บทที่ 4 ไป๋หรงเฉิน
"ทุกคน หยุดพักแรมที่นี่ก่อนเถิด!"
เสียงของจางเจิง หัวหน้ากองที่คุมนักโทษกลุ่มนี้ดังขึ้น การเดินทางอันแสนยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลง หลังจากเดินทางมาเกือบสองเดือน อีกไม่เกินครึ่งเดือนก็จะถึงจุดหมายปลายทางที่ราชสำนักได้เนรเทศให้ตระกูลไป๋มายังดินแดนอันห่างไกลและกันดารนี้
เสียงฝีเท้าในชุดขนสัตว์เก่าๆ ดังก้องกลางลานโล่งที่เต็มไปด้วยหิมะและถูกลมหนาวโหมกระหน่ำ การเนรเทศในครั้งนี้เป็การไล่ให้มาใน่หน้าหนาวที่พื้นที่นั้นกันดารมากที่สุด ราวกับฮ่องเต้ทรง้าให้พวกเขาออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด แม้ว่าจะเป็หน้าหนาวที่มีหิมะตกหนักก็ยังให้พวกเขาเดินทาง ดังนั้นทางราชสำนักจึงอลุ้มอล่วยให้พวกเขาใช้รถม้าในการเดินทางได้ คณะรถม้าหลายเล่มที่นั่งกันมาเป็ขบวนยาวเหยียดร่วม 30 ชีวิต 5 ครอบครัว พวกเขาต่างอ่อนล้าและหนาวสั่นจากการเดินทางไกล ท้องฟ้าเริ่มเป็สีน้ำเงินเข้ม บ่งบอกว่าใกล้ยามโพล้เพล้เต็มที
ไป๋หรงเฉินหันไปพยักหน้ากับจางถงก่อนจะขยับมือเรียกให้คนในครอบครัวเดียวกันจอดรถม้ารวมกลุ่มกันเป็มุมหนึ่ง ใกล้กองฟางที่ใช้สำหรับปูรองนอน หรือกันลมกันหิมะได้เล็กน้อย
"เจียวเจียว นั่งรอตรงนี้ก่อนนะลูก"
ไป๋หรงเฉินหันไปบอกไป๋อวี้เจียว ลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วยร้ายแรง นางยังอ่อนแรงมาก เขาไม่อยากจะให้นางลงมา แต่ลูกสาวของเขาบอกว่านางไม่อยากจะอุดอู้อยู่แต่ในรถม้า เขาจึงค่อยๆ ประคองร่างเล็กให้พิงรถม้า คว้าผ้าขนสัตว์เก่าๆ มาห่มกันลมหนาว จากนั้นก็ไปพยุงภรรยาของเขา หยางหลิงเย่วที่ผอมแห้งเพราะนางเองก็เจ็บป่วยมาตลอดทางเช่นกัน
"พี่ใหญ่ ฝั่งนี้มีมุมบังลมได้หน่อยหนึ่ง ท่านเอาสัมภาระลงมาก่อกองไฟก่อนเถอะ"
ไป๋ชิ่งอวี่ บุตรสาวคนรองของไป๋หรงเฉินร้องเรียกพลางมองหาพี่ใหญ่ของนาง จากนั้นก็มองไปที่เหล่าญาติที่ร่วมขบวนมา พวกเขาเริ่มทยอยเคลื่อนย้ายของ มีทั้งผู้เฒ่าและเด็กเล็กเกิดอาการวุ่นวายเล็กน้อย
บรรยากาศไม่ค่อยชื่นมื่นนัก เนื่องจากทั้งหมดรู้ดีว่า พวกเขาถูกเนรเทศจากเมืองหลวงด้วยข้อหาฏ ซึ่งความเป็จริงแล้วมีเพียงไป๋หรงเฉินเท่านั้นที่ถูกใส่ความเป็ตัวต้นเหตุโดยตรง แต่เนื่องจากกฎหมายอาญาลงโทษปะา 9 ชั่วโคตร จึงทำให้ลูกหลานเครือญาติฝ่ายไป๋ต่างพลอยโดนหางเลขไปด้วย
หยางหลิงเย่วภรรยาเอกและภรรยาเพียงคนเดียวของไป๋หรงเฉินที่ถูกสามีประคองลงมาจากรถม้า มองดูสามีและลูกๆ ของนางทั้งสองคนที่ต่างก็ช่วยกันจัดแจงข้าวของเพื่อเตรียมอาหารเย็น น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมา แต่นางรีบยกมือขึ้นเช็ดออกทันทีเมื่อสามีของนางมองมา นางไม่อยากให้เขาเป็ทุกข์มากไปกว่านี้...
