“ขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถจริงๆ!”
ถ้อยคำเสียดสีอันรุนแรงทำให้ได้ยินชัดเจนโดยไร้ซึ่งความลังเล เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับชิวอีเซี่ยนอย่างจริงจังเลย
“จื๋อซิวไร้ประโยชน์โดยเนื้อแท้ มีสิ่งใดให้ต้องประหลาดใจ?”
อีกเสียงหนึ่งรุนแรงยิ่งขึ้น โดยไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ชิวอีเซี่ยนอีกต่อไป แต่เป็ศิษย์จื๋อซิวทั้งหมด
ชิวอีเซี่ยนหันกลับไปมองคนทั้งสองที่กำลังคุยกัน คนแรกที่พูดคืออู๋เยวี่ยฮุยจากศาลาดารา์ เขาดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบเจ็ดหรือแปดสิบปี สวมชุดเกราะสีแดงอ่อน และกำลังยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าที่หยิ่งผยอง
คนที่สองที่พูดคือลี่ไห่ซิงจากสำนักอินทนิล เขาอายุยี่สิบที่แต่งกายด้วยชุดสีขาว สายตาเ็ามองจุดที่ศิษย์จื๋อซิวทั้งสี่คนยืนรวมตัวด้วยความสงสัย โดยมีชิวซานอวิ๋นยืนอยู่ข้างกาย
สองคนนี้คือผู้ที่เก่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่พวกเขาดูถูกจื๋อซิว ดูเหมือนจะมีการแข่งขันกันระหว่างพวกเขาด้วยเช่นกัน
อู๋เยวี่ยฮุยกลอกตาใส่ลี่ไห่ซิง ก่อนจะพ่นลมออกจมูก แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
ลี่ไห่ซิงแสร้งทำหูทวนลมแล้วพูดอย่างเหยียดหยาม “ศิษย์น้องชิวคิดเห็นอย่างไร?”
ชิวซานอวิ๋นยิ้มและพูดว่า “สิ่งที่ศิษย์พี่ลี่พูดย่อมเป็ความจริง”
ชิวอีเซี่ยนแอบโกรธ เขาจับแขนอูเหรินเจี๋ยแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ พวกเขากำลังหัวเราะเยาะท่าน”
อูเหรินเจี๋ยฮึมฮัม “พวกเขามีความกล้าเพียงพ่นวาจาเท่านั้น ทว่าแท้ที่จริงกลับเป็เพียงพวกขี้ขลาดที่ต่อสู้เพื่อชีวิตก็แค่นั้นเอง”
“สิ่งที่ศิษย์พี่อยากบอกก็คือเราไม่จำเป็ต้องจัดการกับคนขี้ขลาดเหล่านี้”
ชิวอีเซี่ยนสะบัดหัวราวกับจะบอกว่าข้าไม่สนใจเ้าเลย
หนิงเทียนมองผู้คนในปัจจุบัน ในหมู่ผู้บำเพ็ญซิงซิวทั้งสี่มีสองคนที่มาจากศาลาดารา์ คนหนึ่งคืออู๋เยวี่ยฮุยและอีกคนเป็ศิษย์หลักจางเหรินจวิ้นผู้มีอายุยี่สิบสองหรือยี่สิบสามปี เขาอยู่ในขั้นเก้าของขอบเขตผนึกดารา
เหมยฉินเสวี่ยจากศาลาดาราทมิฬในวัยยี่สิบสามหรือยี่สิบสี่ปี สวมชุดเกราะสีขาวเงินแพรวพราว นางมีลักษณะใบหน้าที่วิจิตรบรรจง รูปร่างทรงเสน่ห์ให้ความรู้สึกที่น่าทึ่ง
นี่เป็ผู้หญิงที่โดดเด่นและหยิ่งผยองอย่างยิ่ง ชุดเกราะบนตัวสามารถรบกวนหมื่นสรรพสิ่งในใจได้ ซึ่งสิ่งนี้ดึงดูดความสนใจจากหนิงเทียนได้เป็อย่างมาก
เคอเจิ้งหยางจากตำหนักดาวเหนือผู้มีอายุประมาณสามสิบหกหรือสามสิบเจ็ดปี เขามีท่าทางเ็าและห่างเหิน และให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวของแผนที่บนกำแพงหินอยู่เสมอ
มียอดฝีมือหยวนซิวอยู่หกคน นอกจากลี่ไห่ซิงและชิวซานอวิ๋นแล้ว ที่เหลืออีกสี่คนมาจากตำหนักหยวนนภา โถงหยวนปฐี สำนักชื่อหยวนปัง และหมู่บ้านผาหิมะหยก
