ย่างเข้าวสันตฤดูได้สามเดือนแรก เมืองหลวงก็เกิดเื่ใหญ่ไปแล้วสองเื่ โดยเื่ทั้งสองล้วนเกี่ยวข้องกับองค์ชายเจ็ดทั้งสิ้น เื่หนึ่งเป็ความโศกเศร้าครั้งใหญ่ อีกเื่หนึ่งเป็เื่น่ายินดี
เื่โศกเศร้าคือ พระชายาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับองค์ชายเจ็ดมาถึงสามปี สิ้นพระชนม์ด้วยเหตุอันใด เื่นี้ยังมิชัดเจนนัก รู้เพียงว่านางตกลงไปจากหน้าผาสูง กล่าวได้ว่าหากไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต แค่คิดๆ ดูไปแล้วก็พาให้รู้สึกเ็ปไปทั้งกระดูกเื่ราวเกิดตอน่เถลิงศกพอดี คนเราเห็นกันอยู่หลัดๆ เป็ใครประสบกับเื่เช่นนี้ ก็คงใจสลายไปตามๆ กัน
องค์ชายเจ็ดก็เช่นกัน ทุกคนต่างพูดกันว่าเขาทั้งดื่มหนักทั้งสติฟั่นเฟือน สร้างเื่ก่อกวนทั้งวี่ทั้งวัน ทุกคนก็เข้าใจได้ เป็ที่รู้กันอยู่ว่าองค์ชายกับพระชายาทรงรักกันเหลือเกิน กล่าวได้เลยว่าเป็แบบอย่างของคนรัก คนหนึ่งสิ้นไป อีกคนจะไม่ตรอมใจตามไปเลยหรือ
ตลอดหนึ่งเดือน องค์ชายจมอยู่กับความเ็ปที่สูญเสียพระชายาที่รักยิ่งไป ไทเฮาที่อยู่ในวังทนดูต่อไปไม่ไหว องค์ชายเจ็ดเป็หลานชายสุดที่รักของพระนาง จะหมดอาลัยตายอยากเพียงเพราะสตรีคนเดียวได้อย่างไร นางจึงได้คัดสรรหญิงงามอันดับหนึ่งในราชวงศ์เพื่อมาอภิเษกกับองค์ชาย
องค์ชายเจ็ดซึ่งสูญเสียพระชายาไปไม่ถึงหนึ่งเดือน กำลังจะมีงานมงคลอีกแล้ว ว่ากันว่าพระชายาคนนี้ไม่เพียงแต่มีความสามารถเท่านั้น ทว่านางยังงามยิ่ง ผิวพรรณขาวนวลผุดผ่อง สุภาพและน่ารัก ได้คู่กับองค์ชายก็เหมาะสมกันราวกับ์สรรค์สร้าง
อวิ๋นอี้ฟังเื่นี้มาตลอดทางจนเอียน เข้าร้านอาหารเพื่อจะกินข้าวสักมื้อ ก็ยังกินได้ไม่เป็สุข ทุกคนแทบจะรอให้องค์ชายเจ็ดอะไรนั่นกับหญิงงามอภิเษกกันไม่ไหว จะมีใครจำได้บ้างว่าพระชายาคนก่อน เพิ่งจะเสียไปได้แค่เดือนกว่าเอง!
แค่คิดก็อนาถใจ กระดูกของพระชายาคนก่อนยังมิทันเย็น สวามีก็สวมหมวกเขียวให้นางเสียแล้ว แถมยังเป็หมวกเขียวที่ยิ่งใหญ่จนใครๆ ต่างก็รู้ จะต้องเป็สามีภรรยาที่โกรธเกลียดกันเพียงใด ถึงทำเื่ที่ทำร้ายกันได้ขนาดนี้ แต่ถึงจะแย่ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับนาง นางไม่ใช่พระชายาคนก่อนสักหน่อย จะไปคิดมากทำไม!
อวิ๋นอี้สบถเล็กน้อย ได้สติกลับมาก็คว้าหมั่นโถวเข้าปาก มองไปทางเสี่ยวมู่อวี่ที่อยู่ตรงข้าม “กินเสร็จหรือยัง? กินเสร็จแล้วจะได้ไปหาที่นอน”
เสี่ยวมู่อวี่พุ้ยข้าวเข้าปาก “อวิ๋นอี้ ข้ายังไม่อิ่มขอรับ”
“...” อวิ๋นอี้หมดคำจะพูด “เหตุใดเ้าถึงกินเก่งเช่นนี้?”