นางทอดสายตามองไปที่ไป๋หรงเฉินในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันวานที่รุ่งโรจน์ของเขาโดยสิ้นเชิง... ชายวัยกลางคนที่ครั้งหนึ่งเคยสง่างามในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดี บัดนี้กลับอยู่ในชุดเก่าขาดวิ่น มีรอยปะซ้อนกันหลายชั้นจนแทบมองไม่เห็นเนื้อผ้าเดิม สีของมันคล้ำหมองไปด้วยคราบฝุ่นและโคลนจากการเดินทางอันยาวนานเกือบสองเดือน เส้นผมสีดำขลับของเขาที่เคยถูกรวบเรียบร้อย บัดนี้กลับยุ่งเหยิง ชี้กระเซิงเหมือนไม่ได้รับการดูแลมานาน ั์ตาที่เคยฉายแววมั่นคงและเฉียบขาดบัดนี้หม่นหมองดุจเปลวเทียนที่ริบหรี่ ใต้ตาลึกโหล บ่งบอกถึงความอ่อนล้าและการอดนอนหลายคืน ร่างกายของเขาผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด กรอบหน้าและโหนกแก้มเด่นชัดขึ้นจนดูคล้ายคนป่วย
ิัของเขาเคยเนียนเรียบและดูมีสุขภาพดี แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยฟกช้ำจากการเดินทางที่ยากลำบาก มือที่เคยจับพู่กันและพัดงาช้างอย่างสง่างาม บัดนี้เต็มไปด้วยาแและรอยด้านจากการแบกสัมภาระและใช้แรงงานในระหว่างถูกเนรเทศ
แม้ร่างกายของเขาจะดูอิดโรยและหมดสิ้นสง่าราศีของอดีตบุรุษผู้สูงศักดิ์ แต่ท่าทีของไป๋หรงเฉินยังคงตั้งตรงไม่ยอมโค้งงอ แม้ดวงตาจะแฝงความอ่อนล้า แต่ลึกลงไปยังมีประกายแห่งความอดทน ไม่ใช่สายตาของผู้ยอมจำนนต่อชะตากรรมแต่เป็สายตาของผู้ที่ยังมีศักดิ์ศรี แม้โลกจะเหยียบย่ำเขาเพียงใดก็ตาม...
นางหลับตาลง และหวนคิดคำนึงถึงวันที่ได้พบกับเขา นางยังจำได้ขึ้นใจ...ความทรงจำย้อนหลัง ถึงการพบกันครั้งแรกของพวกเขา
ในคืนวันลอยโคมไฟที่เมืองหลวงจัดอย่างยิ่งใหญ่ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมายังตลาดโคมไฟที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน เสียงผู้คนจอแจ เสียงพ่อค้าแม่ค้าต่อรองราคา เสียงเด็กหัวเราะคิกคัก และเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมประสานกันอย่างรื่นหูรื่นตา กลิ่นหอมของอาหารนานาชนิดลอยอบอวลชวนน้ำลายสอ บรรยากาศช่างครึกครื้นและมีชีวิตชีวา
หยางหลิงเย่วในวัยแรกแย้มสิบหกปี งามสะพรั่งราวกับดอกโบตั๋นแรกแย้ม นางสวมชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกเหมย เครื่องประดับผมเป็ปิ่นหยกเรียบง่ายแต่ขับเน้นใบหน้างามหมดจด วันนี้นางได้รับอนุญาติให้มาดูงานกับสาวใช้คู่ใจ นางเดินชมตลาดโคมไฟอย่างเพลิดเพลิน ดวงตากลมโตเป็ประกายจับจ้องโคมไฟรูปกระต่ายที่แขวนเรียงราย ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างมีความสุข นานๆ ครั้งจะหยุดแวะชิมขนมหวานหรือมองดูของเล่นน่ารักๆ ที่วางขาย
ขณะที่หยางหลิงเย่วกำลังเลือกซื้อพู่ห้อยโคมไฟอยู่นั้น พลันเสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นจากฝูงชนด้านหลัง กลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดนักเลงเดินเบียดเสียดผู้คนเข้ามา ท่าทางฮึกเหิมและไร้มารยาท ผู้คนต่างหลีกทางให้พวกมันด้วยความหวาดกลัว
"หลีกไป! หลีกไปให้พ้น! พวกเราจะเดิน!" เสียงะโก้องกังวานของหัวหน้ากลุ่มนักเลงดังขึ้น ชายร่างใหญ่ในชุดสีดำสนิทเดินนำหน้า ใบหน้าดุดันมีรอยแผลเป็พาดผ่าน ดวงตาคมกราวคล้ายเสือร้าย
หยางหลิงเย่วที่กำลังยืนอยู่ใกล้กับกลุ่มนักเลง ถูกเบียดกระแทกจนเสียหลัก ร่างบอบบางเซถลาไปชนกับแผงขายโคมไฟ โคมไฟกระดาษหลากสีร่วงหล่นลงมาแตกกระจาย นางใร้องอุทานออกมา
"ว๊าย!"
