เมื่ออยู่กับองค์ชายเจ็ดผู้ร่ำรวยและทรงอำนาจ ไม่นานอาหารดีๆ ก็จัดวางเต็มโต๊ะ แม้ว่าในห้องจะถูกจับตามองอยู่ไม่ขาด แต่อวิ๋นอี้กับเสี่ยวมู่อวี่ก็ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ใดๆ พวกเขามองอาหารแล้วน้ำลายเกือบจะไหล และเริ่มกินทันที องค์ชายเจ็ดที่มองอยู่นั้นใจนหมดมาด พอได้สติกลับมา ก็อดขำออกมาไม่ได้
ของกินเต็มปากอวิ๋นอี้ ในขณะที่มัวกินอยู่ก็จ้องมองมาที่เขาด้วย “หัวเราะอันใดเพคะ ไม่เคยเห็นคนกินข้าวหรืออย่างไรกัน”
“เปล่า” หรงซิวตอบอย่างอ่อนโยน เงยหน้าตักน้ำแกงให้ทั้งสองคน “พวกเ้ากินช้าๆ หน่อย ไม่พอยังมีอีก กินน้ำแกงก่อน เดี๋ยวจะสำลักเอา”
อวิ๋นอี้รับคำเบาๆ ค่อยพูดจาฟังเข้าหูหน่อย
หลังจากที่ทั้งสองกินอิ่มกันแล้ว หรงซิวก็สั่งให้หญิงรับใช้พาพวกเขาไปอาบน้ำแต่งตัว กิ่งก้านของต้นไม้ในฤดูวสันต์นั้นยาวนัก อากาศอบอุ่น ตะวันตอนเที่ยงสาดส่อง ทำให้ภายในห้องสว่างครึ่งหนึ่งและสลัวลงครึ่งหนึ่ง
อวิ๋นอี้แช่ตัวในอ่างอาบน้ำ อดที่จะคิดไม่ได้ว่า ั้แ่เดินทางมา นางไม่เคยสบายขนาดนี้มาก่อน จะอาบน้ำก็มีคนมาคอยดูแล ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นอนลงก็พอ ถึงว่าล่ะ ใครๆ ก็อยากจะเป็ชนชั้นสูง คิดย้อนกลับไปในวันที่นางอดมื้อกินมื้อ ค่ำไหนนอนนั่น เมื่อเทียบกับชีวิตตอนนี้ มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว นางบังเอิญเข้ามาที่นี่ แล้วก็บังเอิญได้เป็พระชายา ชีวิตคนเรามักจะมีเื่น่าใเกิดขึ้น ตอนที่เราไม่ทันได้รู้ตัวเสมอ
อวิ๋นอี้โกยน้ำขึ้นมา ราดแขน และถอนหายใจอย่างสบายอกสบายใจ กว่านางจะอาบเสร็จก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว หญิงรับใช้หน้าตางดงามสองคนช่วยพยุงนางขึ้นจากน้ำ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและประทินโฉมให้ หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นลง อวิ๋นอี้ก็มองไปที่สตรีในกระจกอย่างตกตะลึง
นางสวยขนาดนี้เลยหรือ!
ผิวขาวราวกับหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก ปากนิดจมูกหน่อย และที่โดดเด่นที่สุดคือแววตาที่ใสปานหยดน้ำในสารทฤดู
น่าทะนุถนอม แต่ก็แฝงไปด้วยความเยือกเย็น
ดูใกล้ชิดสนิทสนม แต่ก็ดูห่างเหิน นับว่ามีเสน่ห์ทีเดียว
จริงที่ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง อวิ๋นอี้ชอบใจยิ่งนัก นางส่องกระจกเพลิน จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างหลังไม่ใช่คนเดิมแล้ว จนกระทั่งหรงซิวก้าวขึ้นไปแล้วโอบเอวของนางเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อวิ๋นอี้ถึงได้ร้องขึ้นมา
“ท่าน ท่าน ท่าน! ฝ่าามาตอนไหนกันเพคะ!” นางผลักหรงซิวออกไป ะโออกห่าง และจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง
หรงซิวยังคงสง่างาม ั์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของเขากะพริบเล็กน้อย พร้อมพูดอย่างอ่อนโยนว่า “อวิ๋นเออร์ หมอหลวงมาแล้ว”
อวิ๋นเออร์...
จะอ้วก...
อวิ๋นอี้กระแอมเบาๆ “ฝ่าาเรียกหม่อมฉันว่าอวิ๋นอี้เถิดเพคะ เรียกอวิ๋นเออร์แล้วข้าขนลุก”
หรงซิวได้ยินแบบนั้นก็ยิ้ม “อวิ๋นเออร์ยังไม่ชินน่ะสิ เมื่อก่อนข้าก็เรียกเ้าเช่นนี้ เ้าโปรดมากทีเดียว”
ข้าจำอะไรไม่ได้ อย่ามาหลอกเสียให้ยาก!