เสี่ยวมู่อวี่เกาหัว “ข้าก็ไม่ได้อยากเป็เช่นนี้ ข้ากำลังโต กินหมั่นโถวครึ่งอันจะไปอิ่มได้อย่างไรขอรับ?”
“ข้าไม่มีเงินแล้ว!” อวิ๋นอี้ยืนขึ้น ลากเขาออกไปข้างนอก “เ้าแค่ห้าขวบ หมั่นโถวครึ่งอันน่ะพอแล้ว ข้าอายุขนาดนี้ยังกินแค่อันเดียว ทูนหัวจ๋า พวกเรามาเมืองหลวงก็เพื่อหาญาติของเ้า เ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเ้าอยู่จวนตระกูลใหญ่? รอให้ข้าเจอพ่อแม่ของเ้าก่อน เ้าจะกินเยอะอย่างไรก็ย่อมได้!”
เสี่ยวมู่อวี่ถูกนางกระเตงออกมา หน้าบึ้งตึง แต่ไม่กล้าส่งเสียง เขาหนีออกจากจวนแล้วหลงทางกว่าครึ่งเดือน ในตอนที่ใกล้จะอดตายอยู่นั้นก็ถูกอวิ๋นอี้ช่วยไว้
อวิ๋นอี้อารมณ์ร้าย แต่นางก็เป็คนดี นางบอกว่านางความจำเสื่อม ไม่มีที่ไป ในเมื่อเจอเขาแล้ว ก็ช่วยเขาหาพ่อแม่ก่อนก็แล้วกัน พวกเขาจึงค่ำไหนนอนนั่นมาตลอดทางจนมาถึงเมืองหลวง
เมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองหาใดเปรียบ มีผู้คนพลุกพล่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถนนสองข้างทางเต็มไปด้วยพ่อค้าหาบเร่ ร้านค้าต่างตั้งเรียงรายมากกว่าเกล็ดบนตัวปลาเสียอีกพวกเขาต่างตื่นตาตื่นใจ เฝ้าหาโรงเตี๊ยมราคาดีไปทุกที่ เพราะตอนนี้พวกเขาเริ่มหมดแรง และ้าเตียงเป็อย่างยิ่ง
เมื่อเดินเข้าไปในถนนที่ปูด้วยหินที่ทั้งเก่าและอุดอู้ นางก็เห็นว่าเบื้องหน้าไม่ไกลมีคนอยู่มากมาย ดูครื้นเครงยิ่งนัก หลังจากที่เดินไปฟังอย่างละเอียด ก็ทำให้รู้ว่าเป็เื่เกี่ยวกับการแต่งงานขององค์ชายเจ็ดอีกแล้ว
อวิ๋นอี้กำลังจะกลอกตาขาวใส่ แต่ก็ได้ยินเื่ดีๆ เข้า พรุ่งนี้องค์ชายเจ็ดจะอภิเษกสมรส ั้แ่เที่ยงวันนี้จะตั้งโต๊ะเลี้ยงสายน้ำไหล [1] สามวันสามคืน สำหรับผู้ที่เข้ามาอวยพร สามารถกินดื่มได้ไม่อั้น
อวิ๋นอี้แทบจะยิ้มขอบคุณ์ นี่มันลาภปากชัดๆ คนสองคนกำลังอดอยากตาเป็มัน จู่ๆ ก็มีอาหารดีๆ มาอยู่ตรงหน้า ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ขอกินก่อนละกัน!
อวิ๋นอี้พาเสี่ยวมู่อวี่มาถึงประตูวัง เห็นจริงๆ ว่าถนนทั้งสายเต็มไปด้วยโต๊ะกลม มีอาหารมากมายบนโต๊ะ หมูตุ๋น ขาหมู ลูกชิ้นหัวสิงโต ปลาไนนึ่ง...
องค์ชายใจถึงเสียจริง!
