เดือนสี่ เมื่อสิ้นฤดูใบไม้ผลิที่ต้นไม้แข่งกันผลิดอกจนบานสะพรั่งแล้วก็เข้าสู่่ต้นฤดูร้อนที่หอมสดชื่นและเงียบสงบ ยามที่เหยียนชิงได้รับจดหมายจากเว่ยซูหานว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็เป็เวลาเดียวกันกับที่สารด่วนจากจวนอ๋องฉางอันแห่งเมืองหนานฮั่นซึ่งถูกส่งโดยม้าเร็วที่วิ่งได้เร็วที่สุดเดินทางมาถึงราชสำนัก
เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหนานฮั่น อ๋องฉางอันเข้ารับผิดชอบในฐานะเ้าเมืองผู้หนึ่ง แต่น่าเศร้าที่พระองค์ทรงงานหนักจนเกินไปประกอบกับทรงประชวรด้วยโรคนี้จนเป็เหตุให้สิ้นพระชนม์ลงหลังจากที่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ พระชายาฉางอันทรงโศกเศร้าจนล้มป่วย...
เหยียนชิงไม่รู้ว่าตี้จวินจะตอบสนองอย่างไรเมื่อได้รับข้อมูลนี้ แต่เนื่องจากเว่ยซูหานมั่นใจว่าทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว แม้แต่กองกำลังส่วนบุคคลเ่าั้ยังขอให้เขาช่วยติดต่อแม่ทัพฮั่วหยางอย่างลับๆ เพื่อให้ช่วยรับมือกับเื่นี้ หมายความว่าเขากล้ารับประกันว่าสามารถหลบซ่อนตัวจากตี้จวินได้ และจากประสบการณ์ในชีวิตก่อน ตี้จวินก็ไม่รู้ว่ามีเื่นี้เกิดขึ้นในเมืองหนานฮั่น
อดใจรอไปอีกสองสามวันถึงได้มีข่าวสารมาจากทางราชวัง มีการประกาศพระราชโองการเกี่ยวกับเื่ของอ๋องฉางอันแห่งเมืองหนานฮั่นที่สิ้นพระชนม์ลงจากการเสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองจากเหตุโรคระบาด และมีการพระราชทานอภัยโทษ[1]พร้อมทั้งลั่นระฆังไว้ทุกข์เป็เวลาสามวัน
และในจดหมายของอิ้งหลีที่ส่งมาจากเมืองเทียนซูยังมีการอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในพระราชวังอีกด้วย
เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข่าวที่แพร่กระจายออกไปทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ขุนนาง ตี้จวินทรงทุกข์ใจจนร่างัล้มป่วย ไม่ได้ว่าราชกิจมาหลายวันแล้ว พระองค์ทรงมีรับสั่งให้องค์ชายใหญ่เฟิงฉางหลินไปที่ห้องทรงพระอักษรทุกวันเพื่อร่วมมือกับอัครมหาเสนาบดีในการดูแลราชกิจทางการเมืองและก่อนค่ำให้เข้ารายงานที่ห้องบรรทมเป็การชั่วคราว
ในวันที่ได้รับสารจากเมืองหนานฮั่น ตี้จวินได้ส่งองครักษ์อวี้หลินให้คุ้มครององค์ชายรองเฟิงหลิงอวี่เพื่อเดินทางไปยังเมืองหนานฮั่นในชั่วข้ามคืน โดยมีอ๋องิชินผู้เป็เสด็จอาขอติดตามไปด้วย ตี้จวินทรงอนุญาตโดยไม่พูดอะไร บรรยากาศในวังอึมครึมเป็อย่างมาก
อิ้งหลีไม่ได้ระบุเจาะจงไปมากกว่านั้น จู่ ๆ ก็มีข่าวเข้ามาเช่นนี้ อาจมีหลายคนที่ยังไม่มีการตอบสนองกลับมา
เหยียนชิงเผาจดหมายทั้งหมดที่เขาได้รับ มองดูประกายไฟที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในใจก็เกิดความรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาเล็กน้อย คำนวณดูแล้วอ๋องฉางอันองค์ปัจจุบันอายุยังไม่ถึงสามสิบปี ในที่สุดก็สิ้นใจไปก่อนวัยอันควร ทิ้งพระชายากับเหล่าอนุซึ่งอยู่ใน่วัยที่กำลังผลิบาน และเหล่าองค์ชายกับจวิ้นจู้ที่ยังเล็กไว้เื้ั แม้ในวันข้างหน้าจะได้อยู่ดีกินดีก็ยังน่าเวทนามากอยู่ดี
เพียงแค่ไม่รู้ว่าพระชายาและคนอื่นๆ จะรู้สึกอย่างไรกับความจริงที่ว่าอ๋องฉางอันเลี้ยงดูกองกำลังส่วนบุคคล...
