สามวันต่อมา ฉินอวี่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการรวบรวมพลังแห่งสายฟ้าที่ลึกล้ำในร่างกายของเขา
เนื่องจากพลังของสายฟ้าที่ลึกล้ำในพลังิญญานั้นบอบบางเกินไป พลังที่เกิดขึ้นจึงไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร มีเพียงการควบแน่นอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่จะทำให้พลังสมบูรณ์มากขึ้น หลังจากผ่านไปสามวัน ฉินอวี่ก็ควบรวมพลังของสายฟ้าอันลึกล้ำอันเบาบางให้กลายเป็อสุนีลึกลับสีม่วงได้สำเร็จ แม้ว่าพลังที่เกิดขึ้นมานั้นจะเป็สายฟ้าที่ดูมีขนาดเล็ก แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตัดสินอานุภาพของมันได้
“ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ว่าอสุนีลึกลับสามารถทำลายค่ายกลป้องกันจากม่านแสงสีทองของถงอวิ๋นเฟยได้หรือไม่” ฉินอวี่พึมพำ แม้ว่าสยงท่าเทียนจะใช้พลังของตระกูลขวงสยงก็ยังไม่สามารถทำลายค่ายกลป้องกันของถงอวิ๋นเฟยได้ บางทีพลังของอสุนีลึกลับในตอนนี้ก็อาจยากนักที่จะทำลายได้
“ด้วยระดับการฝึกฝนขั้นปราณเสถียรระดับต้นของข้าในตอนนี้ การใช้พลังของวิชาปีศาจคลั่ง การเปลี่ยนแปลงขั้นที่หนึ่งมีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก บางที เมื่อถึงเวลาอาจสามารถรวบรวมพลังว่านจ้งสองชั้นออกมาใช้และหยิบยืมพลังของหมัดะเิฟ้ามาช่วยอีกแรงได้ แบบนี้ก็อาจพอมีความหวังว่าจะทำลายกลป้องกันนั่นได้ และเมื่อค่ายกลป้องกันถูกทำลาย พลังของอสุนีลึกลับนี้ก็จะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน”
จากนั้น ฉินอวี่ก็เริ่มรวมพลังของอสุนีลึกลับอีกครั้ง เขามีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ เขาได้ใช้เวลาสามวันจนสามารถรวมพลังขึ้นเป็อสุนีลึกลับจำนวนสามสาย
เมื่อมองดูอสุนีลึกลับทั้งสามสายที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นเืทั่วร่างกาย เขาก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ “หากสามารถนำอสุนีลึกลับทั้งสามนี้เข้าเก็บไว้ในจุดตันเถียนได้ ก็จะเป็หนทางเข้าใกล้พลังของสายฟ้าได้อย่างรวดเร็วที่สุด หากเป็เช่นนั้น พลังที่มีจะต้องเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน” เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินอวี่ก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะเริ่มทดลอง
เขาบังคับพลังของอสุนีลึกลับให้พุ่งเข้าสู่จุดตันเถียน แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือ หลังจากอสุนีลึกลับทั้งสามสายได้เคลื่อนเข้าสู่จุดตันเถียน เขากลับไม่สามารถควบคุมอสุนีลึกลับให้เข้าใกล้พลังสายฟ้าที่อยู่ตรงใจกลางได้เลย
“คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ เอาไว้ในจุดตันเถียนเสียก่อนก็แล้วกัน มันจะสามารถดูดซับได้เท่าไรก็เท่านั้น” ฉินอวี่ไม่บีบบังคับร่างกายอีกต่อไป และปล่อยให้อสุนีลึกลับทั้งสามสายลอยเคว้งอยู่ในจุดตันเถียน
ฉินอวี่ลืมตาขึ้นพลางคำนวณดูเวลา ตอนนี้เหลือเวลาอยู่ไม่ถึงสิบวัน สำหรับการประลองกับชุยซั่วและถงอวิ๋นเฟย เดิมทีแล้วฉินอวี่ตั้งใจจะเรียกอสุนีลึกลับออกมาอีกสักหนึ่งสาย แต่ทันใดนั้นก็เหมือนเขาฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบยกมือข้างขวาขึ้นทันที
เมื่อมองไปยังฝ่ามือข้างขวาที่ดูผิดปกติ ฉินอวี่ก็เริ่มขยับรวมพลังปราณไว้ที่กลางฝ่ามือขวา แล้วก็เป็ไปอย่างที่คิดไว้ รอยมือทองสัมฤทธิ์ได้ปรากฏขึ้นมาทันที
ซึ่งรอยมือทองสัมฤทธิ์นี้ ยังเป็สิ่งที่ฉินอวี่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าแท้จริงแล้วเกิดขึ้นด้วยเหตุใดกันแน่
