หายใจลำบากเหลือเกิน
ส่วนหนึ่งเป็เพราะว่าการจบลงของเื่นี้มันเหนือความคาดหมาย อีกส่วนหนึ่งก็เป็เพราะคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงจะเตรียมตัวมาเช่นนี้
เสี้ยววินาทีนั้นชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าในหัวของเขาขาวโพลนไปหมด แต่แล้วก็ถูกอัดแน่นไปด้วยเื่ราวต่างๆ มากมาย จนไม่มีช่องว่างเหลือให้เขาได้มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย มีเพียงแต่ความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
ซึ่งนั่นก็คือความรู้สึกหน่วงๆ ที่จมูก และมีน้ำเอ่อนองขึ้นมาในดวงตา
อยากจะร้องไห้
ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอไม่อยากจะใช้คำว่า “วู่วาม” หรือ “ไม่มีสติ” มานิยามการกระทำของเซี่ยเจิงเลยแม้แต่น้อย เขารู้เพียงแค่ว่า “ฉันปกป้องนายเอง” ประโยคนี้มันช่างปลอบใจเขาได้เป็อย่างดี
ถ้าหากเื่มันไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เขาก็ไม่ได้อยากที่จะเอามีดเล่มนั้นออกมาใช้เลยสักนิด แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรู้ว่ามีคนคอยยืนอยู่ด้านหลังของเขาและปกป้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างทำให้เขารู้สึกโล่งใจและมีความสุขมากจริงๆ
ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นแล้ว จากนั้นเขาก็ทิ้งน้ำหนักพิงลงไปบนตัวของเซี่ยเจิง เขา้าเวลาสักพักในการย่อยเื่ราวทั้งหมดนี้
ในขณะนั้นเซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกได้ว่าเซี่ยเจิงกำลังปรับท่าทางให้เขาพิงได้สบายยิ่งขึ้น ในตอนที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่พื้นอย่างเงียบๆ ทุกสิ่งรองข้างก็สงบลงเช่นเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยเจิงก็พูดออกมาว่า : “ก้นนายเย็นหรือเปล่า? ”
“เย็น !” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็ะโลุกขึ้นมา “ก้นแข็งไปหมดแล้วเนี่ย !”
“แล้วทำไมนายไม่รีบลุกล่ะ” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไป “ดึงฉันหน่อย ฉันขาชา”
“ฉันแค่รู้สึกว่าบรรยากาศตรงนี้มันดีมาก ” ชวีเสี่ยวปอดึงเซี่ยเจิงขึ้นมา พร้อมทั้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ไอ้โง่สองคนเหรอ พวกเรานี่”
“ฉันเป็เด็กเรียนต่างหากล่ะ” เซี่ยเจิงตบลงไปหน้าอกด้วยท่าทางที่จริงจัง “ถ้าไอคิวต่ำลงก็เป็เพราะโดนนายฉุดลงมานี่ละ”
“อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอทำท่าคารวะเซี่ยเจิง “สามารถฉุดไอคิวของเด็กเรียนให้ต่ำลงได้ช่างเป็เกียรติของฉันซะจริงๆ ”
ทั้งสองคนหัวเราะกันอย่างมีความสุข ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกเหมือนได้ยกูเาออกจากอกแล้ว พอเห็นท่าทีของพ่อต้วนเหล่ยเช่นนั้น เื่ของเขากับต้วนเหล่ยก็คงจะถือได้ว่าจบลงสักที
“กลับบ้านไหม? ” เซี่ยเจิงถาม ทั้งสองคนเดินไปด้วยพลางปัดขี้ดินออกจากกางเกงไปด้วย
“ยังไม่อยากกลับเลย” ชวีเสี่ยวปอเดินอยู่ด้านหลังของเขา กำลังเหยียบไปบนเงาของเซี่ยเจิงที่ทอดยาวออกมาภายใต้แสงจันทร์ “เดินเล่นในสวนสาธารณะสักรอบไหม? ฉันไม่ได้มาที่แบบนี้นานแล้วด้วย”
“เดินไปตามทะเลสาบนะ” เซี่ยเจิงเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง
“ครั้งสุดท้ายที่มาสวนสาธารณะก็ตอนที่มาเล่นว่าวตอนเด็กน่ะ”
พวกเขาทั้งสองคนเดินออกมาได้ประมาณสิบนาที บนทางเดินนอกจากเขาทั้งคู่แล้วก็ไม่เห็นเงาคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว ทะเลสาบทางทิศใต้นี้เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ก็ยิ่งทำให้ดูเงียบสงัดและลึกลับขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่ชวีเสี่ยวปอพูดเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงออกมาจนดังลั่น ลมที่พัดโชยมาปะทะเข้าที่ด้านหน้าก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าหนาวจนเกินไป แต่มันกลับทำให้รู้สึกปล่อยจิตปล่อยใจทั้งยังสบายมากเลยทีเดียว