“คุณชายเสียใจหรือขอรับ?”
เสียงแหบแห้งของจิงโม่ดังมาจากด้านหลัง เหยียนชิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างเขาไม่เห็นใครเปิดประตูเดินเข้ามาเลย
“จิงโม่...”
เหยียนชิงไม่ได้หันกลับมามอง หลังจากกล่าวทักทายเขาก็ถูกความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้หายใจไม่ออกจนสำลักออกมา
เสียใจไหม? ก็ยังบอกไม่ได้ มาคิด ๆ ดูแล้วเขาก็เป็คนเช่นนี้ คนที่ลงมือก่อนก็ย่อมได้เปรียบมากกว่า ไม่เช่นนั้นฝ่ายที่ต้องทุกข์ทรมานก็คือตระกูลเหยียน... แต่ว่า เมื่อมีคนตายจริงๆ หัวใจของเขากลับมีความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถบรรยายได้อยู่ภายใน
อาจเป็เพราะในสายตาของเขาเมื่อชาติก่อนอ๋องฉางอันค่อนข้างซื่อตรงต่อหน้าที่ ในตอนนี้ได้เห็นความต่างเช่นนี้ เขาจึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
จิงโม่ซึ่งอยู่ห่างจากทางด้านหลังไปเพียงไม่กี่ก้าวกำลังจ้องมองแผ่นหลังอันบอบบางของเขา ดวงตาเข้มขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อ๋องฉางอันทรงเลี้ยงดูกองกำลังส่วนบุคคล และพยายามจับคุณชายใหญ่ ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณชายใหญ่คือเชลยต่างแคว้น ท่านรู้ไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร? จะมีผลเสียอะไรตามมา?”
เหยียนชิงเม้มริมฝีปากอย่างแรง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ท่านพี่รู้เื่ที่เขาแอบเลี้ยงดูกองกำลังส่วนบุคคลแล้ว หากโดนจับได้คงถูกบีบบังคับให้ต้องรับมือกับการกลายเป็ผู้สมรู้ร่วมคิดกับต่างแคว้นเป็แน่ ภายหลัง... เมื่อเกิดเหตุที่มีความจำเป็คงต้องเป็แพะรับบาปไป”
เมื่อมองเช่นนี้ คงเป็เื่จริงที่พี่ใหญ่ติดอยู่ในเมืองหนานฮั่นในชาติที่แล้ว...