ทั้งสองเดินตรงไปลงทะเบียนด้วยความกระฉับกระเฉง ที่ประตูใหญ่ของวัง มีคนต่อแถวยาวเหยียด ด้านหน้ามีโต๊ะหงมู่ [2] สี่เหลี่ยม บนโต๊ะมีกระดาษฟาง บนกระดาษนั้นถูกชื่อเขียนไว้อย่างเป็ระเบียบ อวิ๋นอี้ลูบท้องด้วยมือซ้าย จูงเสี่ยวมู่อวี่ด้วยมือขวา กัดฟันต่อแถวรอ แถวที่ยาวเหยียดดูเหมือนจะคนเยอะ แต่ที่จริงแถวขยับได้รวดเร็วจนเป็ที่น่าพอใจนัก
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงตาของพวกเขาแล้ว
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่หลังโต๊ะสี่เหลี่ยมด้วยท่าทางภูมิฐาน อวิ๋นอี้ก้มลงทำความเคารพตามกฎระเบียบ พร้อมกับกดหัวเสี่ยวมู่อวี่ให้คำนับด้วย
เมื่อเงยหน้าขึ้น นางก็พูดเสียงดังด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าน้อยอวิ๋นอี้ ได้ยินข่าวมงคลของฝ่าา จึงมาแสดงความยินดี ขอร่วมอวยพรให้ฝ่าาเพคะ! ขอพระองค์อภิเษกอย่างมีความสุข ครองคู่ร้อยปีกับพระชายา เป็ฤกษ์งามยามดีฉินเส้อสอดประสาน [3] หงส์ร่อนัเหิน ขอให้มีแต่ความรุ่งโรจน์ตลอดไปเพคะ!”
หลังจากที่นางกล่าวจบ ชายวัยกลางคนตรงข้ามก็จ้องตรงมาที่นาง กระอักกระอ่วนจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะร้องก็ไม่เชิง
นางไม่ได้ทำอะไรผิดใช่หรือไม่?
“นั่น...” สมองของอวิ๋นอี้มึนชา อ้ำๆ อึ้งๆ หากทราบว่าไม่พูดมากก็ดีอยู่แล้ว พอพูดขึ้นจู่ๆ ชายคนตรงข้ามก็ลุกขึ้น ทรุดลงคุกเข่าทันที
“นี่มัน…” อวิ๋นอี้ถอยหลังด้วยความใ ได้สติกลับมา เอ่อ เ้าคงจะไม่ได้วางแผนเรียกร้องอะไรจากข้าใช่หรือไม่?
ชายวัยกลางคนไม่รู้ว่านางกำลังตำหนิตน ดวงตาของเขาแดงก่ำ จ้องไปที่นางแล้วก็ล้มลงคุกเข่า หน้าผากของเขากระแทกพื้น พร้ะโกนร้องไห้เสียงดัง “พระชายา! พระชายาท่านยังไม่ตาย! โชคดีอะไรเช่นนี้!”
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่อวิ๋นอี้ที่แต่งกายด้วยผ้าขี้ริ้ว
อวิ๋นอี้มึนงง นางเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ที่ใดกัน มือเท้าของนางสั่น “ข้าหรือ?”
“แน่นอนขอรับ!” ชายวัยกลางคนโขกหัวด้วยความรุนแรง “หากมิใช่แล้วจะเป็ผู้ใด! ต่อให้ท่านกลายเป็เถ้าถ่านไปแล้ว ทาสอย่างข้าก็ยังจดจำท่านได้!”
แหม ขอบใจจริงๆ!
ชายคนนั้นให้คนไปส่งนางเข้าวัง อวิ๋นอี้ประหลาดใจยิ่งนัก นางมาที่นี่ก็เพื่ออาหารเท่านั้น จะกลายเป็พระชายาไปได้อย่างไร แล้วเหตุใดนางถึงถูกกักตัวไว้ในห้องนี้เล่า!
จะพาไปไหนก็เอาเถอะ อย่างดีก็ให้ข้าวกินหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร..
ท้องของอวิ๋นอี้ร้องครืนคราด นั่งชันเข่าเท้าแก้มอย่างเบื่อหน่าย ไม่นานนัก ข้างนอกก็เกิดเสียงเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบมาจากที่ไกลเข้ามาใกล้ นางเงี่ยหูฟัง ชั่วพริบตาก็มาถึงหน้าประตู
ประตูถูกผลักออกด้วยความแรง เงาสีดำวาบผ่านหน้านางไป อวิ๋นอี้ยังไม่ทันมองให้ชัด นางก็ถูกโอบเข้าไปในอ้อมแขนจนแน่น
“อวิ๋นอี้! อวิ๋นอี้!” เสียงทุ้มนุ่มลึกที่ชวนฟัง พร่ำหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ใจคนฟังแทบจะละลาย
อวิ๋นอี้เองก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทว่านางก็เกือบจะหายใจไม่ออกแล้วเหมือนกัน
นางยื่นมือออกไปตบหลังชายหนุ่ม พูดอย่างยากลำบากว่า “มีอันใด... ก็พูดกันดีๆ อย่าใช้กำลัง!”