“คุณปู่ของฉันพามา” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้นต่อ “นายเคยเล่นว่าวแบบนั้นไหม? แบบที่ว่ายาวมาก เป็ตะขาบตัวใหญ่”
“เคยเล่น” เซี่ยเจิงพยักหน้า พร้อมทั้งมองชวีเสี่ยวปอที่พูดไปด้วยพลางใช้มือวาดไปบนอากาศอย่างมีชีวิตชีวา “เล่นยากมาก ลอยขึ้นยากกว่าอันอื่นมากเลยละ”
“แต่พอคุณปู่ไม่อยู่แล้ว ฉันก็ไม่ได้เล่นมันอีกเลย” ชวีเสี่ยวปอพูดเสียงเบาลง
“ความสัมพันธ์ของนายกับพ่อไม่ค่อยดี แต่นายสนิทกับคุณปู่เหรอ? ” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไปตีที่หลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ
“คนฝั่งนั้นที่ทำดีกับฉันก็น่าจะมีเพียงแค่คุณปู่นี่แหละ” ชวีเสี่ยวปอหลับตาลงระลึกถึงความทรงจำเ่าั้ จากนั้นก็ยิ้มพลางถอนหายใจออกมาด้วย “พ่อของฉันยังมีลูกชายอีกคนชื่อชวีจิ่ง โดยเฉพาะที่ฉันเจอกับเขาครั้งแรกมันตลกมากเลยละ นายอยากฟังไหม? ”
เซี่ยเจิงมองเขาอย่างลังเล “ถ้านายรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ต้องพูดก็ได้นะ”
“ฉันอ่อนแอขนาดนั้นที่ไหนกัน” ชวีเสี่ยวปอโบกมือออกไปด้วยท่าทางที่สบายๆ เขาไม่ได้ที่จะแสดงความเข้มแข็งอะไร แต่นั่นเป็เพราะว่าเื่ที่เกิดขึ้นมันผ่านมานานมากแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ความทรงจำที่ผ่านมา และความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นต่างก็ถูกระยะเวลาทำให้เลือนรางจนหมดสิ้นไปตั้งนานแล้ว
“ตอนที่พ่อฉันพาฉันกลับไปครั้งแรก ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ประถมแล้วละ” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้นมา “แต่ทางฝั่งนั้นกลับรู้จักฉันมาตั้งนานแล้ว”
เซี่ยเจิงมองใบหน้าทางด้านข้างของชวีเสี่ยวปอ อีกฝ่ายมีสีหน้าที่เรียบนิ่ง นิ่งจนทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกเลย
“คิดว่าแม่ของชวีจิ่งคงจะพูดไม่ดีถึงฉันให้เขาฟังไม่น้อยเลยละ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมาสองที “ตอนแรกชวีจิ่งกำลังเล่นรถของเล่นคันเล็กๆ อยู่ แต่พอตอนที่เขาเห็นฉันเดินเข้าไป นายลองเดาดูสิว่าเขาพูดว่าอะไร? ”
“อะไรเหรอ? ” เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว
“เขาะโออกมาเสียงดังคำหนึ่งว่า ลูกนอกสมรส” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนั้นพ่อของฉันหน้าเปลี่ยนสีไปเลย ที่จริงชวีจิ่งก็อายุพอๆ กับฉันนี่แหละ แต่นายลองเดาดูสิว่าใครเป็คนสอนเขา”
เซี่ยเจิงหันไปมองเขาครั้งหนึ่ง “นายไม่เสียใจเหรอ? ”
“เสียใจ? อาจจะเป็เพราะว่าตอนเด็กฉันยังไม่ค่อยคิดเยอะล่ะมั้ง” ชวีเสี่ยวปอบิดี้เี “ตอนนั้นรู้แค่ว่าคำนี้มันไม่ดี แต่ไม่รู้ความหมายจริงๆ ว่ามันหมายถึงอะไร”
“แล้วตอนนี้ล่ะ? ”
“ตอนนี้ไม่อยากจะสนใจเื่แบบนั้นแล้วละ” ชวีเสี่ยวปอก้มลงไปเก็บก้อนหินเล็กๆ ขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วโยนมันออกไป ก้อนหินกระดอนไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง เป็การปาหินที่สวยงามจริงๆ จากนั้นมันก็ค่อยๆ จมดิ่งลงไป ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอก็ตบมือให้ตัวเองอย่างภูมิใจ “อีกอย่าง สิงที่เขาพูดมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
เซี่ยเจิงเงียบไปหลายวินาที แล้วจู่ๆ เขาก็ะโออกไปยังทะเลสาบ
“อา............”
