“ตูม!!!”
ตำหนักเริ่มถล่ม มีหินก้อนใหญ่หล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่แรงสั่นะเืกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งมิติราวกับใกล้จะถึงจุดจบก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นพลังทำลายล้างะเิขึ้นจากแท่นหินที่เป็ศูนย์กลาง มันแผ่กระจายไปทั่วสารทิศ ก่อนจะกลายเป็ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็น และทุกที่ที่มันผ่าน ทุกสิ่งจะถูกทำลายลงอย่างพังพินาศ
“เร็ว รีบไป!”
มิติสั่นะเือย่างรุนแรงมากกว่าเดิม มีหลายคนถูกหินก้อนใหญ่ทับร่าง จนเสียชีวิตในทันที เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานและความตกตะลึงดังเข้าหูไม่หยุดหย่อน หลาย ๆ คนอยากจะหนีออกไปจากตำหนัก จึงวิ่งกรูไปยังบันไดกันอย่างบ้าคลั่ง
“เย่เฟิง พวกเราจะทำยังไงกันดี?” หลันเซียงเอ่ยถามเย่เฟิงด้วยสีหน้าหนักใจ ชิงเซียงก็หันมามองเย่เฟิงเช่นกัน ราวกับว่าผู้หญิงทั้งสองคนคิดจะฝากความหวังทุกอย่างไว้บนตัวของเย่เฟิง
“น่าจะเป็การสูญเสียการควบคุมผลึกเจตจำนงแรกเริ่มไป มิติแห่งนี้ถึงได้พังทลาย!”
เย่เฟิงก็ตกตะลึงอย่างมาก จากพลังจิตอันแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถรับรู้ได้ว่าพลังมิติกำลังบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง เมื่อพลังมิติเกิดการบิดเบี้ยวถึงระดับหนึ่ง มันจะส่งผลให้มิติพังทลาย หากมิติพังทลายก็เท่ากับว่าทั้งมิตินี้จะเกิดภัยพิบัติขึ้น ตราบใดที่ยังอยู่ในมิติแห่งนี้ ไม่ว่าหลบหนีไปที่ใดก็จะได้รับผลกระทบจากการพังทลายของมิติ
“มิติพังทลายเช่นนี้ งั้นพวกเราทั้งหมดจะสูญหายไปพร้อมกับมิติด้วยหรือไม่?” หลันเซียงได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เผยสีหน้าสิ้นหวัง นางไม่อยากตายอยู่ในมิติแห่งนี้
“อย่าตื่นใไป ให้ข้าคิดหาวิธีสักครู่ว่ามีทางออกอื่นหรือไม่” เย่เฟิงกล่าวปลอบประโลม พร้อมตบบ่าหลันเซียง
จากนั้นเย่เฟิงใช้จิตสื่อสารกับราชันมารชื่อเทียน แล้วถามว่า “ตาเฒ่า มิติแห่งนี้ใกล้จะพังทลายแล้ว มีวิธีที่จะสามารถพาพวกเราออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่?”
“มิติพังทลายเช่นนี้ ยุงแม้แต่ตัวเดียวในมิติยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงภัยครั้งนี้ได้ แต่มีข้าอยู่ ข้าพอจะต่อสู้เพื่อให้เ้ารอดชีวิตไปได้” ราชันมารชื่อเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน ทั้งยังแฝงความเชื่อมั่นราวกับว่าทุกสิ่งไม่เกี่ยวข้องกับเขา
“มีวิธีอะไรก็รีบพูดมา!” เย่เฟิงกล่าวด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ หากยังถ่วงเวลาอีก เขา ชิงเซียง และหลันเซียงก็คงได้ตายอยู่ที่นี่
“ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่เรียกว่าอำพรางกายให้เ้า เมื่อมิติใกล้จะพังทลาย เ้าจงใช้พลังจิตโคจรเคล็ดวิชานี้ จะมีโอกาสหลบหนีการกัดกร่อนของมิติ แล้วรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว จากนั้นเย่เฟิงรู้สึกว่าในหัวมีความทรงจำที่เกี่ยวกับวิชาอำพรางกายเพิ่มเข้ามา
จากนั้นเย่เฟิงทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอำพรางกายนั้นทันที แล้วกล่าวกับราชันมารชื่อเทียนต่อว่า “ถ้าข้าใช้วิชาอำพรางกายนี้จะมีโอกาสรอดชีวิตกี่ส่วน?”