กลุ่มนักเลงไม่สนใจไยดี ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง หัวหน้านักเลงเหลือบมองหยางหลิงเย่วเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีสำนึกผิดแต่อย่างใด
"เดินประสาอะไรกัน หัดดูทางบ้างสิ!"
เสียงแว้ดอย่างไม่พอใจของพ่อค้าขายโคมไฟดังขึ้น เขาโกรธจัดที่โคมไฟของตนเองเสียหาย
หยางหลิงเย่วหน้าเสีย รีบกล่าวขอโทษพ่อค้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ขะ...ขอโทษค่ะท่านพ่อค้า ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจ"
"ขอโทษแล้วมันจะพอหรือไง! โคมไฟข้าเสียหายหมดแล้ว! พวกเ้าต้องชดใช้!" พ่อค้ายังคงโวยวายไม่หยุด
หยางหลิงเย่วจนปัญญา นางไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ก้มหน้ารับความผิด ในใจรู้สึกหวาดกลัวและอับอาย
ทันใดนั้นเอง ร่างสูงสง่าในชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้มก็ปรากฏขึ้น เขาเดินเข้ามาขวางหน้ากลุ่มนักเลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมคายหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่แววตากลับแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว
"พอได้แล้วท่าน พวกท่านเป็ชายฉกรรจ์รังแกสตรีและคนค้าขายเช่นนี้ มิอายฟ้าดินบ้างหรือ?" เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจดังขึ้น
กลุ่มนักเลงชะงักฝีเท้า หันมามองชายหนุ่มในชุดขุนนางด้วยความไม่พอใจ หัวหน้านักเลงขมวดคิ้วถามเสียงห้วน
"เ้าเป็ใคร? มายุ่งอะไรด้วย?"
ชายหนุ่มไม่ตอบ เพียงแต่จ้องมองกลุ่มนักเลงด้วยสายตาที่ไม่เกรงกลัว
"สตรีผู้นี้มิได้ทำสิ่งใดผิด พวกท่านต่างหากที่เดินชนนางก่อน ควรกล่าวขอโทษและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางและพ่อค้าเสีย"
"หึ! บังอาจมาสั่งสอนข้า เ้าอยากมีเื่รึไง?" หัวหน้านักเลงแสยะยิ้ม ยกมือขึ้นกุมดาบที่เอว
"หากพวกท่าน้า ข้าย่อมไม่ขัดข้อง" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ในแววตากลับฉายแววท้าทาย
บรรยากาศในตลาดโคมไฟเริ่มตึงเครียด ผู้คนรอบข้างต่างหยุดชะงักและจับจ้องมาที่เหตุการณ์ตรงหน้า หลายคนเริ่มซุบซิบกระซิบกระซาบถึงชายหนุ่มในชุดขุนนาง
"นั่นมัน...ท่านเสนาบดีไป๋หรงเฉินนี่นา!" เสียงกระซิบดังแว่วมา
"เสนาบดีไป๋? จริงหรือ? ท่านดูหนุ่มกว่าที่คิดไว้มาก"
"ได้ยินว่าท่านเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาเจอท่านที่นี่"
หยางหลิงเย่วมองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ นางเคยได้ยินชื่อเสียงของเสนาบดีไป๋หรงเฉินมาบ้าง แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบเจอตัวจริงในสถานการณ์เช่นนี้
กลุ่มนักเลงดูเหมือนจะเริ่มลังเลเมื่อรู้ว่าคู่กรณีคือเสนาบดีไป๋ ชื่อเสียงของเขาในด้านความกล้าหาญและฝีมือเป็ที่เลื่องลือในเมืองหลวง ไม่มีใครอยากหาเื่กับเขาโดยไม่จำเป็
"ชิ! ข้าไม่อยากมีเื่กับคนของทางการ" หัวหน้านักเลงสบถอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมลดดาบลง "วันนี้ข้าจะไว้หน้าท่านเสนาบดี แต่จำไว้ อย่ามายุ่งเื่ของข้าอีก!"
