ิเป่าจูส่งถ้วยยาคืนให้เด็กฝึกงาน แล้ววางมือแตะบนข้อมือของผู้ป่วย ตรวจชีพจรให้แน่ใจเป็ครั้งสุดท้าย
เวลานี้ เถ้าแก่ก็ยื่นมือเข้ามาตรวจชีพจรเช่นกัน สีหน้าเขาค่อยๆ เผยแววประหลาดใจ
ตอนแรกชีพจรคนผู้นี้สับสนราวกับสายน้ำเชี่ยวกรากรุนแรง แต่บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็ผ่อนคลาย และสงบลงแล้ว
ความเงียบของเถ้าแก่ทำให้บุรุษเ่าั้ต่างมองมาที่เขาด้วยสายตาคลางแคลงสงสัย
“ไม่เป็ไรแล้ว สิ่งที่แม่นางน้อยพูดเป็ความจริง”
แม้ไม่อยาก แต่ก็ต้องยอมรับในการวินิจฉัยโรคของนาง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีกว่าที่เขาคาดไว้มากนัก
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตึง ชายร่างใหญ่ทิ้งตัวคุกเข่าลง แล้วโขกศีรษะคำนับให้ิเป่าจูเสียงดังหนึ่งครั้ง
“ขอบคุณ ขอบคุณ” เขาพูดขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนอื่นๆ ต่างก็กล่าวขอบคุณตาม
เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ เมื่อครู่ยังเยาะเย้ยถากถางแม่นางน้อยอยู่เลย บัดนี้ดูท่าต้องขอบคุณผู้อื่นให้มากหน่อย ที่มีน้ำใจยอมกลับมาช่วยชีวิตบิดาเขา มิเช่นนั้น...
“ท่านหมอ พวกเราไว้วางใจในตัวท่านถึงพาบิดามาให้ท่านรักษา ไม่คิดว่าท่านกลับวินิจฉัยโรคส่งเดช เป็หมอเถื่อนที่เห็นชีวิตคนเป็ผักปลา”
ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล จึงเอาไฟโทสะไปลงกับเถ้าแก่ที่ฝังเข็มผิด
บุตรชายของผู้ป่วยเป็ผู้นำ คนอีกสองสามคนที่ตามอยู่ด้านหลังสีหน้าก็เปลี่ยนเป็ดุดันขึ้นมา ค่อยๆ เข้ามาล้อมกรอบอีกฝ่ายอย่างเอาเื่
เถ้าแก่ใรีบค้อมกายประสานมือร้องขอความเมตตา
“เื่วันนี้เป็ผู้สกุลหลิวเองที่ความรู้น้อยั์ตามืดบอด ข้าขอร้องทุกท่านได้โปรดช่วยผู้สกุลหลิวปลดป้ายหุยชุนถังนี้ออก เป็การให้ทุกท่านได้ระบายอารมณ์”
เถ้าแก่เป็คนปราดเปรื่อง รู้ว่าหากเื่นี้แพร่งพรายออกไปจะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง
จำต้องตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ด้วยการเสนอความคิดให้ทำลายป้ายชื่อร้าน นอกจากจะไม่ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว ยังสามารถรักษาชื่อเสียงของตนเองไว้ได้ ทำอย่างเดียวแต่ได้ประโยชน์ถึงสองทาง
ชายร่างใหญ่ก็ไม่มีความเกรงใจจริงๆ เขาพาพี่น้องไปถอดป้ายหุยชุนถังออกมา ก่อนวางพาดไปที่บันไดแล้วใช้เท้าบดขยี้จนกระทั่งแตกเป็สี่ห้าส่วน ถึงรู้สึกว่าได้ระบายอารมณ์
ิเป่าจูมองทุกขั้นตอนอย่างเ็า ไม่เอ่ยปากอะไร และไม่ช่วยขอความเห็นใจ
วิถีของโลกใบนี้ก็เป็เช่นนี้เอง หากมิใช่ว่าผู้ป่วยอาการกำเริบ คนที่ถูกปรักปรำย่อมเป็นางเสียเอง แม้มีปากก็ยากจะอธิบาย ต่อให้พูดจนฟ้าถล่มก็ไม่มีใครเชื่อ