“สี่ส่วน” ราชันมารชื่อเทียนกล่าวเสียงเรียบเฉย
“สี่ส่วนงั้นหรือ!” เย่เฟิงได้ฟังคำพูดของราชันมารชื่อเทียนก็เกือบจะกระอักเืออกมา
“สี่ส่วนก็ถือว่าสูงมากแล้ว หากเ้าไม่มีการคุ้มครองจากวิชาอำพรางกาย โอกาสที่เ้าจะรอดชีวิตจากมิติพังทลายแม้แต่หนึ่งส่วนก็ไม่มี” ราชันมารชื่อเทียนเห็นว่าเย่เฟิงดูไม่พอใจก็อธิบายเย่เฟิงด้วยน้ำเสียงดูแคลน
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เย่เฟิงทำได้เพียงยอมรับความเป็จริงข้อนี้ มีโอกาสรอดชีวิตเพียงสี่ส่วนก็ยังดีกว่าไม่มี
ต่อจากนั้น เย่เฟิงแบ่งวิชาอำพรางกายถ่ายทอดให้ชิงเซียงและหลันเซียง หลังจากพวกนางทำความเข้าใจวิชาอำพรางกายเรียบร้อยแล้ว ก็หันมามองเย่เฟิงด้วยสายตาเหลือเชื่อ
พวกนางไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มที่อายุไม่ถึง 17 ปีอย่างเย่เฟิงจะไปเอาเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาจากที่ไหน แต่ใน่วิกฤตเช่นนี้ พวกนางไม่มีเวลาคิดเื่เหล่านี้ จึงรีบจำเคล็ดวิชาอย่างรวดเร็ว
“ครืน!” พลันเสียงประหลาดดังขึ้นไม่หยุด ก่อนจะเห็นมิติบิดเบี้ยวรุนแรงมากขึ้น ตอนนี้เองทุกสิ่งในสายตาของผู้คนเริ่มอยู่ผิดที่ผิดทาง ราวกับว่าจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
“ตูม!!!” เสียงพังทลายดังขึ้นต่อเนื่อง มิติเริ่มปรากฏรอยร้าว พลังแห่งความมืดไร้ที่สิ้นสุดแทรกซึมผ่านเข้ามายังรอยแยกในมิติ ราวกับว่ามาจากนรกก็ไม่ปาน
“ครืน ครืน...” มิติปรากฏรอยร้าวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งทั้งมิติเริ่มไม่เสถียรภาพ ภายใต้แรงสั่นะเืทำให้ทุกคนเริ่มยืนตรงไม่ได้ แรงกดดันจากมิติยังทำให้พวกเขาหายใจลำบากขึ้น
“วิชาอำพรางกาย!”
ในเวลาเดียวกัน เย่เฟิง ชิงเซียง และหลันเซียงเริ่มปล่อยพลังจิตของตน พร้อมโคจรวิชาอำพรางกายอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นแสงอำพรางเข้าปกคลุมร่างของทั้งสามคน ก่อนจะค่อย ๆ จางลง
วิชาอำพรางกายเป็ไปตามชื่อของมัน ซึ่งเป็การใช้พลังจิตเพื่อบรรลุการอำพรางกายผ่านเคล็ดวิชาประเภทหนึ่ง เมื่อใช้เคล็ดวิชานี้ ผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถหลีกเลี่ยงการได้รับาเ็จากโลกภายนอก รวมทั้งการได้รับาเ็จากพลังมิติด้วยเช่นกัน
“ตูม!!!” เสียงะเิสนั่นหวั่นไหว ทั้งมิติพังทลายลงมา ทุกคนที่อยู่ในมิติรวมทั้งวัตถุต่าง ๆ ก็ถูกดูดเข้าไปในความมืดอันไร้จุดสิ้นสุดนั่น
เย่เฟิงกอดชิงเซียงและหลันเซียงไว้แน่นขณะเดินผ่านความปั่นป่วนในมิติ ทำให้หลบหลีกการจู่โจมจากความปั่นป่วนของมิติได้ในระดับหนึ่ง แต่พลังมิติอันน่าสะพรึงกลัวโหมกระหน่ำในความมืด ทำลายวัตถุจำนวนมากจนแตกออกเป็ชิ้น ๆ ก่อนจะกลายเป็ผุยผง จากนั้นหายไปท่ามกลางความปั่นป่วนของมิติที่ไร้สิ้นสุด