เจียงซั่งอีจากตำหนักหยวนนภาสวมชุดขาวราวหิมะ ท่วงท่าหล่อและสง่างาม ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์
จั่วเชียนสวินจากโถงหยวนปฐีมีรูปร่างสูงใหญ่ ดูมีพละกำลังอย่างน่าทึ่ง
เฮ่อหยวนขุยจากสำนักชื่อหยวนปังในวัยสามสิบต้นๆ เป็ผู้มีดวงตาคมกริบ ร่างกายเปล่งประกายกลิ่นอายสังหารที่แข็งแกร่ง
ส่วนอีกคนคืออวี้ชุนเสวี่ยในชุดสีขาว นางมาจากหมู่บ้านผาหิมะหยก รูปร่างของนางค่อนข้างโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่ช่างละเอียดลออ ดวงตาสีดำสนิทดุจหมึกสะท้อนเงาูเา เส้นผมตรงที่ปลิวไปตามสายลมโชยมีกลิ่นหอมจางๆ
นี่คือสตรีที่น่าทึ่งที่สุดในที่แห่งนี้ ความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ของนางดีกว่าเหมยฉินเสวี่ยเล็กน้อย นางจึงดึงดูดความสนใจของผู้ชายได้หลายคน
“ศิษย์พี่หยางมาถึงั้แ่เมื่อใด?”
“ข้าเพิ่งมาที่นี่เมื่อตอนบ่าย แล้วพวกเ้ามาจากไหน?”
หนิงเทียนเหลือบมองแผนที่ ก่อนจะชี้ไปที่ปราสาทแล้วพูดว่า “เรามาจากตรงนั้น ศิษย์พี่เล่า?”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “เรามาจากปราสาทอื่น”
“คนเหล่านี้ล้วนร่วมทางมากับศิษย์พี่หรือไม่?”
“ครึ่งหนึ่งของพวกเขาไม่ใช่”
หนิงเทียนตกตะลึง ครึ่งหนึ่งล้วนไม่ใช่ นี่เป็เื่น่าประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะตามแผนที่แล้ว ปราสาททั้งสองในวงกลมที่สองอยู่ไกลจากที่นี่ และหนิงเทียนกับชิวอีเซี่ยนต้องเหาะเกือบทั้งวันก่อนจะมาถึงที่นี่
หยางวั่นอวิ๋นและคนอื่นๆ มาจากปราสาทอื่น ซึ่งมีระยะทางไม่ต่างกันมากนัก พวกเขามาถึงก่อนหนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนเพียง่เวลาสั้นๆ เท่านั้น หากคนที่เหลือมาจากแผ่นศิลาในวงกลมที่สาม พวกเขาคงไม่สามารถมาถึงได้ทันเวลา
หยางวั่นอวิ๋นเห็นความสงสัยของหนิงเทียนจึงพูดเบาๆ ว่า “ภายใต้สถานการณ์พิเศษ มันเป็ไปได้ที่จะมาจากแผ่นศิลาที่อยู่ชั้นนอกได้”
ชิวอีเซี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ “ใครกันที่แข็งแกร่งถึงขนาดสามารถข้ามูเาและสันเขาโดยไม่เผชิญกับอันตราย?”
หนิงเทียนดูแผนที่และตั้งคำถาม
“ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าจะมีใครมาจากเจดีย์โบราณบ้างหรือไม่?”
หยางวั่นอวิ๋นตกตะลึง ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ต่างกำลังพิจารณาคำถามที่หนิงเทียนหยิบยกขึ้นมาเช่นกัน
เพราะในทางทฤษฎีมันเป็ไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น เจดีย์โบราณยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่นี้มากที่สุด ดังนั้นผู้ที่ปรากฏตัวที่นี่เป็คนแรกๆ อาจมาที่นี่ั้แ่เมื่อคืน หรืออาจมาจากเจดีย์โบราณที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปยังเจดีย์โบราณ ใครล่ะจะทำสิ่งตรงกันข้ามเช่นนี้?”
หยางวั่นอวิ๋นพบว่ามันไม่สามารถเข้าใจได้ เื่แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น
“ปราสาทที่ศิษย์พี่อาศัยเมื่อคืนที่ผ่านมา มีใครเป็ผู้ถูกลิขิตให้สามารถออกจากโลกนี้ผ่านปราสาทได้บ้างหรือไม่?”
หนิงเทียนถาม แต่ชิวอีเซี่ยนกล่าวว่า “ดูจากสิ่งที่ปรากฏบนแผนที่ คาดว่าเื่นี้ยังไม่เกิดขึ้น”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “เราไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่เ้าพูดถึงเลย”
อูเหรินเจี๋ยมองแผนที่แล้วถามว่า “มีอะไรเกิดขึ้นกับปราสาทที่ศิษย์น้องชิวพักเมื่อคืนนี้หรือ?”
การที่จุดซึ่งทำเครื่องหมายไว้ทั้งสิบจุดบนแผนที่จะสว่างหรือมืดมิดนั้น เื่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคน ณ ที่แห่งนี้เข้าใจ
“ไม่ใช่เมื่อคืน แต่เป็คืนก่อนหน้านั้น ศิษย์พี่โปรดสังเกตจุดนั้น จุดที่ทำเครื่องหมายไว้มีสี่จุดในสิบจุดที่จางลงแล้ว ซึ่งหมายความว่าโอกาสและโชคจากทั้งหมดในสถานที่เ่าั้ได้ถูกพรากไปโดยผู้ที่ถูกลิขิตไว้ ซากปรักหักพังและปราสาทแห่งนี้ต่างก็เกิดขึ้นในสองคืนก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีแผ่นศิลาอีกสองแห่งที่เหลือจากทางทิศพายัพที่เกิดขึ้นเมื่อคืน”
เมื่อคืนนี้ชิวอีเซี่ยนสังเกตแผนที่ตลอด เขาจึงรู้สถานการณ์ของจุดที่ทำเครื่องหมายไว้อย่างละเอียด
อูเหรินเจี๋ยมองไปรอบๆ และพูดอย่างเ็า “ดูเหมือนว่าบางคนจะตระหนักถึงสถานการณ์นี้ แต่ไม่เคยพูดออกมาเลย”
“ข้าไม่รู้จักเ้า เหตุใดข้าจึงต้องบอก?”
เฮ่อหยวนขุยจากสำนักชื่อหยวนปังยิ้มเย็น ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าเขารู้สถานการณ์เป็อย่างดี
หยางวั่นอวิ๋นจ้องเขาแล้วถามว่า “เ้ามาจากที่ใด?”
เฮ่อหยวนขุยเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “ข้าไม่อยากเล่าให้พวกเ้าฟัง”
ปัจจุบันความแข็งแกร่งโดยรวมของหยวนซิวในที่แห่งนี้แข็งแกร่งที่สุด และทั้งหกล้วนอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน
ขณะที่ซิงซิวมียอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านสามคน ส่วนหนึ่งในนั้นอยู่ในขอบเขตผนึกดารา
จื๋อซิวมียอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านสองคน ขณะที่อีกสองคนเป็ยอดฝีมือขอบเขตผนึกดารา
“ใครคือคนที่มากับศิษย์พี่บ้าง?” หนิงเทียนถาม
หยางวั่นอวิ๋นมองฝูงชน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “นอกเหนือจากข้าและศิษย์พี่อูของเ้าแล้ว ยังมีอีกสามคนได้แก่เคอเจิ้งหยางจากตำหนักดาวเหนือ อวี้ชุนเสวี่ยจากหมู่บ้านผาหิมะหยก และจั่วเชียนสวินจากโถงหยวนปฐี”
“เมื่อเป็เช่นนี้ ศิษย์พี่ก็ไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าอีกเจ็ดคนมาจากที่ใด?”
“ไม่มีใครพูดถึงเื่นี้เลย”
หนิงเทียนมองอู๋เยวี่ยฮุย จางเหรินจวิ้น เหมยฉินเสวี่ย ลี่ไห่ซิง ชิวซานอวิ๋น เจียงซั่งอี และเฮ่อหยวนขุย แล้วได้แต่สงสัยว่าพวกเขามาจากที่ใด?
อวี้ชุนเสวี่ยมองไปที่หนิงเทียนแล้วพูดเบาๆ “สิ่งที่เรียกว่าการสร้างโอกาสคืออะไร?”
หนิงเทียนยิ้ม ก่อนจะตบไหล่ชิวอีเซี่ยนแล้วพูดว่า “โอกาสในการแสดงนี้ขอมอบให้เ้า”
ชิวอีเซี่ยนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เช่นนี้จึงจะเรียกพี่น้องที่ดี แม่นางคนงาม ข้าขอบอกเ้า เมื่อคืนวานนี้...”
ทุกคนต่างตั้งใจฟัง แต่สายตากลับมองสำรวจกำแพงหินเพื่อหาสิ่งที่เรียกว่า ‘กุญแจ’
จั่วเชียนสวินพูดอย่างตื่นเต้น “ไม่คิดว่าศิษย์พี่ลัวจะมีโอกาสเช่นนี้ นี่เป็พรของ์ที่มีต่อโถงหยวนปฐี และคืนนี้ข้าจะเป็รายต่อไปอย่างแน่นอน”
อู๋เยวี่ยฮุย ลี่ไห่ซิง เจียงซั่งอี และคนอื่นๆ ต่างมองด้วยท่าทีเหยียดหยาม ถึงจะโง่แต่ก็ยังอยากเป็คนที่มีโชค ช่างไม่คิดตระหนักรู้ในตนเองเลยจริงๆ
อวี้ชุนเสวี่ยมองไปรอบๆ เสียงใสและไพเราะของนางแฝงไปด้วยความเ็าเล็กน้อย
“ตามที่เ้าว่ามา หากมีโอกาสอยู่ที่นี่จริง มันจะต้องอยู่ในขอบเขตของโล่แสง เราต้องหาสถานที่แห่งโอกาสก่อนจึงจะรู้ว่ากุญแจนั้นมีลักษณะอย่างไร”
ชิวอีเซี่ยนยกย่อง “ฉลาด ขอบเขตของซากปรักหักพังนี้ไม่เล็ก แต่โล่แสงครอบคลุมเพียงสองในสามของพื้นที่เท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าดินแดนแห่งโอกาสถูกซ่อนอยู่ในบริเวณนี้ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหามันพบ และใครสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้”
เมื่อจั่วเชียนสวินได้ยินเช่นนี้ก็รีบพุ่งตัวออกไปเป็คนแรก โดยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายในขอบเขตของโล่แสง และพยายามมองหาสถานที่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จึงลงมือทันที นอกจากนี้ยังมีคนยืนเฝ้าอยู่ข้างแผนที่เพื่อรอรับงานสบายๆ อีกด้วย
ชิวซานอวิ๋นมองหนิงเทียนแล้วถามว่า “เ้าได้พบกับซูอวิ๋นหรือไม่?”
“เ้าอยากถามว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เช่นนั้นหรือ?”
ชิวซานอวิ๋นฮึมฮัม “ดีที่เ้าไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของนาง”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เ้าคาดหวังหรือ ไม่เช่นนั้นเ้าจะมาเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้าด้วยเหตุใด?”
หนิงเทียนมองชิวซานอวิ๋นอย่างยั่วยุ และอยากกระตุ้นให้อีกฝ่ายลงมือ
ชิวซานอวิ๋นเอ่ยเหยียดหยาม “ตอนนี้เ้ายังมีคุณสมบัติสู้กับข้าอีกหรือ?”
“ดูเหมือนว่าเ้าเมื่อคราก่อนที่ข้าทุบตีเ้าจนต้องหนีหางจุกตูดไม่ต่างจากสุนัข เ้าจะทำความทรงจำบางจุดหล่นหายไปสินะ?”
ด้านข้างชิวอีเซี่ยนเกิดเสียงอุทาน “โอ้์ ยังมีเื่เช่นนี้อยู่ด้วย!”
การแสดงออกที่เกินจริงนั้นทำให้ชิวซานอวิ๋นอยากตบเขาเป็ชิ้นๆ นี่เป็การเปิดเผยข้อบกพร่องของเขาอย่างโจ่งแจ้งและทำให้เขาอับอาย
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องหนิงเป็วีรบุรุษอย่างแท้จริง”
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเมืองร้างในแดนลับของยอดเขาหมื่นอสูร ผู้ชายคนนี้ยอดเยี่ยมมากจนเกือบจะได้ขึ้น์แล้ว ยามนั้นเขาอยู่ขั้นเก้าของขอบเขตผนึกดารา ทั้งยังเป็ศิษย์หลักของสำนักอินทนิล เขาช่างหยิ่งผยองและหยาบคาย ในเวลานั้นข้าเพิ่งมาถึงขั้นห้าของขอบเขตจิตหยั่งลึก ข้าคิดว่าชายคนนี้ยอดเยี่ยมมาก และคงไม่สามารถเอาชนะเขาได้ หาได้นึกไม่ว่าหลังจากได้ประมือจะได้พบว่าผู้ที่เรียกตนเองว่าศิษย์หลักในจุดสูงสุดขั้นเก้าของขอบเขตผนึกดาราแห่งสำนักอินทนิลนั้นกลับไม่ดีเท่าก้อนอึ ถูกข้าทุบตีจนกระอักเืและได้รับาเ็สาหัสให้ต้องอับอายราวสุนัข อีกนิดคงคุกเข่าขอความเมตตา...”
“หนิงเทียน หุบปาก!”
ชิวซานอวิ๋นคำรามต่อหน้าผู้คนมากมาย นี่เป็ความอัปยศอย่างสมบูรณ์
มีคนไม่มากที่รู้เื่นี้ และคนภายนอกจำนวนมากก็ไม่รู้แน่ชัด
อวี้ชุนเสวี่ยเหลือบมองหนิงเทียนด้วยความประหลาดใจ เขาค่อนข้างสงสัย แต่ปฏิกิริยาของชิวซานอวิ๋นเหมือนจะอธิบายทุกอย่างแล้ว
ลี่ไห่ซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดอย่างเ็า “ช่างเป็สุนัขที่กล้าหาญจริงๆ กล้าดีอย่างไรมาใส่ร้ายศิษย์น้องของข้า หนิงเทียน เ้ากำลังมองหาความตายอยู่ใช่หรือไม่?”
หยางวั่นอวิ๋นพูดอย่างไม่พอใจ “ลี่ไห่ซิงนี่เป็การรังแกผู้น้อยของหยวนซิวใช่หรือไม่?”
“ข้ามีความสุข เ้าไม่พอใจหรือ?”
หยางวั่นอวิ๋นตะคอก “คิดว่าเมื่ออูเหรินเจี๋ยและข้าร่วมมือกัน จะสามารถตัดหัวสุนัขของเ้าลงได้หรือไม่?”
ลี่ไห่ซิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ขู่ข้าหรือ มาเลย!”
อูเหรินเจี๋ยกล่าวอย่างเ็า “เมื่อต้องเผชิญกับโอกาส ข้าเชื่อว่าทุกคนที่นี่อยากให้เ้าตาย เป็การดีสำหรับทุกคนที่จะมีคู่แข่งน้อยลงหนึ่งคน”
รอยยิ้มของลี่ไห่ซิงกลายเป็เ็า ก่อนจะขู่คำราม “ข้าไม่ยอมรับเื่นี้ หากกล้าก็ลงมือเลยสิ”
ต้องบอกว่าความเย่อหยิ่งของลี่ไห่ซิงถูกยับยั้งไว้มากอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่ ถ้าหยางวั่นอวิ๋นและอูเหรินเจี๋ยรวมพลังกันโจมตี เขาอาจไม่รอด
ชิวซานอวิ๋นโกรธมากจนกัดฟัน เดิมทีเขา้าใช้โอกาสนี้ฆ่าหนิงเทียน แต่เขาไม่คาดคิดว่าหยางวั่นอวิ๋นและอูเหรินเจี๋ยจะปกป้องอีกฝ่ายเช่นนี้
“ฮ่าฮ่า ข้าเจอแล้ว!”
เสียงตื่นเต้นดังออกมาจากปากของเคอเจิ้งหยาง ซึ่งอยู่ในซากปรักหักพังทางทิศอุดรของกำแพงหิน
“ไปดูกันเถอะ”
ลี่ไห่ซิงดึงชิวซานอวิ๋นออกไปในพริบตา โดยมีหนิงเทียนและหยางวั่นอวิ๋นตามมาอย่างใกล้ชิด