ศาสตร์แพทย์ไม่แตกฉาน ยังจองหองดูแคลนผู้อื่น ไม่เห็นคุณค่าชีวิตของผู้คน ถูกทำลายป้ายแค่นี้ยังเบาไปด้วยซ้ำ
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างหมอกับคนไข้ยุคปัจจุบันกับตอนนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลายวันมานี้ ิเป่าจูยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีหลายอย่างของต้าเหลียง ซึ่งเป็ราชวงศ์ที่นางใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ ผ่านทางหลี่ไหวฺอวี้
ราชวงศ์นี้ไม่ใช่ราชวงศ์ในประวัติศาสตร์ที่นางเคยเรียนมา เป็เพียงราชวงศ์ในจินตนาการ นางกลัวว่าการกระทำบางอย่างของตนเองจะฝ่าฝืนกฎหมายของราชวงศ์ปัจจุบัน ดังนั้นถึง้าเรียนรู้เพิ่มเติม
ประเพณีพื้นบ้านของต้าเหลียงค่อนข้างเปิดกว้าง มีความคล้ายคลึงกับราชวงศ์สุย-ถังในประวัติศาสตร์อยู่บ้าง
เพียงแต่กฎหมายกลับเข้มงวดยิ่งกว่ามาก ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ หากท้ายที่สุดแล้วไม่อาจช่วยชีวิตคนที่มารักษาเมื่อครู่นี้ได้ นางไม่เพียงแต่จะถูกโยนเข้าคุก ยังต้องชดใช้ด้วยชีวิตอีกด้วย
เห็นคนก่อความวุ่นวายอยู่เบื้องหน้า ในใจของิเป่าจูก็ว้าวุ่นกระสับกระส่าย เคราะห์ดีที่วิชาแพทย์ของตนยังนับว่าใช้ได้...
จนกระทั่งคนเ่าั้ก่อความวุ่นวายเสร็จสิ้น ได้ระบายโทสะแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง คนป่วยก็เริ่มรู้สึกตัว และลืมตาขึ้น
เนื่องจากลิ้นบวม ยังพูดไม่ได้ แต่ตาก็ไม่แดงแล้ว นิ้วมือสามารถกระดิกได้
อาจเป็เพราะล้มป่วยหนัก กำลังวังชายังไม่ฟื้น ได้สติอยู่ครู่หนึ่งก็สลบไปอีกครา แต่ผู้มีปัญญาย่อมดูออกว่าสถานการณ์โดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สถานการณ์สั้นๆ ฉากนี้ทำให้ชายร่างใหญ่แทบจะหลั่งน้ำตาด้วยความปีติยินดี
“ท่านนี้... เอ่อ ท่านหมอน้อย” ชายร่างใหญ่เอ่ยปากด้วยความลำบากใจ
ไม่รู้ว่าควรจะเรียกิเป่าจูว่าอย่างไร ครั้นจะเรียกแม่หนูน้อยก็ไม่เหมาะ จึงเปลี่ยนคำเรียกเป็ท่านหมอ ก็ไม่นับว่าเป็การยกย่องเกินไป อย่างไรเสียก็รักษาโรคช่วยชีวิตคนเหมือนกัน ทักษะแพทย์ของสาวน้อยคนนี้ยังสูงส่งกว่าท่านหมอหลิวตั้งไม่รู้เท่าไร
“บิดาข้า... ไม่เป็อะไรแล้วจริงหรือ”
ตอนนี้เขาไม่กล้าคลางแคลงในทักษะการแพทย์ของิเป่าจูอีกแล้ว คำถามก็ระมัดระวัง ความหมายก็เพียงแค่อยากถามว่าหลังจากนี้จะต้องกินยาอะไรอีกบ้าง และมีสิ่งใดบ้างที่ต้องระมัดระวัง
“ตอนนี้ไม่เป็อะไรแล้ว” ิเป่าจูเอ่ยกับชายร่างใหญ่พลางจดจ้องเขา
นางดูออกว่าเขาเป็บุตรกตัญญู แต่โรคนี้เกิดขึ้นจากการถูกยั่วโทสะชัดๆ
ถ้อยคำประโยคเดียว ทำเอาทุกคนรู้สึกใจไม่ดี ตอนนี้ไม่เป็อะไร ก็หมายความว่าภายหน้าก็ยังมีโอกาสที่โรคจะกำเริบขึ้นมาอีกน่ะสิ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