แม้จะใช้วิชาอำพรางกาย แต่เย่เฟิงก็ยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มาจากพลังมิติอันน่าสะพรึงกลัวนั้น พลังนี้ค่อยกดทับร่างเขาจนเสียงกระดูกดังลั่นราวกับว่ากระดูกจะแตกหักก็ไม่ปาน จากนั้นเย่เฟิงแผดเสียงะโด้วยโทสะ ระดมพลังทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายออกมา พลันเกราะเทพาปรากฏแนบร่างกายพร้อมเปล่งแสงแห่งา
พลังหยวนไร้ที่สิ้นสุดถูกปลดปล่อย ก่อนกลายเป็เกราะป้องกันพลังหยวนที่ห้อมล้อมพวกเย่เฟิง เพื่อต่อต้านแรงกดดันจากพลังมิติที่น่าสะพรึงกลัวนั่น
พลังมิติในความมืดคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าสัตว์ป่ากำลังอาละวาดอยู่ในที่แห่งนี้ ทุกเสียงคำรามล้วนสามารถฉีกกระชากทุกสิ่ง ผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ตัวหดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเป็ดินทรายหนึ่งเม็ดที่อยู่ในทะเลทรายก็ไม่ปาน
เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของพลังมิติที่รุนแรง พวกเย่เฟิงก็เป็ลมหมดสติไป แต่เย่เฟิงยังคงกอดร่างอันบอบบางของหญิงสาวทั้งสองไว้แน่น
หนึ่งวันต่อมา ในูเาร้างซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงอาณาจักรจ้าวไปหลายร้อยลี้ ชายหนุ่มในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้นโดยหลับตาแน่นราวกับว่าเป็ลมหมดสติ แต่ในอ้อมกอดของเขายังโอบหญิงสาวสองคนอยู่ในอ้อมกอด ร่างกายแนบชิด ดูไปแล้วน่าจะสนิทสนมกันมาก ซึ่งเสื้อผ้าของหญิงสาวสองคนก็ขาดหลุดลุ่ยเช่นกัน จึงเผยให้เห็นผิวขาวนวล หลังจากผ่านภัยพิบัติก่อนหน้านั้นมา หญิงสาวทั้งสองก็มีสภาพอนาถอย่างเห็นได้ชัด
“โอ๊ย...” ขณะนั้นมีเสียงดังออกจากปากของชายหนุ่ม ก่อนดวงตาของเขาจะค่อย ๆ ลืมขึ้นมา พร้อมเผยสีหน้าเ็ป เขาอยากลุกขึ้น แต่กลับค้นพบว่ามีสองร่างกำลังทับร่างเขาอยู่
“ยังดีที่ไม่ตาย” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความสุขใจ รู้สึกว่าตนไม่ได้เป็อะไรมากนัก เพียงแค่าเ็เล็กน้อยเท่านั้น
“อืม...” ขณะเดียวกันหญิงสาวชุดฟ้าหนึ่งในนั้นก็รู้สึกตัวเช่นกัน ขนตายาว ๆ กระพือขึ้น จากนั้นนางก็ลืมตาตื่น นางพบว่าตัวเองอยู่ใกล้กับชายหนุ่มมาก กระทั่งหน้าอกของตนแนบชิดกับหน้าอกของอีกฝ่าย ทำให้นางหน้าแดงฉับพลันและไม่กล้าสบตามองอีกฝ่าย
“คุณชายเย่ พวกเรายังไม่ตาย”
หลันเซียงรีบลุกขึ้นจากตัวเย่เฟิงด้วยความร้อนรน พร้อมเผยสีหน้าท่าทางเขินอาย ซึ่งเมื่อก่อนนางอยู่ใกล้ชิดกับผู้ชายน้อยมากและไม่ได้ัักับตัวผู้ชายเสียด้วยซ้ำ แต่บัดนี้คิดไม่ถึงว่านางจะอยู่ใกล้เย่เฟิงแบบแนบชิดขนาดนี้ นี่ทำให้หลันเซียงรู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างมาก
“ใช่ ยังไม่ตาย”
เย่เฟิงกล่าวพลางเกาหัว จากนั้นประคองร่างชิงเซียงขึ้นมา แต่ในเวลาเดียวกันชิงเซียงก็รู้สึกตัว เมื่อนางเห็นหลันเซียงหน้าแดง ชิงเซียงรู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกไม่ควรเป็แน่ นางจึงหันมองไปด้วยสายตาสงสัย ก่อนเอ่ยถามว่า “เ้าทำอะไรนาง?”