เขาจำได้ว่าขณะที่เจดีย์นั้นกำลังแตกสลาย ่เวลาก่อนที่เขาจะสลบไป มีรอยมือรอยหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา แต่ทำไมหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว รอยฝ่ามือทองสัมฤทธิ์นี้ก็ยังคงอยู่? เื่นี้มันไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ
ภายใต้ความสงสัยที่น่าใ ฉินอวี่ได้เพ่งพลังจิตเข้าไปในฝ่ามือขวาของเขาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบเจออะไรแม้แต่น้อย ราวกับว่ารอยมือทองสัมฤทธิ์นั้นไม่เคยมีอยู่ แต่เมื่อเขาได้เห็นมันอีกครั้งอย่างชัดเจน ก็ยิ่งทำให้ฉินอวี่ยากที่จะเข้าใจ
“เอ๊ะ?” จู่ๆ ฉินอวี่ก็ร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ในตอนนี้มือซ้ายของเขาก็ควบรวมไปด้วยพลังปราณกลุ่มหนึ่ง เมื่อมองดูพลังปราณในมือทั้งสองอย่างละเอียด เขาก็ต้องประหลาดใจขึ้นมา เมื่อพบว่าพลังปราณในมือข้างขวาของเขามีพลังปราณที่แข็งแกร่งมาก!
หลังจากพยายามทดลองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ยิ่งใมากขึ้น
“พลังปราณในมือขวาแข็งแกร่งกว่าพลังปราณในมือซ้ายถึงสามเท่า? เป็ไปได้อย่างไรกัน? พลังปราณในร่างกายของข้าก็เป็แบบเดียวกัน... เดี๋ยวนะ หรือจะเป็เพราะรอยมืองั้นหรือ?” ฉินอวี่รู้สึกประหลาดใจ เมื่อคิดดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็มีความเป็ไปได้เพียงสาเหตุนี้ทางเดียวเท่านั้น
“นี่นับว่าเป็ความโชคดี และรางวัลที่ได้รับหรือ?” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง เมื่อมองดูรอยมือทองสัมฤทธิ์อย่างรอบคอบ ฉินอวี่จึงตัดสินใจว่าจะศึกษาเกี่ยวกับรอยมือทองสัมฤทธิ์นี้หลังจากได้เข้าไปยังสำนักยุทธ์ว่านจ้ง
อย่างไรก็ตาม รอยมือทองสัมฤทธิ์นี้สามารถต้านทานการปราบปรามของเพลิงอสุนีได้ แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของมัน ฉินอวี่จึงคาดเดาได้ทันทีว่ารอยมือทองสัมฤทธิ์นี้น่าจะมีที่มาจากเือสูร ซึ่งมีความทรงพลังและแข็งแกร่งอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การพบเจอหยดเืที่มีความน่ากลัวเช่นนี้ เป็เื่ที่หาได้ยากยิ่งนัก แม้ว่าฉินอวี่จะอ่านตำราโบราณมาเป็จำนวนนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังไม่เคยพบเห็นหยดเืที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ระดับเขตแดนเต๋าขั้นสูงสุดก็ยังไม่อาจเทียบได้เลย
“วันหลังข้าคงต้องศึกษารอยมือทองสัมฤทธิ์นี้อีกครั้ง ในเมื่อพลังปราณเสถียรที่ไหลผ่านมือขวาทำให้พลังเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่า เช่นนี้แล้ว การโจมตีของมือข้างขวาจะต้องมีความแข็งแกร่งกว่ามือข้างซ้ายถึงสามเท่าด้วย? หากปลดปล่อยพลังว่านจ้งออกมาจากมือข้างขวา จะไม่ยิ่งทรงพลังขึ้นกว่าเดิมหรือ?” ฉินอวี่รู้สึกตกตะลึง การเข้าไปยังดินแดนต้องห้ามในครั้งนี้ นับว่าได้กำไรมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“น่าเสียดายที่ยังไม่อาจใช้การเปลี่ยนแปลงขั้นที่หนึ่งของวิชาปีศาจคลั่งได้ในตอนนี้ มิฉะนั้น คงอยากจะลองเรียกพลังว่านจ้งออกมาลองทดสอบดูสักครั้ง ช่างเถอะ ตอนนี้ควรจะรวมพลังอสุนีลึกลับออกมาอีกสักสองสามสาย เมื่อถึงเวลานั้น... คงจัดการกับชุยซั่วได้ในคราวเดียว!” ฉินอวี่พูดในใจ เขาไม่ได้สนใจเื่ของชุยซั่วแล้ว และไม่้าสิ้นเปลืองพลังปราณเสถียรไปกับชุยซั่ว เพราะเขาคิดว่าเขาควรจะใช้พลังปราณเสถียรเพื่อต่อสู้กับถงอวิ๋นเฟยมากกว่า
ครึ่งวันต่อมา
ขณะที่ฉินอวี่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการรวมอสุนีลึกลับ จู่ๆ ประตูห้องของเขาก็ถูกเปิดออก ฉินอวี่ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว และพบกับร่างกายอันกำยำแข็งแรงของสยงท่าเทียน
หลังจากล้างกลเวทป้องกันแล้ว ฉินอวี่ก็ขมวดคิ้วขึ้น “สยงท่าเทียน เกิดอะไรขึ้น?”