ว่าแล้วกลุ่มนักเลงก็เดินจากไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
เมื่อกลุ่มนักเลงจากไป ไป๋หรงเฉินก็หันกลับมามองหยางหลิงเย่วด้วยสายตาอ่อนโยน "เ้าเป็อย่างไรบ้าง? าเ็ตรงไหนหรือไม่?"
หยางหลิงเย่วส่ายหน้า รีบกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ "มะ...ไม่เป็อะไรเ้าค่ะ ขอบคุณท่านเสนาบดีที่ช่วยเหลือ"
"ไม่ต้องเรียกข้าว่าเสนาบดี เรียกข้าว่าหรงเฉินก็พอ" ไป๋หรงเฉินยิ้มละไม ดวงตาเป็ประกายอบอุ่น
หยางหลิงเย่วหน้าแดงปลั่ง ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย "ขะ...ขอบคุณท่านหรงเฉินเ้าค่ะ"
"เ้าชื่ออะไร?" ไป๋หรงเฉินถามด้วยความสนใจ
"ข้าน้อย...หยางหลิงเย่วเ้าค่ะ" นางตอบเสียงเบา
"หยางหลิงเย่ว...ชื่อไพเราะยิ่งนัก สมกับรูปโฉมงดงามของท่าน" ไป๋หรงเฉินกล่าวชมด้วยความจริงใจ
หยางหลิงเย่วหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม ไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น
ไป๋หรงเฉินสังเกตเห็นความขวยเขินของนาง ก็ยิ้มอย่างเอ็นดู
"ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแค่กล่าวชมตามจริง"
"ทะ...ท่านเสนา...ท่านหรงเฉินกล่าวเกินไปแล้วเ้าค่ะ" หยางหลิงเย่วกล่าวเสียงแ่
ไม่นานนักสาวใช้ก็วิ่งมาหาหยางหลิงเยว่ "คุณหนูเป็อะไรหรือเปล่าเ้าคะ" นางเผลอแป็ปเดียวคุณหนูของนางก็หายไปเสียแล้ว
หยางหลิงเย่วเมื่อเห็นว่าสาวใช้ของนางร้อนใจคงอยากจะให้นางกลับแล้ว นางจึงหันกลับมาลาเขาแบบนอบน้อม
"ข้าคงต้องขอตัวก่อนเ้าคะ และก็ขอบคุณท่านอีกครั้ง"
เขาก็โค้งให้ พลันนึกเสียดายที่บทสนทนาอันน่าประทับใจต้องจบลงอย่างรวดเร็ว
"เช่นกัน ขอให้คุณหนูเดินทางอย่างปลอดภัย…"
หลังจากนั้น ระหว่างที่หยางหลิงเยว่เดินจากไป กลีบดอกท้อบางๆ ที่ไม่รู้ว่าร่วงหล่นมาจากไหนก็ลงบนไหล่เสื้อตัวสวยของนาง เธอหยุดชั่วครู่หันมายิ้มให้ไป๋หรงเฉินอย่างเป็กันเองอีกครั้ง จากนั้นจึงหมุนกายกลับอย่างอ่อนช้อย ไม่นานก็หายจากสายตา
"ครั้งแรกที่เราได้พบกัน…"
หยางหลิงเย่วลืมตาขึ้นมาและทอดสายตาไปยังร่างสามีอีกครั้ง ภาพอดีตอันงดงามช่างแตกต่างจากความจริงอันโหดร้ายในปัจจุบัน
****กรุณากดหัวใจ เพิ่มเข้าชั้น คอมเมนต์เป็กำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ***
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้