จ้าวไป่ิสอบย่วนซื่อของปีนี้ผ่าน ได้กลายเป็เซิงหยวน [1] อย่างเป็ทางการ ซึ่งก็คือซิ่วฉายที่เป็ชื่อเรียกกันทั่วไปของชาวบ้าน
จำได้ว่าในวันที่คะแนนออกนั้น เ้าหน้าที่ผู้มาแจ้งข่าวดีจากศาลาว่าการได้เคาะฆ้องทองแดงเข้ามาตลอดทาง เด็กและคนชราทั่วทั้งหมู่บ้านต่างพากันล้อมเข้ามา
ทั้งครอบครัวจ้าวเหวินเฉียงตื่นเต้นกันจนร้องไห้ด้วยความดีใจ นำเงินอั่งเปาที่เตรียมไว้อยู่นานแล้วมอบให้กับเ้าหน้าที่ทางการ ทันทีหลังจากนั้นหยิบตับประทัดออกมาจุดขึ้นทันที
ครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านได้ให้กำเนิดนายท่านซิ่วฉายออกมาแล้ว คนทั่วทั้งหมู่บ้านล้วนรู้สึกมีหน้ามีตา ในขณะนั้นประตูบ้านของครอบครัวจ้าวเหวินเฉียงก็คึกคักอย่างยิ่ง เสียงกล่าวอวยพรแสดงความยินดีไปต่างๆ นานาดังไม่หยุดหย่อน
จ้าวไป่ิสอบเป็ซิ่วฉายได้ คะแนนอยู่ขั้นปานกลางนับได้ว่าเป็ลำดับที่ไม่เลวมากแล้ว
จี้เสวี่ยเจิ้งกับนักเรียนของเขาที่หอสมุดไท่ผิงล้วนมาเยี่ยมอวยพรถึงบ้านด้วยตนเอง หัวหน้าหมู่บ้านหม่าและหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงผิงจากหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียง และยังรวมไปถึงหัวหน้าหมู่บ้านที่คุ้นเคยล้วนพากันมาทั้งหมด
เสียงอื้ออึงกันจนถึงฟ้ามืด ความคึกคักในหนึ่งวันของหมู่บ้านวั้งหลินถึงได้ปิดฉากลง
ในฐานะที่สกุลหูเป็ครอบครัวละแวกใกล้เคียง ย่อมต้องไปมอบของขวัญและกล่าวอวยพรด้วยเช่นกัน
ทางบ้านเก่ามอบไก่สองตัว กระต่ายสองตัว ผ้าสี่ชิ้น อาหารว่างของสือหลี่เซียงสองกล่องเล็ก และลูกท้อเก็บใหม่หนึ่งตะกร้า
ส่วนของขวัญที่หูฉางกุ้ยมอบให้เป็ของที่เจินจูเลือก ได้แก่ เครื่องเขียนอย่างพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก ถ้วยน้ำชากระเบื้องลายครามหนึ่งชุด ชาหลงจิ่งหนึ่งห่อ และกวางป่าหนึ่งในสี่ส่วนโดยไม่มีเครื่องใน
ของขวัญจากทั้งสองบ้าน เมื่ออยู่ท่ามกลางของขวัญทั้งหมดล้วนเป็ของที่มากมายอย่างมาก
จ้าวเหวินเฉียงยิ้มจนเห็นฟันไม่เห็นดวงตา จ้าวไป่ิสอบเป็ซิ่วฉายได้ เื่การแต่งงานกับคนสกุลหูก็ยิ่งมีความเป็ไปได้มากขึ้นแล้ว
เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดที่จะให้จ้าวไป่ิแต่งงานกับหูชุ่ยจู
ประการแรกคือพวกเขาไปเอ่ยปากเป็การส่วนตัวไว้แล้ว เมื่อสอบเป็ซิ่วฉายได้จึงไม่อาจกลับคำ จะให้จ้าวเหวินเฉียงยอมรับและกระทำเื่หน้าไม่อายเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน
ประการที่สองคือปีหน้าเด็กที่ได้รับคำชี้แนะได้ไม่เลวในโรงเรียนของสกุลหูหลายคน จะลองลงสนามสอบบัณฑิตเด็กด้วย ไม่แน่ว่าพอถึงเวลานั้นหมู่บ้านวั้งหลินก็จะมีบัณฑิตเด็กเกิดขึ้นมามากขึ้นก็ได้
ประการที่สามคือเด็กสาวชุ่ยจูผู้นี้เขาเห็นมาั้แ่เด็กจนโต หน้าตางดงาม อุปนิสัยจิตใจงดงามและอ่อนโยน รู้ตัวอักษร แล้วยังได้รับการถ่ายทอดฝีมือครัวจากหวังซื่อมาเต็มๆ ไม่ว่าจะจุดไหนล้วนเหมาะสมกับหลานชายของเขายิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ท่าทีที่จ้าวเหวินเฉียงปฏิบัติต่อคนสกุลหูจึงยิ่งใกล้ชิดมากขึ้น
ไม่นานจึงให้หวงซื่อไปเอ่ยเื่การแต่งงานของสองสกุลขึ้นมาอีกครั้ง
หวังซื่อจึงถามความคิดเห็นของเจินจูเป็พิเศษ
เจินจูแสดงความคิดเห็นว่า อย่างไรเสียล้วนต้องรอจนจ้าวไป่ิออกจาก่ไว้ทุกข์ หลังปีใหม่ไปแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย
แต่หวังซื่อกลับลังเล ผ่านปีนี้ไปชุ่ยจูก็นับว่าอายุเพิ่มขึ้นเป็สิบหกปีแล้ว แม่นางอายุสิบหกปียังไม่หมั้นหมายจะทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์เอาได้
เจินจูก็รู้สึกไม่สบายใจ นั่นไม่ใช่หมายความว่าปีหน้านางก็ต้องกำหนดเื่การแต่งงานของตัวเองขึ้นแล้วหรือ?
โอ้์ ท่านส่งอสุนีบาตหนึ่งสายฟาดลงมาที่ข้าให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอดไปเลยสิ
วันเวลาผ่านไปท่ามกลางความลังเลใจของหวังซื่อ
ครอบครัวจ้าวเหวินเฉียงไม่ได้เร่งรัด ขณะนี้พวกเขาก็ยุ่งมากเช่นกัน จ้าวไป่ิถือเป็เซิงหยวนมีคุณสมบัติเข้าไปโรงเรียนประจำอำเภอของอำเภอเจิ้นอัน ตามกฎระเบียบแล้วต้องไปรายงานที่โรงเรียนประจำอำเภอก่อน หลังจากนั้นทุกเดือนต้องเข้าฟังบรรยายที่โรงเรียนประจำอำเภออยู่ไม่กี่วัน ส่วนวันเวลานอกเหนือจากนั้นสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้
...จวนท่านโหวเหวินชาง ภายในลานจิ้งหลัน
แม้เข้าสู่่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สวนดอกไม้ทั้งสองข้างยังคงงดงามสะพรั่งไปทั่วทั้งผืนดังเดิม
ข้างประตูลานมีต้นกุ้ยฮวาสองต้น สีเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ตั้งตระหง่านสูงอยู่ตรงข้ามกัน ดอกไม้สีเหลืองทองผลิบานจนเต็มกิ่งก้าน กลิ่นของดอกกุ้ยฮวาหอมกรุ่นลอยละล่องไปทั่วทั้งลานบ้าน
จวนที่มีความกว้างด้านหน้าขนาดห้าห้องมีความสูงสองชั้น โดยมีผนังสีขาวนวล ประตูและหน้าต่างสีแดงเข้ม มีลวดลายฉลุบนหน้าต่างและติดด้วยผ้าโปร่งบางสีฟ้า
ต้นไห่ถัง [2] สองต้นหน้าจวนฝั่งตะวันตกเจริญเติบโตคึกคักมีชีวิตชีวา ฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิบ บนต้นมีผลไห่ถังสีแดงอมชมพูออกเต็มไปหมด ท่ามกลางใบไม้งอกงามสีเขียวเข้ม ลักษณะใบขึ้นทึบหนาแน่น เป็ที่น่าชื่นชอบอย่างยิ่ง
“คุณหนู ทางเอ้อโจวส่งผลไม้มาแล้วเ้าค่ะ”
จื่อยู่ยืนรายงานอยู่หลังม่านไม้ไผ่นางสนม [3] บนชั้นสองด้วยความเคารพ ในน้ำเสียงมีความยินดีอยู่จางๆ
“อ๊ะ ผลไม้บ้านนางเก็บเกี่ยวแล้ว” เสียงไพเราะสดใส “เ้าเข้ามาเถอะ รอสักเดี๋ยวก่อน ข้าวาดตรงนี้เสร็จแล้วจะลงไป”
จื่อยู่เลิกม่านไผ่และเดินเข้าไป
โหยวอวี่เวยนั่งอยู่บนโต๊ะไม้จันทน์ กำลังวาดลวดลายพรรณนาลงบนกระดาษเซวียนจื่ออย่างจิตใจจดจ่อ
ในใจจื่อยู่ทอดถอนเบาๆ
เมื่อก่อนแต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูไม่เคยเอาใจใส่การวาดภาพเลย จนกระทั่งได้รู้ว่าคุณชายสกุลกู้ชื่นชอบภาพเขียนและแบบหนังสือศิลปะ หลายปีมานี้ก็ฝึกอย่างขยันขันแข็งมากขึ้นมาโดยตลอด
ทว่าจวนสกุลกู้กลับยังคงไม่เอ่ยถึงเื่การแต่งงานของสองสกุลขึ้นมาเลยสักครั้ง
ผ่านปีนี้ไปคุณหนูจะอายุสิบเจ็ดปี หากยืดเวลาออกไปอีกผู้ที่เสียเปรียบย่อมมีเพียงคุณหนูของตนเองเท่านั้น
คำวิจารณ์ในสังคมโดยตลอดมามักเข้าข้างฝ่ายชาย แม้คุณชายกู้อู่จะผ่านอายุยี่สิบไปแล้วและยังไม่แต่งงาน ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตสำหรับเขา
แต่คุณหนูไม่เหมือนกัน ในเมืองหลวงคุณหนูตระกูลขุนนางที่อายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดแล้วยังไม่หมั้นหมายหาได้ยากมากจริงๆ อาจมีอยู่บ้างไม่กี่คนเพราะเจ็บป่วยเลยถูกทำให้ล่าช้า หรือรูปโฉมกับนิสัยไม่ดีเป็อย่างมาก สรุปแล้วไม่ว่าเพราะเหตุผลอะไร หากแพร่ออกไปล้วนมีผลต่อชื่อเสียงทั้งสิ้น
เพื่อเื่นี้แล้วฮูหยินจึงวิ่งไปจวนสกุลกู้มาไม่รู้ตั้งกี่รอบ
แต่ฮูหยินของจวนสกุลกู้ก็จนปัญญาเช่นกัน คุณชายกู้อู่ยืนกรานอยู่เช่นนั้น หากใช้กำลังบังคับให้เขาหมั้นหมายคงไม่ดีแน่
คุณหนู้ารอคุณชายสกุลกู้อยู่ท่าเดียว บอกว่าหากเขาไม่แต่งงาน นางก็จะไม่แต่งงานเช่นกัน
ท่านปู่โมโหอย่างมาก แต่กลับลดศักดิ์ศรีไปซักถามคุณชายกู้อู่ด้วยตนเอง คนเขาแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยให้คำมั่นสัญญาแก่คุณหนูเลย เป็คุณหนูที่ยืนกรานรออย่างนิ่งนอนใจไปเอง นี่จะโทษผู้ใดได้?
จื่อยู่มองคุณหนูของตน รูปร่างโดดเด่นเป็ที่น่าสนใจ รูปโฉมงดงามสะดุดตา ส่วนผิวพรรณยิ่งขาวนวลชุ่มชื้นดั่งหยก ทุกครั้งที่ไปเข้าร่วมงานชมบุปผาหรือรวมตัวประชันบทกวี ล้วนสามารถได้รับสายตาอิจฉาและอยากทั้งสิ้น
ในฐานะที่เป็คุณหนูที่กำเนิดจากภรรยาหลวงแห่งจวนท่านโหวเหวินชาง เดินไปที่ไหนล้วนเป็เด็กสาวแสนน่ารักที่ฐานะสูงศักดิ์
รูปโฉมงดงาม ฐานะสูงส่ง นิสัยร่าเริงแจ่มใจ ทำไมคุณชายกู้อู่ถึงไม่ชื่นชอบคุณหนูของนางเพียงนี้นะ?