“อวิ๋นอี้! เ้ายังมีชีวิตอยู่! ดีจริงๆ! ดีที่สุดเลย!” น้ำเสียงนั้นพูดซ้ำๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และยังกอดแน่นขึ้นอีก
เยี่ยม…คำพูดของนางราวกับผายลมไร้ความหมาย
อวิ๋นอี้อดทนรอให้เขากอดจนพอใจ ชายตรงหน้าก็ปล่อยนาง ทั้งสองถอยห่างออกไปเล็กน้อย เพียงพอให้นางมองให้ชัด
เป็ชายหนุ่มผู้สง่างาม คิ้วโก่งยาว แววตาคม องคาพยพทั้งห้างดงามคมกริบ มีเสน่ห์เย้ายวนใจในทุกท่วงท่า
อวิ๋นอี้พอจะเดาตัวตนของเขาได้ นางกลืนน้ำลาย “ฝ่าาหรือเพคะ?”
“อวิ๋นอี้! ข้าได้ยินมาว่าเ้าสูญเสียความทรงจำ จำตัวเองไม่ได้” ชายหนุ่มไม่ได้กอดนาง แต่วางมือทั้งสองข้างบนลงไหล่ของนางแทน
เ็ปรวดร้าวพอๆ กันนั่นแหละ
อวิ๋นอี้กลัวขึ้นมา บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใช่เพคะ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ฝ่าา ท่านช่วยปล่อยมือจากข้าก่อนได้หรือไม่ ไหล่ข้าจะหลุดอยู่แล้ว!”
ขณะที่นางพูด นางก็เอามือของเขาออกไป ฉีกยิ้มด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวพลางนวดคอ
หรงซิวมีสีหน้าขอโทษเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย ทันทีที่เขายิ้มก็ยิ่งดูสง่างาม “ถ้าเ้าปวดไหล่ล่ะก็ มิสู้ให้ข้านวดให้เ้าสักหน่อย”
“อย่า หยุด ไม่ต้องเพคะ!” องค์ชายทำตัวเป็คนนิสัยเยี่ยงสุนัข [4] ยิ้มทีทำเอาขนหัวลุก อวิ๋นอี้หยุดเขาไว้แล้วพูดว่า “ฝ่าา เรามาคุยกันให้ชัดดีกว่าเพคะ ข้าความจำเสื่อม ท่านบอกว่าข้าเป็ชายา เช่นนั้นก็ปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็ชายาเถิด!”
“แต่ตามที่ข้ารู้มา ท่านกำลังจะอภิเษกกับสตรีคนใหม่แล้ว ข้ารู้ว่าท่านกับพระชายาองค์ใหม่เป็เหมือนฟืนแห้งที่ใกล้ไฟ ขาดกันไม่ได้ ความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งนัก ฝ่าาวางใจได้เลยเพคะ แค่ท่านให้เงินข้าก้อนหนึ่ง ห้าพันตำลึง ไม่สิ… ห้าร้อยตำลึงทอง ถือเป็ค่าเลิกรา ข้าจะไม่มาปรากฎตัวต่อหน้าท่านกับพระชายาองค์ใหม่อีก ข้าจะไม่ทำลายความสัมพันธ์ของท่านกับพระชายาแน่นอนเพคะ”
นางพูดอย่างจริงจัง พร้อมกับยื่นมือออกไป “เงินมา ทุกอย่างจะเรียบร้อย! ท่านจะให้ข้าออกไปจากจวน ข้าก็จะไม่อยู่ให้ท่านเห็นเด็ดขาด! ซื้อขายสุจริต ไม่หลอกลวงแน่นอน แถมเรายังเป็คนคุ้นเคยกัน ท่านไม่มีทางขาดทุน ไม่มีทางถูกหลอกแน่!”