เมื่อเห็นว่านางยังสงสัยอยู่ หรงซิวก็ยอมอย่างไม่เต็มใจ “เช่นนั้นให้ข้าเรียกเ้าว่าอี้เออร์ หรือเสี่ยวอี้อี้ หรือว่าเซียวอวิ๋นอวิ๋นดีหรือไม่”
แม่จ๋าช่วยหนูด้วย!
อวิ๋นอี้ขนพองไปหมด “เรียกข้าว่าอวิ๋นอี้ไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้” เขาตอบอย่างหนักแน่น แล้วมองเข้าไปในดวงตาของนาง ขยิบตาหวานเยิ้มให้นางหนึ่งที “ไม่สนิทสนมพอ”
“......” อวิ๋นอี้พูดไม่ออกจนต้องกุมขมับ เจอคนแบบนี้เข้า นางถึงกับไปไม่เป็ “ช่างเถิด เรียกอวิ๋นเออร์นั่นแหละเพคะ”
“อวิ๋นเออร์เก่งมาก หมอหลวงมารอนานแล้ว ข้าจะพาเ้าไป”
หมอหลวงที่มาตรวจเป็ชายมีอายุ หนวดขาวโพลน เดินพลางหอบพลาง ตัวสั่นเทา ดูน่าเป็ห่วงไม่น้อย อวิ๋นอี้ใที่เขาแก่ขนาดนี้แล้วยังอุทิศตนทำงานอยู่ ชีวิตไม่ง่ายเลย แต่กลายเป็ว่าตอนที่เขากดแขนนางกลับแรงเยอะไม่เบา หมอหลวงไม่พูดพร่ำทำเพลงเริ่มจับชีพจร
หมอหลวงให้ความสำคัญกับการสังเกต การฟัง ซักถาม และการจับชีพจร ชายชราจับชีพจรเสร็จแล้วก็จับศีรษะของนางหันไปซ้ายทีขวาที แล้วก็ส่ายหัว ถอนหายใจพลางมองหรงซิว
“ฝ่าา ในสมองของพระชายามีเืคั่ง อีกทั้งได้ประสบกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ จึงทำให้สูญเสียความทรงจำขอรับ การฟื้นคืนความทรงจำเป็กระบวนการที่ต้องใช้เวลา ต้องค่อยเป็ค่อยไป จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาดขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ขอบใจเ้ามาก” หรงซิวหันกลับมา “อวิ๋นเออร์ เ้าอยู่ในห้องก่อนนะ ข้าจะออกไปส่งหมอหลวง”
อวิ๋นอี้เลิกคิ้วถาม “ไปสิเพคะ! จะบอกข้าทำไม”
“......” หรงซิวยิ้มแล้วลูบหัวของนาง “เด็กน้อย แต่ไหนแต่ไรข้าไปไหนมาไหนก็ต้องบอกเ้าก่อน”
อวิ๋นอี้เอามือเขาออก “อย่าแตะต้องตัวข้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกตอนนี้เลย ต่อไปท่านจะไปไหนก็ล้วนตามแต่พระทัยของท่าน ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่ต้องรายงานข้าอีก”
“ไม่ได้” หรงซิวยิ้มบางๆ “ข้าอยากให้อวิ๋นเออร์รู้”
“......” เอ่อ ท่านเป็อะไรมากหรือไม่
พูดกับเขาไม่รู้เื่ อวิ๋นอี้ก็ขี้คร้านจะสนใจ นางหันหลังให้เขา ดีที่ไม่นาน เสียงฝีเท้าด้านหลังก็เดินจากไป เมื่อนางหันกลับมาดู ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว หญิงสาวพลันบ่นในใจอีกรอบ ไอ้บ้าเอ้ย
ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ยามค่ำในเดือนวสันต์ ความหนาวเย็นยังคงมีอยู่ ลมเย็นพัดเข้ามาในห้อง ชายเสื้อของอวิ๋นอี้สะบัดปลิว
กินเสร็จแล้ว หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน
หลังจากเข้าจวนองค์ชายมาแล้วยังไม่ได้พักเลย ประกอบกับแสงจันทร์สาดแสงนวลผ่อง อวิ๋นอี้ล้มตัวลงบนเตียง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ลมกลางคืนพัดเข้ามาอีกครั้ง กิ่งไม้ใบไม้ส่งเสียงดังกรอบแกรบ หรงซิวกลับมาหลังจากไปส่งหมอหลวงก็เห็นก้อนดำๆ บนเตียง ภายในห้องไม่มีตะเกียง มีเพียงแสงสว่างจากระเบียงด้านนอกที่ส่องเข้ามาอย่างคลุมเครือ
ใบหน้าของหรงซิวราวกับน้ำในทะเลสาบ สงบและนิ่งเงียบ เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วเรียกเสียงเบา “อวิ๋นเออร์”
ไม่มีผู้ใดขานตอบ
หรงซิวนั่งลงข้างเตียง แสงเงาตกกระทบลงบนหน้าของเขา แววตาเข้มขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนาง
อวิ๋นอี้ที่นอนหลับใหล ใบหน้าเล็กๆของนางนิ่งสงบยิ่งนัก หลังจากนั้นไม่นาน หรงซิวก็หัวเราะขึ้นมา
ความจำเสื่อมหรือ
ความจำเสื่อมก็ดีแล้ว
มิฉะนั้น คงต้องกังวลว่านางจะสังเกตเห็นอันใดหรือไม่
แต่เอาเข้าจริง อวิ๋นอี้กลับมาคราวนี้ แม้ว่าจะหุนหันพลันแล่นไปหน่อย แต่กลับมีสิ่งที่น่าสนใจและไม่ว่านางจะเป็โรคความจำเสื่อมจริงหรือไม่ นางก็สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้ เขาจะลองเดินตามน้ำไป ดูสิว่านางจะทำอย่างไรต่อ
ส่วนเื่นั้น... รอให้เขารู้ความจริงของอวิ๋นอี้ก่อน เขาค่อยดำเนินการต่อ
หลับไปจนถึงกลางดึก ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นข้างหู หรงซิวใตื่น ยังไม่ทันที่จะได้สติ เขาก็ถูกเตะเข้าที่หว่างขา ความเ็ปที่รุนแรงพุ่งตรงไปที่ขมับทันที
หรงซิวอดไม่ได้ เขาอ้าปากค้างด้วยความเ็ปแล้วถามขึ้นว่า “เป็อะไรไป เกิดอะไรขึ้น”
“ปั้ก!”