เพียงเพราะเื่ของคุณหนู ความสัมพันธ์ของจวนท่านโหวเหวินชางกับจวนสกุลกู้ เข้าสู่สภาพการณ์ต่างฝ่ายต่างยืนกรานและไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน
มีเพียงคุณหนูที่ราวกับไม่คิดอะไรมาก ยังคงเข้าออกจวนสกุลกู้ตามปกติ
“เสร็จแล้ว!” โหยวอวี่เวยวางพู่กันวาดภาพในมือลง ใช้ที่ทับกระดาษทับสี่มุมของภาพวาดเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่นางวาดคือดอกเบญจมาศหนึ่งช่อ ที่โต้ลมท้าน้ำค้าง ดอกและกิ่งก้านเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ ตัวดอกไม้สวยสดงดงาม
“ระดับการวาดภาพของคุณหนูนับวันยิ่งดีขึ้นนัก ดูดอกเบญจมาศนี่สิวาดได้สวยงามเหมือนเทพเซียนเลยเ้าค่ะ” จื่อยู่มองภาพทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามที่หมึกยังไม่แห้งดี และกล่าวชื่นชมด้วยความจริงใจ
โหยวอวี่เวยร่าเริงยินดีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่ไหมเล่า ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองวาดได้พัฒนาขึ้น รอภาพแห้งแล้วจะเอาไปให้พี่ห้าดูสักหน่อย”
จื่อยู่ชะงักค้าง ในใจยิ้มเจื่อนๆ
คุณชายกู้อู่ปฏิบัติต่อคุณหนูเ็าเพียงนี้ แต่คุณหนูกลับไม่สนใจเลยแม้แต่นิด ความถี่ในการเข้าออกจวนสกุลกู้ยังเหมือนเดิมตามปกติที่แล้วๆ มา
“ไป ไปดูผลไม้ที่น้องสาวเจินจูส่งมากัน” พอเข้าฤดูใบไม้ร่วงโหยวอวี่เวยก็เริ่มเฝ้ารอผลไม้ที่สกุลหูจะส่งมาให้ ผลไม้ที่พวกเขาส่งมาให้ปีที่แล้วหวานและกรอบมาก ทำให้นางกับมารดายากที่จะลบลืมรสชาตินั้นอยู่ตลอด
ปีนี้เหมือนกับปีที่แล้วยังคงมีผิงกั่วกับหลี่จื่อ ปีนี้ยังมีเหอเถาเพิ่มขึ้นมาครึ่งตะกร้าด้วย เจินจูได้อธิบายไว้ในจดหมาย บอกว่าผลไม้อย่างอื่นไม่เหมาะให้เก็บรักษา กลัวว่าลำเลียงมาถึงเมืองหลวงจะเสียหาย ดังนั้นเลยส่งมาเพียงของเหล่านี้ที่เหมาะให้เก็บไว้ได้นาน
“กร๊วบ” โหยวอวี่เวยกัดผิงกั่วที่ล้างสะอาดด้วยใบหน้าพึงพอใจ “อร่อยจริงๆ ผิงกั่วของครอบครัวน้องสาวเจินจูดียิ่งนัก ผลไม้ในสวนของพวกเรายังไม่กรอบและหวานเท่านี้เลย”
“นั่นสิเ้าคะ ผลพุทราและเมล็ดบัวที่ส่งมาเดือนก่อน ท่านผู้เฒ่าโหวกับนายท่านโหวต่างขัดเคืองที่ส่งมาน้อยเกินไป ข้าได้ยินชิวเซียงกล่าวว่าท่านผู้เฒ่าโหวยังปล้นเอาส่วนของนายท่านโหวไปครึ่งหนึ่งด้วยเ้าค่ะ” ชิวเซียงเป็คนรับใช้หญิงมีอายุที่อยู่ข้างกายฮูหยินใหญ่ สนิทสนมกันดีกับจื่อยู่มาโดยตลอด บนใบหน้าสุขุมของจื่อยู่ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ท่านผู้เฒ่าโหวมีอคติต่อฮูหยิน จนกระทั่งไม่ยอมเปิดปากกล่าวกับครอบครัวบุตรคนที่สาม จึงไปเอาส่วนของบุตรชายคนโตมาครึ่งหนึ่งเสียเลย