หรงซิวยิ้มฟังนางพูดจนจบ มีอารมณ์ซับซ้อนอยู่ในแววตาของเขา แล้วก็กลับมาเป็ปกติอย่างรวดเร็ว
เขายังคงยิ้มอยู่ ดูชั่วร้ายแต่กลับเป็ธรรมชาติ ทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้ “ชายาข้า เ้าพูดเื่อะไรกัน ในเมื่อเ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอภิเษกใหม่ ข้า้าแค่เ้าเท่านั้น เ้าก็เคยพูดไว้ว่า รักข้าสุดหัวใจ ชีวิตนี้ไม่มีข้าเ้าก็อยู่ไม่ได้ ข้าจะทนเห็นเ้าตาย หายจากชีวิตข้าไปได้เยี่ยงไร?”
อวิ๋นอี้ถูกฟ้าผ่าจนกรอบนอกนุ่มใน [5] “ข้าความจำเสื่อม ข้าไม่มีความรู้สึกอันใดกับท่านแล้วตอนนี้...”
“เ้าความจำเสื่อม แต่ข้าไม่ได้สูญเสียความทรงจำไปด้วย ข้ารักเ้า ไม่ต้องพูดให้มากความ เ้าคือชายาของข้า ห้ามไปไหนทั้งนั้น ต้องอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น ข้าจะจัดหาหมอที่เก่งที่สุดมาให้เ้า!” หรงซิวขัดจังหวะนาง ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กอดนางไว้แน่นในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดอย่างเสน่หา
ถ้าไม่รู้เื่ผิดศีลธรรมที่เขาทำ อวิ่นอี้จะต้องดีใจจนหลั่งน้ำตาเป็แน่ แต่ตอนนี้นางกลายเป็ข่าวนินทาตามถนนตรอกซอกซอย กลายเป็อดีตพระชายาโชคร้ายผู้โดนนอกใจที่ใครๆ ก็รู้จัก ความรู้สึกนี้มันช่างเจ็บแปลบในใจอย่างแปลกประหลาด
อวิ๋นอี้ยังไม่ยอม “ฝ่าา พระชายาองค์ใหม่เป็คนที่ไทเฮาเลือกเลยนะเพคะ ถ้าท่านปฏิเสธ มิกลัวว่าจะทำให้ไทเฮาไม่พอใจหรือ? หากไม่เช่นนั้น...”
“ข้าบอกไปแล้ว ข้ามีแค่เ้าก็พอ ในเมื่อเ้ากลับมาแล้ว ข้าก็จะไม่อภิเษกอีกแน่นอน” หรงซิวมองนางอย่างลึกซึ้ง “อวิ๋นอี้ เชื่อข้าเถิด ไม่ว่าเ้าจะความจำเสื่อมหรือไม่ ความรักของข้าก็จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เื่ทางท่านย่ามีข้าอยู่ เ้าอย่าได้กังวลไป”
แววตาของเขามุ่งมั่นยิ่งนัก อวิ๋นอี้รู้สึกคอคัน ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ไม่นานนางก็พูดออกมาอย่างอึดอัดว่า “ไปกินข้าวก่อนเถิด...”
จู่ๆ ก็กลายเป็พระชายา แถมยังมีสวามีที่รักจนโง่หัวไม่ขึ้น ดูเหมือนว่านางจะมาสู่จุดสูงสุดของชีวิตอย่างกะทันหันเสียแล้ว...
เชิงอรรถ
[1] หลิวสุ่ยสี (流水席) เป็งานกินโต๊ะที่อาหารทุกจานจะต้องมีน้ำซุป อาหารทุกรายการจะต้องเสิร์ฟไม่ให้ขาดตอน ประหนึ่งสายน้ำไหล จึงได้รับการเรียกขานว่าหลิวสุ่ยสี (แปลความหมายได้ว่า งานเลี้ยงสายน้ำไหล)
[2] โต๊ะไม้หงมู่ หมายถึง โต๊ะไม้มะฮอกกานี
[3] ฉินเส้อสอดประสาน琴瑟和鸣 qín sè hé míng
ฉินและเส้อเป็เครื่องดนตรีที่จะบรรเลงร่วมกัน) อุปมาว่า สามีภรรยารักใคร่กันราวกับดนตรีที่สอดประสานกันอย่างดี
[4] 人模狗样” Rén mó gǒu yàng แปลว่า ตัวเป็คนนิสัยเป็หมา หมายถึงคนที่ไมมีมารยาท แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม
[5] 外焦里嫩 wài jiāo lǐ nèn กรอบนอกนุ่มใน ภาษาชาวเน็ต หมายถึง ประหลาดใจ, บิ๊กเซอไพรส์ มีความหมายเดียวกัน