แม่นางน้อยไม่ใช่หมอจริงๆ ต่อไปหากโรคกำเริบแล้วนางไม่อยู่จะทำเช่นไร ใครจะกล้ามาหาท่านหมอหลิวคนนี้อีก
“ท่านหมอน้อย ท่านกล่าวเช่นนี้...” ชายร่างใหญ่ตระหนกลนลาน พลางถูมืออย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
มารดาเขาเสียไปเร็ว เหลือเพียงบิดาคนเดียว อุตส่าห์ลำบากยากเข็ญมาทั้งชีวิต หากต้องมาเสียชีวิตเพราะโรคกำเริบคราวหน้า จะทำอย่างไร
“แม้โรคนี้จะร้ายแรง แต่จะว่ารักษาง่ายก็ง่าย จะว่ารักษายากก็ยาก”
ิเป่าจูครุ่นคิด นางรู้อักษรย่อมสามารถเขียนได้
ดังนั้นจึงเดินไปหยิบพู่กันกับกระดาษมาเขียนเทียบยา ชื่อของสมุนไพรหลายชนิดปรากฏบนกระดาษในทันที
สำหรับิเป่าจูแล้วสิ่งนี้ง่ายพอๆ กับการหยิบฉวยสมบัติในบ้านของตนเอง
หลังจากเขียนเทียบยาเสร็จเรียบร้อย ก็เดินกลับมา
ตอนนี้เถ้าแก่ก็ตรวจดูสมุนไพรหลายอย่างในนั้น แม้แต่เขาก็ยังคาดไม่ถึง แต่หลังจากขบคิดสักพัก ก็คิดว่าน่าจะได้ผลดีเยี่ยม
“จัดยาตามเทียบยานี้ เอามาต้มกับน้ำ ดื่มทุกวันหลังมื้ออาหารเช้าเย็นเป็เวลาต่อเนื่องครึ่งเดือนก็จะหายเป็ปรกติ”
หลังจากทำท่าอุบเป็ความลับจนพอใจแล้ว ก็เริ่มอธิบายอย่างจริงจัง
“แต่ต้องระวังอย่าให้เขาบันดาลโทสะ หากได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ต่อให้มหาเทพต้าหลัวมาเองก็ช่วยชีวิตกลับมาไม่ได้”
นางไม่อยากละลาบละล้วงเื่ในครอบครัวของผู้อื่น แต่ก็ต้องชี้แจ้งให้ชัดเจน มิเช่นนั้นนางก็เปลืองแรงเปล่า
ดูจากสีหน้าของชายร่างใหญ่เวลานี้ ก็รู้ว่าตนเองคาดคะเนถูกต้องแปดถึงเก้าส่วนไม่หนีจากนี้
“ขอรับ ขอรับ ต่อไปข้าจะระวังอย่างแน่นอน” สีหน้าเขาบึ้งตึง ดูอึดอัดใจอยู่บ้าง นึกถึงเื่เลวร้ายภายในครอบครัว ก็ทอดถอนใจออกมา
น้องชายคนรองในบ้านร่ำร้องจะขอแยกเรือนมาเป็เวลาครึ่งปีแล้ว ั้แ่เล็กบิดาก็รักเขาที่สุด
ไม่คิดว่าหลังจากแต่งภรรยา ก็ถูกเสี้ยมสอนให้ทำตัวโอหังราวกับาาปิศาจ ยั่วโทสะบิดาจนเป็ลมไปหลายต่อหลายครั้ง
คิดว่าสาเหตุที่โรคกำเริบกะทันหันครานี้ ต้องเกี่ยวข้องกับเื่ขอแยกเรือนเป็แน่ จึงตัดสินใจว่ากลับไปจะต้องจัดการกับน้องชายที่ไม่ยอมนับญาติกับผู้ใดให้เรียบร้อย อย่างมากก็แค่แยกเรือน บิดาชรา เขาเลี้ยงเองได้
บัดนี้คนป่วยฟื้นคืนสติแล้ว แต่การเคลื่อนไหวยังไม่ค่อยสะดวกนัก
“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ท่านหมอน้อยผู้นี้ช่วยชีวิตท่านไว้ขอรับ” ชายร่างใหญ่ชี้มาที่ิเป่าจู น้ำเสียงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งตื้นตัน
“ขะ... ขอบคุณ” เห็นได้ว่าคนผู้นั้นไม่ค่อยอยากเชื่อ เด็กผู้หญิงยังเยาว์แค่นี้ช่วยชีวิตคนได้ด้วยหรือ?