“ให้ตายเถอะ !” ชวีเสี่ยวปอใกับเซี่ยเจิงที่จู่ๆ ก็ะโขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนทำให้เขาต้องะโไปด้านข้างอยู่หลายก้าวก่อนที่ยืนอยู่กับที่ “นี่มันกลางค่ำกลางคืน นายทำอะไรเนี่ย !”
“สาธิตให้นายดู” เซี่ยเจิงยื่นมือไปกดลงบนไหล่ของชวีเสี่ยวปอสองครั้ง “ปอเอ๋อร์ ะโออกไปมันช่วยให้ดีขึ้นจริงๆ นะ”
อันที่จริงตอนที่ชวีเสี่ยวปอพูดคำพูดเ่าั้เมื่อครู่นี้ เซี่ยเจิงอยากจะพูดแทรกเขาขึ้นมาอยู่หลายครั้ง
ไม่ ไม่ใช่
ไม่ได้เป็อย่างนั้น
ไม่ว่าจะเป็นายในตอนเด็ก หรือว่าจะเป็นายที่ชอบพูดว่า “ยังไงก็ได้ ไม่ได้สนใจ ไม่เป็ไร” ในตอนนี้ ล้วนไม่ควรที่จะต้องมาชดใช้ให้กับความผิดพลาดที่คนอื่นทำเอาไว้เช่นนี้
“อา! อาอาอาอาอาอาอาอา!”
ชวีเสี่ยวปอที่ผงะไปหลายวินาที ในที่สุดเขาก็ะโออกมาเหมือนที่เซี่ยเจิงทำแล้ว
“ให้ตายเถอะ ขาดออกซิเจน” หลังจากะโเสร็จ ชวีเสี่ยวปอก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้าผาก พร้อมทั้งชนเซี่ยเจิงอย่างแรงไปทีหนึ่ง “แต่ก็รู้สึกดีมากจริงๆ ”
“อืม แต่ว่ามีบางอย่างที่นายพูดผิดไปนะ” เซี่ยเจิงตอบกลับไปอย่างไม่ได้สนใจอะไร
“อะไร? ”
“ไม่ใช่แค่นายตอนเด็กนะที่ไม่ค่อยคิดเยอะ ตอนนี้ก็ด้วย”
“ไปให้พ้น !” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะพลางด่าออกมาด้วย สุดท้ายแล้วก็สำลักขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และหลังจากที่ค่อยๆ กลับมาสงบลง ทันใดนั้นเขาก็ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบพูดออกไปทันที : “นี่ เซี่ยเจิง ทำไมฉันรู้สึกเหมือนว่านายจะเรียกฉันว่าปอเอ๋อร์เป็ครั้งแรกเลยอะ? ”
“ซือจวิ้นก็เรียกนายแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรีอไง? ” เซี่ยเจิงก้มหน้าพูดออกมาเสียงเบา
“ใช่ แต่ว่าความรู้สึกตอนที่เขาเรียกกับนายเรียกมันไม่เหมือนกันอยู่นิดนึง” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปาก “น่าจะเป็เพราะก่อนหน้านี้พวกเราสองคนเรียกหยอกล้อว่าเป็หลานกันบ่อยด้วยล่ะมั้ง แล้วพอนายเรียกฉันว่าปอเอ๋อร์ฉันก็เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่น่ะ”
“เื่เยอะจริง” เซี่ยเจิงยื่นนิ้วกลางให้เขา “ถ้านายเรียกฉันว่าคุณปู่นะฉันจะชินมากๆ เลยล่ะ”
“ฉันไปเรียกนายว่าปู่ตอนไหนฮะ !” ชวีเสี่ยวปอถูกเอาเปรียบเข้าให้แล้ว ทันใดนั้นเขาจึงยกขาขึ้นมาเตะเซี่ยเจิงไปหนึ่งที แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกตัวทันและหลบไปซะก่อนแล้ว ส่วนในฝั่งของเซี่ยเจิงนั้นเขาหลบตัวออกไปอย่างฉับพลันจนทำให้ขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ข้างทาง และในตอนนั้นเองก็มีเสียงร้องโอ๊ยออกมา
“ทำไมนายถึงร้องโอ๊ยออกมาได้น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้เนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปอย่างรังเกียจ
เซี่ยเจิงกระทืบเท้าพร้อมทั้งจ้องมองเขา “นั่นมันไม่ใช่เสียงฉัน”
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ”