บัณฑิตรุ่นพี่ทั้งสามคนทะยานร่างเข้าไปหามู่เฟิงในทันที แน่นอนว่ามู่ขวงกับไป๋จื่อเยว่ย่อมไม่มีทางยืนอยู่เฉยๆ แน่ พวกเขาสองคนก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณ เขาต่อยหมัดไปทางมู่ขวงอย่างเต็มแรง แน่นอนว่าพลังที่ะเิออกมานั้นก็ไม่ธรรมเช่นกัน เพราะมันเป็วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด
มู่ขวงแสยะยิ้มเย็นะเืก่อนจะปล่อยหมัดออกไป เกิดเสียงปะทะดังสนั่น ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำผู้นั้นรู้สึกใกับพลังหมัดของมู่ขวง เขาก้าวถอยออกไปหลายก้าว ขณะที่มองมู่ขวงด้วยความตระหนก
ส่วนมู่ขวงก็ก้าวถอยออกไปครึ่งก้าว
“ศิษย์พี่ ความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้มันไม่พอหรอกนะ เอาใหม่”
มู่ขวงเยาะเย้ย ใบหน้าของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำพลันเปลี่ยนเป็เ็า เขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยคราวนี้เขาได้รวบรวมพลังเอาไว้ที่หมัดก่อนจะชกออกไปอย่างดุดัน หมัดสีน้ำเงินพุ่งทะยานไปทางมู่ขวงอย่างรวดเร็ว
มู่ขวงงอตัวลงเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูราวกับพยัคฆ์ร้ายที่เปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลัง และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็ปล่อยหมัดเข้าปะทะกับหมัดสีน้ำเงินของอีกฝ่ายเช่นกัน
“หมัดศิลากลิ้ง!”
มู่ขวงแผดเสียงคำราม หมัดของเขาเปล่งแสงสีเหลืองส่องสว่างออกมา เมื่อเขาเหวี่ยงหมัดออกไปก็มีเสียงคล้ายเสียงกลิ้งของก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อนดังขึ้นมา พร้อมกับหมัดที่ทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หมัดสีเหลืองพุ่งทะยานออกไปโจมตีใส่หมัดสีน้ำเงินเป็ระลอกอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะทุบทำลายหมัดของอีกฝ่ายไป
หมัดศิลากลิ้งของมู่ขวงคือทักษะวิชาระดับนิลกาฬขั้นต่ำที่มู่เฟิงมอบให้เขา ในยามนี้เด็กหนุ่มได้ฝึกฝนมันจนบรรลุระดับสัมฤทธิ์ขั้นต่ำแล้ว
พลังหมัดของชายหนุ่มชุดดำถูกหมัดของมู่ขวงทำลายลงในทันที แต่ชายผู้นั้นก็ไม่รอช้า เขาพลันเหวี่ยงขาไปที่ศีรษะของมู่ขวง และขาของเขายังถูกอัดแน่นไว้ด้วยพลังปราณที่สามารถทุบทำลายศิลาได้เลย
มู่ขวงรีบยกมือขึ้นมาป้องกันลูกเตะลูกนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างคว้าจับขาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทว่าทันใดนั้นเองอีกฝ่ายก็ใช้ขาอีกข้างเตะเข้าไปที่หัวไหล่ของมู่ขวงอย่างแรงจนมันเกิดเสียงดังปัง เพียงแต่ร่างของมู่ขวงไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังกระชากขาอีกฝ่ายกระแทกลงบนโต๊ะอาหาร จนโต๊ะนั้นแตกกระจายกลายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ปัง!