จิงโม่หยุดพูด ก้าวไปข้างหน้าและนำของบางอย่างที่ถูกห่อด้วยผ้าสีดำมาวางไว้ตรงหน้าเขา เหยียนชิงหยิบมันขึ้นมาเปิดออก ข้างในมีจดหมายสองฉบับและสิ่งที่ถือได้ว่าเป็หลักฐานยืนยันของอ๋องฉางอัน จดหมายฉบับหนึ่งเขียนถึงเหยียนชิง อีกฉบับเขียนถึงเฟิงหลิงอวี่
เหยียนชิงหยิบจดหมายทั้งสองฉบับขึ้นมาและมองไปที่จิงโม่ “เขาบอกอะไรอีกบ้าง”
สัญญาสังหารในครั้งนี้มีสิ่งที่แต่งต่างออกไป เขาขอให้จิงโม่ลงมือทำเื่นี้ด้วยตนเอง ต้องทำให้การสิ้นพระชนม์ของอ๋องฉางอันเป็เื่ปกติทั่วไป ดังนั้นในการลงมือของจิงโม่จะต้องไม่ใช่การปาดคอลงไปตรงๆ อย่างแน่นอน อีกทั้งอ๋องฉางอันยังเป็ผู้มีปัญญา เพียงแค่ไม่รู้ว่ามีสิ่งที่เขา้าอยู่ในจดหมายฉบับนี้หรือไม่
จิงโม่พยักหน้า
“อ๋องฉางอันขอให้ท่านมอบจดหมายให้กับองค์ชายสองหลังจากที่พระองค์เสร็จสิ้นการไว้ทุกข์และกลับเมืองหลวง และขอขอบคุณสำหรับการยั้งมือของท่าน”
“…”
เหยียนชิงเงียบไป หยิบจดหมายที่เขียนถึงตนเองออกมา ห่อสิ่งของอื่นๆ แล้วเก็บไว้ อ๋องฉางอันผู้นี้น่าสนใจไม่น้อย ก่อนตายเขาขอให้มีการตอบแทนคุณบางอย่างเอาไว้ด้วยเกรงว่าในภายภาคหน้าจะทำให้องค์ชายต้องอับอาย หึ แต่เขาคิดมากเกินไปเกี่ยวกับเื่นี้ ในภายภาคหน้าเกรงว่าจะไม่ใช่ตระกูลเหยียนที่จะทำให้โอรสกำพร้าของท่านอ๋องต้องอยู่อย่างไม่สงบสุข
หลังจากที่จิงโม่จากไป เหยียนชิงก็เปิดจดหมายที่อ๋องฉางอันมอบให้เขาขึ้นมาอ่าน ในนั้นมีเพียงประโยคเดียวบนกระดาษอันว่างเปล่า วันนี้ไม่อาจสั่นคลอน วันหน้าอาจ้าความช่วยเหลือจากโอรสของข้า
ในประโยคสั้นๆ แม้กระทั่งลองพลิกกระดาษอ่านดูก็ยังไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ แต่ข้อมูลในนั้นกลับมีไม่น้อยเลย
ประการแรก สามารถยืนยันได้ว่ามีผู้อื่นอยู่เื้ัอ๋องฉางอัน ไม่ว่าอย่างไรพันธมิตรของเขายังคงเป็คนที่เขาเกรงกลัว จากความเห็นของเขา ในยามนี้พวกเขายังคงเป็ผู้ที่ไม่อาจสั่นคลอนตระกูลเหยียนได้
ประการที่สอง ความปรารถนาของอ๋องฉางอันนั้นชัดเจนมาก คือ้าให้พวกเขาช่วยดูแลโอรสกำพร้าของเขา จากจดหมายอีกฉบับหนึ่งสามารถคาดเดาได้ว่าบุคคลที่อ๋องฉางอันกล่าวถึงในภายภาคหน้าว่าจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ก็คือเฟิงหลิงอวี่ หมายความว่าเฟิงหลิงอวี่อาจมีสิ่งที่พวกเขา้าอยู่ในมือ
ประโยคนี้ยังเผยให้เห็นข้อมูลที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นนั้นก็คือ
แม้ว่าอ๋องฉางอันจะอาศัยอยู่ในเขตแดนศักดินาทางตอนใต้ตลอดทั้งปี แต่เขากลับรู้สถานการณ์ของเมืองเทียนซูและเมืองฝูซังเป็อย่างดี สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเหยียนเขาก็รู้ดีเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าเจรจาเงื่อนไขในลักษณะกึ่งข่มขู่เช่นนี้ ดังนั้นผู้ที่ส่งข้อมูลให้เขาจะต้องเป็ผู้มีอำนาจภายในราชสำนักอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน
“เ้าเล่ห์จริงๆ”
เหยียนชิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เผาจดหมายด้วยเทียนแล้วโยนออกไปนอกหน้าต่าง สามปีแห่งการไว้ทุกข์ ในอีกสามปีต่อมาเฟิงหลิงอวี่จะอายุสิบสามปี เรียกได้ว่าเป็่เวลาที่ดีมากทีเดียว
ใน่ไว้ทุกข์จะไม่มีผู้ใดกระทำการสิ่งใดโดยไม่ยั้งคิด ตี้จวินได้ส่งองครักษ์อวี้หลินให้มาอารักขาเฟิงหลิงอวี่จนกว่าการไว้ทุกข์จะสิ้นสุดลง สามปีต่อมา เมื่อเฟิงหลิงอวี่กลับมาที่พระราชวังทุกอย่างก็ควรจะคลี่คลายลงแล้ว
เพียงแต่ อ๋องฉางอันรู้ได้อย่างไรว่ายามที่เฟิงหลิงอวี่กลับมาจากการไว้ทุกข์จะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้? จะเป็อย่างไร? หากในตอนนี้พวกเขาหาโอกาสควบคุมเฟิงหลิงอวี่เอาไว้จะมีโอกาสได้รู้หรือไม่?
เหยียนชิงอยากจะเปิดจดหมายของอ๋องฉางอันที่้ามอบให้เฟิงหลิงอวี่ขึ้นมาอ่านดู แต่สุดท้ายความคิดชั่ววูบก็ถูกหยุดลง เนื่องจากอ๋องฉางอันยอมประนีประนอมและแลกชีวิตของตนเองเพื่อชื่อเสียงที่ดี เช่นนั้นก็ไม่ควรลากครอบครัวลงมาเสี่ยงอีกครั้งอย่างโง่เขลา อีกทั้งเวลาสามปี เหยียนชิงไม่คิดว่าเขาจะสู้กับคนที่ตายไปแล้วและเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาไม่ได้
หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเหยียนชิงก็ตัดสินใจยอมให้หน้าอ๋องฉางอันสักครั้ง[2] ตามที่เขาได้พูดเอาไว้ รั้งทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว[3] อยู่กับปัจจุบันที่มั่นคงแล้วเฝ้ามองสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนไป ในยามนี้ฝ่ายไหนลงมือก่อนฝ่ายนั้นยอมเสียเปรียบ อ๋องฉางอันทำให้พวกเขามีความมั่นคง และยังทำให้ผู้ที่ซ่อนในเงามืดมีความมั่นคงไปด้วยเช่นกัน
จากการตัดสินใจในครั้งนี้ เื่ของอ๋องฉางอันจึงถูกหยุดเอาไว้เป็การชั่วคราว เหยียนชิงเขียนจดหมายแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียส่งให้กับตี้จวินโดยให้อิ้งหลีมอบมันแทนเขาจากนั้นเขาก็ไม่คิดถึงเื่นี้อีกเลย กลางคืนที่เงียบสงัด ยามที่เขียนจดหมายตอบกลับเว่ยซูหาน สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าเมื่อใดจะกลับมา
เขาคิดถึงแล้ว
คราวนั้นที่เว่ยซูหานไปเมืองหนานฮั่นเขาอดทนที่จะไม่ถามวันเดินทางกลับ เพราะหากเขาถามเว่ยซูหานจะต้องวิตกกังวลจนอยากกลับมาอย่างแน่นอน และมันจะไม่เป็การดีหากเขาเกิดความผิดพลาด ในเมื่อเื่คลี่คลายลงแล้วก็ถึงเวลาถาม... แม้ว่าคนผู้นั้นจะรีบร้อนดุจมีไฟลุกโชนก็คงไม่เป็ไรหรอก กลับมาเร็วสักหน่อยเถอะ
เชิงอรรถ
[1] พระราชทานอภัยโทษ ก็คือการนิรโทษกรรมนั่นเอง แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน นั่นคือ นักโทษการเมืองที่ก่อฏ หลอกลวงฮ่องเต้ และต่อต้านอำนาจของฮ่องเต้จะไม่อยู่ในขอบเขตของการนิรโทษกรรม
[2] ให้หน้าฉันสักครั้ง (卖给我一个人情) หมายถึงการที่คุณต้องหาใครสักคนมาช่วยทำอะไรสักอย่าง และพวกเขาพร้อมจะเห็นด้วยและช่วยให้คุณทำมันได้สำเร็จ ซึ่งผลที่ได้นั้นมาจากการที่ผู้อื่นยอมช่วยให้คุณได้มันมาซึ่งก็คือการให้หน้าคุณนั้นเอง
[3]รั้งทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว (按兵不动) หมายถึงอยู่นิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์