ทว่าบุตรชายเป็คนพูดเอง คนรอบข้างไม่มีใครค้านสักคน ก็น่าจะเป็เื่จริง
การพูดแม้จะยากเย็นอยู่บ้าง แต่เขาก็พยายามเอ่ยขอบคุณอย่างสุดความสามารถ
“อย่าเกรงใจไปเลย โรคที่ท่านเป็มิได้หนักหนาอันใด ดื่มยาไม่กี่วันก็หายแล้ว ทำใจให้สบายเถอะ” ิเป่าจูยิ้มให้คนผู้นั้น เปลี่ยนไปจากท่าทีเคร่งขรึมจริงจังเมื่อครู่
น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็ร่าเริงและผ่อนคลาย กลับคืนสู่ความเป็เด็ก
สิ่งต้องห้ามสำหรับโรคนี้คือความโกรธ สิ่งที่ต้องห้ามยิ่งกว่าก็คือความวิตกกังวล
หากเขารู้ว่าตนเองป่วยหนัก ก็อาจกลัดกลุ้มจนเป็อะไรขึ้นมาอีก ชายร่างใหญ่รีบพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นก็พูดคล้อยตามิเป่าจู บิดาเขาถึงเชื่อว่าเป็ความจริง ริมฝีปากค่อยเผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา
เมื่อเห็นว่าคนไม่เป็อะไรแล้ว ชายร่างใหญ่ก็จ่ายค่าวินิจฉัย แล้วพาคนจากไป
หลังจากคนเ่าั้ไปแล้ว ิเป่าจูก็นึกถึงกระบุงสะพายหลังสุดที่รักของตนเอง ที่ถูกเด็กฝึกงานวางทิ้งไว้บนพื้นขณะไปต้มยา
นางรีบอุ้มขึ้นมาตรวจสอบ ด้วยเกรงว่าของรักของนางจะเสียหาย
นี่คือหนทางทำเงินของนาง โชคดีที่ของทั้งหมดไม่เสียหาย
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาถึงห้องโถง ิเป่าจูยกมือขึ้นบังแดดโดยไม่รู้ตัว ที่แท้ก็เป็เวลาเที่ยงวันแล้ว นางเสียเวลาไปนานโขทีเดียว
นางแบกกระบุงขึ้นหลังอีกครั้ง ต้องรีบไปถามหาโรงหมออื่น ดูว่าจะขายได้ราคาดีหรือไม่
แต่ยังเดินไปไม่ถึงประตูกลับถูกขวางไว้
เถ้าแก่เดินมาอยู่ตรงหน้าของิเป่าจู พลางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
“แม่นางน้อย ข้าเห็นเ้ามีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ไยไม่มานั่งเป็แพทย์ประจำที่หุยชุนถังเล่า เงินค่าวินิจฉัยในแต่ละเดือนต้องดีกว่าที่เ้าขายสมุนไพรอย่างแน่นอน”
เขาตัดสินใจที่จะรั้งคนไว้ และมั่นใจยิ่งว่าแม่หนูน้อยจะไม่ปฏิเสธ
เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งทั้งตัว รองเท้าก็เป็รองเท้าฟาง หากมิใช่ฐานะทางบ้านยากจนอับจนหนทางแล้ว ไหนเลยจะตกต่ำถึงเพียงนี้
หุยชุนถังของเขาก็มีชื่อเสียงไม่เลวในเมืองนี้ หากได้มานั่งเป็หมอประจำที่นี่ เงินค่าวินิจฉัยในแต่ละเดือนย่อมไม่น้อย ไม่ว่าหมอคนไหนก็ต้องหวั่นไหวทั้งนั้น
พอได้ยินข้อเสนอของเถ้าแก่ ิเป่าจูที่กำลังรีบร้อนก็หยุดฝีเท้า ก่อนก้มหน้าครุ่นคิด
เถ้าแก่เห็นเช่นนั้น ก็ตระหนักรู้ในใจ ใบหน้ายิ่งเห่อเหิมลำพองขึ้นหลายส่วน
“ขอบคุณในความหวังดีของเถ้าแก่ แต่ข้ามิอาจรับปากเื่นี้ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้