“ข้าเพิ่งตื่นเหมือนกัน จะไปทำอะไรได้เล่า?”
เย่เฟิงได้ยินคำถามของชิงเซียง จู่ ๆ เส้นสีดำหลายเส้นก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเย่เฟิง พร้อมยิ้มอย่างขมขื่น
“ศิษย์น้อง เ้าหมอนี่ไม่ได้รังแกเ้าใช่ไหม?” ชิงเซียงมองค้อนเย่เฟิงทีหนึ่ง จากนั้นหันไปมองหลันเซียงด้วยสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เปล่า คุณชายเย่เป็สุภาพบุรุษ จะทำเื่หยาบช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?” หลันเซียงได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับพลางยิ้มอย่างไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย
“ชิงเซียง หลันเซียง เ้าสองคนไม่เป็ไรนะ?” ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น แม้เสียงไม่ดังมากนัก แต่กลับทำให้พวกเขาสามคนได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อชิงเซียงและหลันเซียงได้ยินเสียงนี้ก็เผยท่าทีดีใจ จากนั้นหลันเซียงกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เป็อาจารย์อา อาจารย์อามารับพวกเราแล้ว!”
ในขณะเดียวกัน เย่เฟิงรู้สึกว่ามีแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวมาจากฟากฟ้า ทำให้เย่เฟิงรู้สึกกดดันที่ยากจะรับมือได้ พลันเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หน้าผาก
นาทีต่อมาเห็นหญิงสาวชุดขาวร่อนลงมาจากฟากฟ้า ประหนึ่งนาง์เก้าชั้นฟ้าก็ไม่ปาน
เย่เฟิงหันไปมอง ก่อนจะเห็นหน้าตาของหญิงสาวผู้นี้ ซึ่งนางมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม ไร้ซึ่งข้อบกพร่องใด ๆ ทั้งยังมีเสน่ห์มากกว่าชิงเซียงและหลันเซียงอยู่หลายเท่า
“อาจารย์อา!” ทันทีที่ชิงเซียงและหลันเซียงเห็นหญิงสาวผู้นี้ก็โค้งคำนับ พร้อมส่งเสียงะโเรียกนามของคนผู้นั้น
“ไม่ต้องมากพิธี!”
หญิงสาวสะบัดมือหยกที่ขาวนวลพร้อมกล่าวว่า “พวกเ้าสองคนได้อะไรมาบ้าง?”
ชิงเซียงและหลันเซียงลุกขึ้นยืนพร้อมกัน จากนั้นชิงเซียงเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนกล่าวว่า “เราสองคนไม่สามารถนำผลึกเจตจำนงแรกเริ่มกลับมาได้ อาจารย์อาโปรดลงโทษด้วยเถิด”
หลังจากหญิงสาวได้ยินคำพูดของชิงเซียงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าจะล้มเหลว!”
หญิงสาวผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อเ้าสองคนไม่ได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมา เช่นนั้นผลึกเจตจำนงแรกเริ่มตกไปอยู่ในมือของผู้ใด?”
“เรียนอาจารย์อา ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มตกอยู่ในมือของ...” หลันเซียงกล่าว แต่นางยังไม่ทันพูดจบก็ถูกชิงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ ตัดบท จากนั้นได้ยินชิงเซียงพูดขึ้นว่า “มู่หรงเฟิงจากหมู่บ้านหานเสวี่ยชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มไปได้ แต่พวกเราพบเจอกับการพังทลายของมิติ มู่หรงเฟิงถูกมิติปั่นป่วนกลืนกินเข้าไป ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มจึงหายไปพร้อมกับเขา”