ใบหน้าของโหยวอวี่เวยที่กัดผิงกั่วปรากฏสีหน้าลำพองใจขึ้นเล็กน้อย สองสามปีมานี้ผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นที่สกุลหูส่งมา ล้วนแบ่งออกเป็สองส่วนแล้วมอบให้ท่านปู่กับท่านลุงใหญ่ ส่วนครอบครัวท่านลุงรองเป็ขุนนางอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ภายในจวนจึงไม่ได้ส่งให้
ผลที่ออกมาตอนแรกท่านปู่ไม่ได้สนใจของที่พวกนางส่งไปให้เท่าไร พอผ่านไปได้ไม่นาน หลังจากได้ลองชิมความหวานก็เริ่มเหมือนกับโหยวอวี่เวย คือเฝ้ารอของขวัญจากครอบครัวสกุลหู
เมื่อก่อนท่านปู่มีสีหน้าที่ไม่ดีต่อพวกนางแม่ลูกมาตลอด นับั้แ่ได้รับของที่พวกนางมอบให้ แม้ยังไม่มีสีหน้าดีอะไรแต่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนนั้นที่เอาแต่หาเื่พวกนางแล้ว
“เ้าเลือกออกมาสองชุด แล้วนำไปมอบให้ท่านปู่กับท่านลุงใหญ่ คาดว่าท่านปู่คงรอจนคอยื่นแล้ว” โหยวอวี่เวยกล่าวอย่างลำพองใจ
“ก็ไม่ใช่ว่ารออยู่หรอกหรือเ้าคะ เมื่อสักครู่หนูปี้ [4] เห็นสาวรับใช้ของท่านผู้เฒ่าโหวในลาน กำลังยื่นศีรษะดูอยู่นอกลาน คิดไปแล้วคงได้ข่าวเลยตั้งท่ารออยู่เ้าค่ะ” จื่อยู่ก็หัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน
“ไปเถอะๆ ส่วนของท่านปู่ใส่ผิงกั่วมากหน่อย หลี่จื่อเขาทานได้ไม่เท่าไร” โหยวอวี่เวยสั่งงานขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน
จื่อยู่รับคำสั่งแล้วจากไป
...ในขณะเดียวกันกู้ฉีก็กำลังชิมผิงกั่วที่เพิ่งมาถึงใหม่
ปอกเปลือกและหั่นเป็ชิ้น วางซ้อนกันอย่างเป็ระเบียบอยู่บนถาดกระเบื้องลายครามทรงใบบัว
กู้ฉีทานคำแล้วคำเล่า ไม่นานก็หมดไปหนึ่งถาด
เขาเพิ่งเลิกเรียนกว๋อจื่อเจี้ยน [5] และกลับมาบ้านก็ได้รู้ว่าสกุลหูส่งผลไม้ของปีนี้มาให้แล้ว
เมื่อนึกถึงความกรุบกรอบรสหวานยามเข้าในปากของปีก่อนขึ้น จึงสั่งให้ชิงเหมยรีบปอกผิงกั่วหนึ่งลูกทันที
ปีก่อนชิงเหมยแต่งให้กับผู้คุมงานคนหนึ่งในจวน ขณะนี้ยังคงปรนนิบัติอยู่ข้างกายของกู้ฉี
กู้ฉีปีนี้อายุสิบเก้าปี สวมเสื้อคลุมชายยาวสีขาวนวลจันทร์ รูปร่างสูงชะลูด ใบหน้าดั่งหยกที่ไว้ประดับกวน [6] เส้นผมใช้ปิ่นหยกหนึ่งชิ้นมวยขึ้น ท่าทางหล่อเหลาสง่างามและดูสูงศักดิ์
เขาปฏิบัติตามคำสั่งผู้เป็บิดา ไปเล่าเรียนที่กว๋อจื่อเจี้ยนได้สองปีแล้ว
นับั้แ่ร่างกายของเขาหายเป็ปกติดี บิดาก็คาดหวังในตัวเขามากยิ่งขึ้นทุกวัน
สิ่งแรกคือเชิญนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงมาสอนชดเชยการศึกษาเล่าเรียนที่เมื่อก่อนเขายืดเยื้อเลื่อนออกไป เมื่อผ่านไปหนึ่งปีก็ให้เขาเข้าไปเล่าเรียนกว๋อจื่อเจี้ยนอันเป็สำนักที่อยู่ในระดับสูงที่สุดของอาณาจักรต้าสยา