“พี่ใหญ่ มีคนส่งของบางอย่างมา บอกว่า้าให้ท่านดู” สยงท่าเทียนยิ้ม พร้อมยื่นหนังสือเชิญฉบับหนึ่งให้กับฉินอวี่
อันที่จริง สยงท่าเทียนมายืนรออยู่หน้าประตูเป็เวลานานแล้ว เขาอยากที่จะเข้ามาแต่ก็กังวลว่าจะเป็การรบกวนฉินอวี่ จึงยืนรออยู่ด้านนอก จนกระทั่งมีคนส่งหนังสือเชิญมาให้ เขาจึงตัดสินใจที่จะผลักประตูเข้ามา
ฉินอวี่รับหนังสือเชิญเล่มนั้นไว้ หลังจากเปิดออกดู เขาก็มองเห็นตัวอักษรสีทองที่ดูพลิ้วไหวสวยงาม คิ้วของเขาขมวดขึ้นทันที พลางพึมพำกับตนเอง “อี้เจาฮุยแห่งสำนักโบราณเทียนหลง? ข้าไม่รู้จักเขา เหตุใดจึงส่งหนังสือเชิญมาให้? หรือจะเป็... จื่อซวินเอ๋อ?”
“พี่ใหญ่ พรุ่งนี้พวกเราต้องเข้าวังหลวงใช่หรือไม่ ข้าโตจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยได้ไปวังหลวงเลยสักครั้ง” สยงท่าเทียนลูบมือตนเองด้วยสีหน้าที่ดูมีความหวัง
ฉินอวี่เหลือบมองไปยังสยงท่าเทียน และพูดขึ้นมาหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้น พรุ่งนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ แต่เมื่อถึงตอนนั้น เ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง” เดิมทีแล้วเขาไม่คิดจะไปตามคำเชิญ เนื่องด้วยการต่อสู้กำลังจะมาถึง เขา้าสร้างอสุนีลึกลับให้มากกว่านี้ อีกอย่าง จื่อซวินเอ๋อส่งหนังสือเชิญมาเช่นนี้ เจตนาก็ยังไม่ชัดเจน สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่รู้สึกเป็กังวล
แต่เมื่อเห็นท่าทีของสยงท่าเทียน ฉินอวี่ก็ไม่มีทางเลือก แม้ตัวเขาเองจะไม่ไป แต่สยงท่าเทียนจะต้องแอบหนีไปอย่างแน่นอน
“อืม!” สยงท่าเทียนพยักหน้าอย่างจริงจัง
“เอาล่ะ เ้าออกไปก่อนเถอะ! ข้าจะขอฝึกฝนอีกสักหน่อย” ฉินอวี่กล่าว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าสยงท่าเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉินอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างใ “ยังมีเื่อะไรอีก?”
“พี่ใหญ่... เอ่อ... ฮ่าๆ...” ก่อนที่สยงท่าเทียนจะพูดจบ เขาก็หัวเราะเยาะตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ฉินอวี่มองด้วยความประหลาดใจ เ้าสยงท่าเทียนคนนี้ สติปัญญายังไร้เดียงสา รู้สึกอย่างไรก็มักแสดงออกมาทั้งหมด
“ฮ่าๆๆๆ พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ กำปั้นยุทธ์ชิ้นนี้... ฮ่าๆ” สยงท่าเทียนยังคงหัวเราะไม่หยุด เขาหยิบกำปั้นยุทธ์ออกมา จากนั้นไม่นาน เขาก็พยายามระงับความตื่นเต้นในใจ ใบหน้าแดงก่ำ และพูดขึ้นเบาๆ “กำปั้นยุทธ์ชิ้นนี้ แท้จริงแล้วมาจากบรรพชนของตระกูลขวงสยง ฮ่าๆ!”
ม่านตาของฉินอวี่หดลงทันที กำปั้นยุทธ์ชิ้นนี้เป็ของตระกูลขวงสยงจริงหรือ? ฉินอวี่ยิ้มแหย นี่นับว่าเป็ความโชคดีใช่หรือไม่? ของที่กระเด็นมากระแทกเขา จริงๆ แล้วเป็ของบรรพชนของเขาเอง?
“จริงสิ เมื่อมีกำปั้นยุทธ์นี้ข้าก็สามารถเอาชนะเ้าไก่อ่อนนั่นได้แล้วสิ” หลังจากหัวเราะคำโต สีหน้าของสยงท่าเทียนก็เคร่งขรึมขึ้นทันที
“พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ กำปั้นยุทธ์นี้มีชื่อเรียกว่ากำปั้นยุทธ์เทียนเอ้อ ซึ่งเป็อาวุธเก่าแก่ของตระกูลขวงสยง ด้านใน... มีอสูรอำมหิตถูกผนึกเอาไว้... ฮ่าๆ”
“อสูรอำมหิตชนิดใดกัน?” ฉินอวี่ถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เขาได้สังเกตเห็นถึงความพิเศษของกำปั้นยุทธ์ชิ้นนี้มาก่อนแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีการผนึกอสูรอำมหิตไว้ภายใน?
“เป็อสูรอำมหิตที่มีสายเืของ ‘เถาอู้’ อะไรสักอย่าง” สยงท่าเทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เถาอู้? เถาอู้?? อสูรร้ายยุคโบราณ?” ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยความใ
“อืม!” สยงท่าเทียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เถาอู้ถูกผนึกไว้ในกำปั้นยุทธ์นี้หรือ? เ้าพอจะหยิบยืมพลังจากมันมาใช่ได้หรือไม่?” ฉินอวี่กลั้นหายใจพลางกระซิบถาม นี่คือตัวเถาอู้เชียวนะ แม้ว่าจะมีสายเือยู่เพียงน้อยนิด แต่นั่นก็เพียงพอที่จะอยู่ในแดนนภาชิงเหลียนได้อย่างทรงพลัง
สยงท่าเทียนเกาศีรษะ และคิดอยู่นานก่อนจะตอบกลับไป “เอ่อ... คิดว่าน่าจะทำไม่ได้ ดูเหมือนว่ามันจะตายไปแล้ว...”
เมื่อได้ยินดังนี้ดวงตาทั้งสองของฉินอวี่ก็เบิกกว้างจนแทบจะกระอักเืออกมา
ณ จวนตระกูลฉิน
“เสวี่ยเอ๋อ พี่ฉินยังไม่กลับมาอีกหรือ?” หลงอวี่ถามอย่างกังวลใจเล็กน้อย หากเปรียบเทียบหลงอวี่ในตอนนี้กับเมื่อครั้งแรกเริ่ม นับได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้ว่าระดับการฝึกยุทธ์ของนางจะเพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งระดับ เป็ขั้นยุทธ์ระดับสาม แต่หน้าผากเหนือคิ้วทั้งสองของนางก็ปรากฏพลังที่น่าเกรงขามและแข็งแกร่งขึ้นอย่างยากจะบรรยาย
ฉินเสวี่ยส่ายหน้าด้วยความงุนงงและพูดต่อ “องค์หญิงสิบสาม เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่ชายเพิ่งจะส่งข่าวมาให้ข้า บอกว่ากำลังเก็บตัวบำเพ็ญยุทธ์อยู่ แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน อ้อ ท่านมาหาเขามีอะไรหรือ?”
“อ้อ พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงซึ่งบุคคลที่มีพร์จะมาเข้าร่วมเป็จำนวนมาก หากได้รู้จักเอาไว้ก็นับว่าเป็เื่ดี ช่างเถอะ อีกไม่กี่วันพี่ฉินก็จะต้องประลองกับชุยซั่ว เขาคงจะกำลังฝึกฝนเพิ่มเติมอยู่”
“เสวี่ยเอ๋อ เ้ารับไว้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้เ้าจะต้องเข้าวังหลวงให้ได้นะ การได้รู้จักผู้มีพร์ของสำนักเซียนจะเป็ประโยชน์ต่อการเข้าสู่สำนักเซียนของเ้าและพี่ฉินในอนาคต เ้าเก็บหนังสือเชิญนี่เอาไว้ หากพี่ฉินกลับมา รบกวนเ้ามอบให้เขาด้วย” พูดจบ หลงอวี่ก็รีบกลับออกไป
เหลือทิ้งไว้เพียงความงุนงงของฉินเสวี่ย