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำผู้นั้นกระอักเืออกมาในทันที จากนั้นมู่ขวงก็กระทืบเท้าไปยังหน้าท้องของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องแผดเสียงร้องโหยหวนออกมา พร้อมกับกระอักเือีกครั้ง เขาเกลือกกลิ้งไปตามพื้นขณะกุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้ ตอนนี้เขาไม่สามารถลุกขึ้นมาได้แล้ว
อีกด้านหนึ่ง ไป๋จื่อเยว่กำลังกระชับกระบี่เล่มยาวในมือเอาไว้ ในขณะที่บัณฑิตรุ่นพี่อีกคนก็ถือกริชเอาไว้ในมือเช่นกัน อีกฝ่ายกระโจนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว หมายจะใช้กริชจ้วงแทงเข้าไปที่หน้าอกของไป๋จื่อเยว่โดยตรง
แกร๊ก!
ไป๋จื่อเยว่สะบัดกระบี่เล่มยาวในมือ เพื่อปัดกริชในมือของอีกฝ่าย ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นรู้ทันจึงรีบเอนหลังหลบในทันที จากนั้นก็กระโจนร่างเข้าหาไป๋จื่อเยว่อีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาได้เล็งกริชไปยังบริเวณน่องของเด็กหนุ่มแทน
ไป๋จื่อเยว่ตีลังกากลับหลังกลางอากาศหนึ่งตลบ ทำให้เขาสามารถหลบหลีกคมกริชของอีกฝ่ายไปได้อย่างเฉียดฉิว และเมื่อร่างของเขาลงสู่พื้น กระบี่เล่มยาวที่ยังไม่ถอดออกฝักก็ชี้ไปเบื้องหน้าทันที เงาร่างกระบี่หลายเล่มเป็ดั่งหัวอสรพิษที่พุ่งเข้าไปฉกบัณฑิตรุ่นพี่ผู้นั้นอย่างต่อเนื่อง
บัณฑิตรุ่นพี่ผู้นั้นรีบตวัดกริชไปมาเพื่อปัดป้องมัน จนเกิดเป็เสียงโลหะปะทะกันดังสนั่น
จากนั้นการเคลื่อนไหวกระบี่ของไป๋จื่อเยว่ก็พลันเปลี่ยนเป็ว่องไวขึ้น จนในที่สุดกริชในมือของฝ่ายตรงข้ามก็ถูกฝักกระบี่ปัดกระเด็นไปไกล ก่อนที่ฝักกระบี่จะจ้วงแทงไปบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
“อ๊าก!”
ชายหนุ่มแผดเสียงร้องออกมาอย่างเ็ป เขายกมือขึ้นกุมปากขณะที่น้ำตาไหลพราก ฟันทั้งหมดในปากถูกฝักกระบี่ทิ่มแทงจนร่วงเกือบหมด
ไป๋จื่อเยว่เตะไปที่ทรวงอกของบัณฑิตรุ่นพี่ผู้นั้นจนร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล
นอกจากนี้ ยังมีบัณฑิตรุ่นพี่อีกคนที่พุ่งทะยานไปทางมู่เฟิง มือข้างหนึ่งของมู่เฟิงกอบกุมมือของว่านเอ๋อร์เอาไว้ สายตาของเด็กหนุ่มจ้องมองไปทางคนที่พุ่งตัวเข้ามาด้วยแววตาเฉยชา แต่ว่านเอ๋อร์กลับััได้ถึงพลังอันเดือดพล่านที่กำลังแผ่ออกมาจากร่างกายของมู่เฟิง
ชายหนุ่มผู้นั้นปล่อยฝ่ามือโจมตีไปทางมู่เฟิงโดยตรง ฝ่ามือสีทองพุ่งทะลวงออกมาราวกับคมดาบ เสียงแหวกอากาศดังหวีดหวิด มู่เฟิงต่อยหมัดออกไปเช่นกัน หมัดสีแดงเพลิงของเขาทุบทำลายพลังหมัดของอีกฝ่ายในทันที
และทันใดนั้นมู่เฟิงก็พลันปล่อยมือว่านเอ๋อร์ ก่อนจะพุ่งทะยานร่างเข้าไปหาบัณฑิตผู้นั้น สีหน้าของบัณฑิตผู้นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาตบฝ่ามือไปยังมู่เฟิงอีกครั้ง แต่ใครจะคิดว่ามู่เฟิงจะสามารถบิดตัวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว
“ะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยา!”
