากด้านหลัง
“มาก่อเื่วุ่นวายอะไรอีก ผู้เป็น้องสาวทำตัวกระด้างกระเดื่องกับพี่สาวแบบนี้ได้ด้วยหรือ ฉิงอี๋เหนียงสอนบุตรอย่างไร จึงทำให้คุณหนูผู้เก็บตัวในห้องหอกลายเป็คนไร้มารยาทเช่นนี้”
ทั้งสามหันศีรษะกลับไปอย่างตะลึงเพริด
โม่ฮว่าเหวินยืนอยู่หน้าประตูด้านซ้ายของพวกนาง ดวงตาเบิกโพลงอย่างดุดัน ริมฝีปากเม้มแน่น สายตาที่มองโม่เสวี่ยิ่ราวกับน้ำแข็งเหมันต์ ทั้งคมกริบและกดดัน
โม่เสวี่ยิ่และโม่เสวี่ยฉงหน้าซีดในบัดดล!
…………………………………………………………………………………………………………..
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามมะเมีย หรือ ยามอู่ หมายถึง่เวลา 11:00 น.-12:59 น. เป็่ที่แสงแดดแรงกล้าที่สุด