กว๋อจื่อเจี้ยน เป็ตำหนักค้นคว้าเล่าเรียนในแขนงต่างๆ ของต้าสยา สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่บัณฑิตทั้งประเทศใฝ่ฝัน หากบัณฑิตธรรมดา้าเข้าไป ไม่เพียงต้องมีคนแนะนำรับรองเท่านั้น แต่ยังต้องผ่านการคัดเลือกอย่างละเอียดหลายขั้นตอนอีกด้วย
แน่นอนว่านี่เป็วิธีการของบัณฑิตธรรมดา
แต่สำหรับขุนนางราชสำนักที่มีลำดับยศอย่างพวกเขาแล้ว การเข้าสู่กว๋อจื่อเจี้ยน สิ่งที่จำเป็คือเส้นสายต้องแข็งแกร่งและวิชาความรู้ก็ไม่แย่จนเกินไปนัก
พวกเขาก็ต้องผ่านการเข้าเรียนและการสอบเช่นกัน แต่การเข้าเรียนและสอบนี้ เมื่อเทียบกับกระดาษข้อสอบของเหล่าบัณฑิตธรรมดาแล้วง่ายกว่าไม่น้อยเลย เมื่อสอบผ่านจึงจะเข้ากว๋อจื่อเจี้ยนได้ อย่างไรเสียหากสำนักเรียนระดับสูงที่สุดของทั้งอาณาจักรได้ปะปนบัณฑิตโง่เขลาไม่เฉลียวฉลาดเข้ามา ก็จะเป็การทำลายชื่อเสียงต่อสำนักเรียนระดับสูง
กู้ฉีผ่านการสอบขั้นแรกได้อย่างง่ายดาย
หลังอาการป่วยของเขาหายดี หูตาฉับไว สมองปราดเปรื่อง และผ่านการสั่งสอนจากนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาหนึ่งปี ข้อสอบเข้าเรียนชุดนั้นโดยรวมแล้วไม่ได้ยากสำหรับเขาเลย
พอเข้ากว๋อจื่อเจี้ยน วิชาของสำนักการศึกษาระดับสูงมีมาก ได้แก่ มารยาทสังคมรวมถึงขนบประเพณี ดนตรีและเต้นรำ การยิงธนู การขับรถม้า การเขียนหนังสือ และคณิตศาสตร์ แต่ละวิชาบัณฑิตล้วนต้องเรียนรู้ แม้กู้ฉีจะเฉลียวฉลาดแต่อย่างไรเสียพื้นฐานก็อ่อนแอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มใช้ชีวิตศึกษาเล่าเรียนอย่างยุ่งเหยิงไม่หยุด
ทุกครั้งที่ของขวัญสกุลหูส่งมา เขาจะคิดถึงเด็กสาวหน้าตาเ้าเล่ห์ทั้งยังมีชีวิตชีวาผู้นั้นขึ้น
ปีที่แล้วกว๋อจื่อเจี้ยนหยุดเตรียมเสื้อหนาว [7] ่วันหยุดคือหนึ่งเดือน กู้ฉีไปเอ้อโจวหนึ่งรอบ ม้าเร็วลงแส้ไปตลอดทาง การเดินทางสิบห้าวันย่นเหลือสิบวัน พักอาศัยอยู่เมืองไท่ผิงแปดวันแล้วจึงเดินทางกลับเมืองหลวง
เวลาห่างไปหนึ่งปีกว่า ถึงได้พบเด็กสาวที่มีรอยยิ้มสว่างสดใสและดวงตาฉลาดเฉียบแหลมคู่นั้นอีกครั้ง
เชิงอรรถ
[1] เซิงหยวน หรือเรียกกันว่า ซิ่วฉาย ซึ่งเป็ระดับคุณวุฒิการสอบของขุนนาง โดยจะเรียงดังนี้ 1. ถงเซิง (童生) : บัณฑิตเด็ก สอบผ่านระดับขั้นต้นหรือระดับท้องถิ่นขั้นต้น 2. เซิงหยวน (生员) : เป็ผู้ที่สอบผ่านระดับท้องถิ่น แบ่งเป็สามระดับ ได้แก่ 2.1 หลิ่นเซิง (廪生 เป็ระดับสูงสุดของเซิงหยวน เป็ผู้ที่มีความสามารถสอบได้คะแนนในระดับดีที่สุดของการสอบย่วนซื่อ โดยผู้ที่ได้อันดับหนึ่งสูงที่สุดในบรรดาหลิ่นเซิงเรียกว่า อั้นโฉ่ว หรือ 案首) 2.2 เจิงเซิง (增生 เป็ผู้ที่ได้ตำแหน่งรองลงมาในกลุ่มเซิงหยวนและหลิ่นเซิง) 2.3 ฟู่เซิง (附生 เป็ผู้ที่สอบได้ในระดับที่สามของกลุ่มเซิงหยวน เป็กลุ่มสำรองในการคัดเลือกเข้ารับราชการ หากมีตำแหน่งว่างสามารถเข้ารับราชการได้ ถือเป็ผู้สอบผ่านแต่ยังต้องปรับปรุงพัฒนาอีก) 3. จู่เหริน (举人) : เป็ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑล โดยมีผู้ที่ได้ระดับสูงสุดของจู่เหรินเรียกว่า เจี้ยหยวน หรือ 解元 4. ก้งซื่อ (贡士) : คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการสอบระดับเมืองหลวง มีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกจากกษัตริย์ให้เป็ผู้ถวายการรับใช้ จึงถือว่าเป็การก้าวสู่เส้นทางการเป็ขุนนางอย่างหนึ่ง โดยผู้ที่ได้อันดับสูงสุดของการสอบนี้เรียกว่า ฮุ้ยหยวน หรือ 会元 5. จิ้นซื่อ (进士) : เป็ผู้ที่สอบผ่านในระดับราชสำนักหรือระดับราชวัง โดยแบ่งเป็ 5.1 จิ้นซื่อจี๋ตี้ หรือ 进士及第 คือ บัณฑิตที่สอบได้คะแนนระดับสูงสุดในการสอบราชสำนัก โดยสามอันดับแรกคือ จอหงวน ปั้งเหยี่ยน และทั่นฮวา 5.2 จิ้นซื่อชูเซิน หรือ 进士出身 คือ กลุ่มบัณฑิตรองจากทั่นฮวา 5.3 ถงจิ้นซื่อชูเซิน หรือ 同进士出身 คือบัณฑิตที่สอบได้ระดับรองลงมาเป็ระดับสามในการสอบราชสำนัก และรองลงมาจากจิ้นซื่อชูเซิน
[2] ต้นไห่ถัง คือ พืชตระกูลแอปเปิล มีดอกสีขาว ชมพูหรือแดง ผลิบาน่ฤดูใบไม้ผลิ ผลไห่ถังมีสีเหลืองไปจนถึงแดง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน
[3] ไม้ไผ่นางสนม คือ ไผ่สายพันธุ์ที่มีลายเป็จุด
[4] หนูปี้ (奴婢) หมายถึง คำเรียกตนเองของคนใช้ชายหรือหญิงก็ได้
[5] กว๋อจื่อเจี้ยน คือ สถาบันการศึกษาให้ความรู้สมัยราชวงศ์ซ่ง มีการบริหารจัดการการศึกษาของขุนนางข้าราชการ ที่เป็สถาบันการศึกษาระดับสูงในราชสำนักอย่างเป็ทางการ มีวัตถุประสงค์ให้ความรู้แก่ขุนนางในด้านพิธีการ รัฐพิธี (礼部)
[6] กวน หรือ 冠 หมายถึง เครื่องครอบมวยผมของบุรุษสมัยโบราณ ซึ่งอาจมีการประดับประดาด้วยสิ่งต่างๆ เช่น หยก หยกเนื้อดีในสมัยโบราณเป็สีเกลี้ยงเกลาสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหยกสีขาวที่ถูกใช้เปรียบเปรยความงามของคนบ่อยครั้ง ในที่นี้จึงเป็การเปรียบเปรยว่ามีใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาดุจหยกเนื้อดี หรือหน้าตางดงามมากนั่นเอง
[7] หยุดเตรียมเสื้อหนาว คือ วันหยุดของเดือนเก้าตามปฏิทินจันทรคติจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้