มู่เฟิงะเิพลังหมัดออกมา กำปั้นนี้ของเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน คลื่นพลังความร้อนแผ่ออกมาแผดเผาอากาศโดยรอบในทันที
อานุภาพพลังของมันทำให้บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกตื่นกลัว และเมื่อเกิดการปะทะขึ้นเขาก็หวีดเสียงร้องโหยหวนออกมาทันที ร่างของเขาถูกหมัดของมู่เฟิงอัดกระเด็นไปไกลหลายเมตร เขากุมฝ่ามือที่หักไปแล้วข้างนั้นเอาไว้แน่นขณะแผดเสียงร้องออกมาอย่างเ็ป
ฉู่เฟยเอ๋อร์มองดูภาพที่เกิดขึ้นด้วยความใ พวกมู่เฟิงจัดการคนทั้งสามได้ในเวลาที่เกือบจะพอดีกัน ทั้งยังเป็เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
“ฝีมือช่างร้ายกาจนัก ทั้งสามคนเป็บัณฑิตใหม่จริงหรือ?”
“ช่างน่าสนใจ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้าล่วงเกินฉู่เฟยเอ๋อร์ ลงมือทุบตีคนของฉู่หมั่ง เด็กหนุ่มสามคนนี้ช่างใจกล้านัก ดูท่าแล้วคงไม่รู้จักภูมิหลังของฉู่เฟยเอ๋อร์ละสินะ”
เหล่าบัณฑิตที่อยู่ภายในโรงอาหารต่างก็พูดคุยกันถึงเื่นี้ และดูเหมือนว่าฉู่เฟยเอ๋อร์จะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดานัก
หลังจากพวกมู่เฟิงทุบตีคนเ่าั้จนลงไปกองบนพื้นแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปหาฉู่เฟยเอ๋อร์อย่างใจเย็น
“พวกเ้าคิดจะทำอะไร?"
ฉู่เฟยเอ๋อร์ตวาดออกมาอย่างขุ่นเคือง
วรยุทธ์ของนางอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด กระทั่งสหายเ่าั้ของนางยังไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แล้วนางจะเป็คู่ต่อสู้ของพวกมู่เฟิงได้อย่างไร
เด็กหนุ่มทั้งสามล้อมฉู่เฟยเอ๋อร์เอาไว้ ไป๋จื่อเยว่กวาดตามองอีกฝ่ายก่อนจะจงใจแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา “พี่เฟิง สตรีผู้นี้หน้าตาดูดีไม่เบา”
“พวกเ้าอย่าได้คิดทำอะไรเหลวไหล ฉู่หมั่งพี่ชายของข้าเป็ถึงยอดฝีมือที่ถูกจัดอันดับของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น หากพวกเ้ากล้าแตะต้องข้า พวกเ้าได้ตายแน่”
ฉู่เฟยเอ๋อร์ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด
“ข้าไม่คิดจะทำร้ายสตรี ดังนั้นเ้าอย่าบีบให้ข้าต้องมองว่าเ้าไม่ใช่สตรีจะดีกว่า”
มู่เฟิงมองไปทางฉู่เฟยเอ๋อร์ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า สายตาอันคมกริบที่เขาจ้องมองมา ทำให้หัวใจของฉู่เฟยเอ๋อร์เกิดความรู้สึกหนาวเยือกโดยไม่สามารถอธิบายได้
“เฟิง เื่นี้ช่างมันเถอะ ข้ารู้จักฉู่หมั่ง เขาคือยอดฝีมือที่ถูกจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น”
ว่านเอ๋อร์เข้าไปดึงแขนของมู่เฟิงเอาไว้ ก่อนจะกระซิบบอกเขา
“ฮึ่ม นับว่าเ้ายังฉลาด เ้าพวกโง่ หากพวกเ้ากล้าล่วงเกินข้า วันข้างหน้าพวกเ้าจะไม่มีวันได้มีชีวิตที่ดีในสำนักศึกษาแน่”
เมื่อฉู่เฟยเอ๋อร์ได้ยินว่าว่านเอ๋อร์รู้จักพี่ชายของนาง นางก็กลับมารู้สึกมั่นใจอีกครั้งและแสดงอำนาจออกมาทันที
เพียะ!
แต่มู่เฟิงกลับยกฝ่ามือขึ้นตบลงบนหน้าของฉู่เฟยเอ๋อร์จนเสียงตบดังก้องไปทั่วโรงอาหาร ใบหน้าอันบอบบางของฉู่เฟยเอ๋อร์ปรากฏรอยนิ้วแดงเถือกขึ้นมาทันที
ฉู่เฟยเอ๋อร์ตกตะลึงกับสื่งที่เกิดขึ้น แต่ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์กลับตกตะลึงยิ่งกว่า
หญิงสาวยกมือขึ้นกุมใบหน้าขณะจ้องมองไปทางมู่เฟิง ดวงตาคู่สวยพลันแดงก่ำขึ้นมาในชั่วพริบตา
“เ้ากล้าตบข้า เ้ากล้าตบข้า!”
ฉู่เฟยเอ๋อร์แผดเสียงร้องออกมาขณะมองไปทางมู่เฟิงอย่างเดือดดาล
“ตบครั้งนี้เป็บทเรียนสำหรับคำพูดไม่น่าฟังของเ้า ข้าเตือนเ้าแล้ว อย่าบีบให้ข้าต้องมองว่าเ้าไม่ใช่สตรี”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเ็า แน่นอนว่ามู่เฟิงไม่อาจทนดูสตรีงี่เง่าผู้นี้ต่อว่าว่านเอ๋อร์ต่อหน้าเขาได้
“เฟิง...”
ว่านเอ๋อร์จับมือของมู่เฟิงเอาไว้แน่น ภายในใจของนางกำลังสั่นสะท้าน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษควรทำหรอกหรือ? หากสตรีของตนถูกปรามาสจะให้ฝืนกลืนก้อนความโกรธลงไปได้อย่างไร?
“ความอยากอาหารถูกพวกเขาทำลายไปหมดแล้ว ไปกันเถอะ”
มู่เฟิงลูบเรือนผมของว่านเอ๋อร์ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยยิ้มอ่อนโยน
“อืม”
จากนั้นคนทั้งสี่ก็ไม่ได้สนใจแม้แต้จะเหลือบมองฉู่เฟยเอ๋อร์อีก พวกเขาเดินตรงออกไปจากโรงอาหารในทันที
“เ้าพวกนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือกับฉู่เฟยเอ๋อร์ พวกเ้าได้ก่อปัญหาใหญ่แล้ว”
“ถูกต้อง ฉู่หมั่งรักและเอ็นดูน้องสาวผู้นี้ของเขามาก ทำให้นางหลงระเริงในอำนาจไม่น้อย แต่วันนี้นางกับถูกผู้อื่นตบเสียได้ แล้วนางจะยังกล้าวางอำนาจต่อไปได้อย่างไร”
ฉู่เฟยเอ๋อร์ยืนตัวแข็งทื่อ ผู้คนรอบข้างต่างก็วิพากษ์วิจารณ์และชี้นิ้วมาทางนาง แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมเป็ตัวโหมไฟแค้นในใจให้ลุกโชนยิ่งขึ้น เพียงไม่นานคนของนางก็ทยอยลุกขึ้นมา ก่อนจะกลับมายืนข้างกายนางอย่างเงียบๆ
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ พวกเ้าปล่อยให้ข้าถูกบัณฑิตใหม่พวกนั้นต่อว่าได้อย่างไร ยังไม่รีบไปสืบข้อมูลของเ้าพวกนั้นอีก ข้าจะให้พี่ชายของข้าจัดการพวกเขาด้วยตัวเอง”
ฉู่เฟยเอ๋อร์ตวาดใส่คนของตน และพวกเขาก็ทำได้แค่ยอมถูกนางดุด่าอย่างเชื่อฟัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้