คำตอบที่เขาได้คือการโดนเตะ
ชายชาตรีอย่างหรงซิว ถูกหญิงสาวร่างผอมบางเตะจนกลิ้งตกเตียง
เขาตะลึงทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่
อวิ๋นอี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน
นางจ้องไปที่หรงซิวบนพื้นนิ่งๆ จากนั้นไม่นานก็พูดว่า “ฝ่าา... เหตุใดถึงเข้ามาในห้องของข้าหรือเพคะ”
“นี่มันห้องของเรานะ” ในที่สุดความเ็ปก็ทุเลาลง หรงซิวค่อยๆ ได้สติกลับมา เขาจ้องนาง และลุกขึ้นจากพื้น
อวิ๋นอี้รีบลุกขึ้นอย่างมึนๆ เขาขยับก้นเข้าไปที่ด้านในสุดของเตียง และมองไปยังชายหนุ่มที่โน้มตัวใกล้เข้ามา นางยื่นมือออกมาเพื่อหยุดเขาก่อนจะพูดว่า “ฝ่าาอย่าเข้ามานะเพคะ! ถ้าเข้ามาใกล้อีกนิด ข้าจะะโเรียกคน!”
“......” หรงซิวคว้ามือของนางและดึงไปข้างหน้าทันที
จู่ๆ อวิ๋นอี้ก็ถูกดึงก่อนจะหล่นเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างมิอาจควบคุม นางรู้สึกอายจนจมูกแดง น้ำตาเอ่อคลอยามที่มองเขา ก่อนจะอาละวาดอย่างอารมณ์เสีย “ท่านจะทำอันใด! จะฆ่าจะแกงกันหรืออย่างไร!”
หรงซิวได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ “จะขืนใจ”
อวิ๋นอี้ใจนเตลิดไปหมด “ฝ่าา...อย่าทำอะไรบ้าๆ นะเพคะ!”
“ข้าไม่ได้บ้า เราเป็คู่ครองกันอยู่แล้วนี่ ข้าแค่อยากจะนอนกับเ้า” หรงซิวยักไหล่อย่างไร้เดียงสา ดวงตาของเขาเป็ประกาย
อวิ๋นอี้ตัวชาไปหมด “ข้าความจำเสื่อม! ในใจของข้าพวกเราเป็คนแปลกหน้ากัน ยังไม่คุ้นเคยกันเลยนะเพคะ!”
หรงซิวไม่รอให้นางพูดจบ ก็พูดขัดจังหวะขึ้น “นอนด้วยกันถึงช่วยกระชับความสัมพันธ์อย่างไรเล่า มาเถิด!”
เขาเอานางวางลงบนเตียง ใช้แขนที่แข็งแรงโอบเอวนางไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้ขายาวสองข้างตรึงขานางไว้แน่น ขยับไปไหนไม่ได้ทั้งสิ้น
อวิ๋นอี้เบิกตากว้าง จ้องมองไปที่เขา “หรงซิว! ฝ่าาเป็ถึงองค์ชาย ท่านจะฉวยโอกาสคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ! ถ้าเื่แดงออกไป คนเขาจะหัวเราะเยาะฝ่าาเอาได้!”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาหัวเราะเยาะไป” เขาพูดอย่างไม่แยแส หัวเราะเบาๆ ก่อนเอามือปิดตานาง “หลับเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว”
“นี่!” อวิ๋นอี้กัดฟัน “ท่าน!”
“ถ้าเสียงดัง ข้าจะจูบนะ”
“......” ก็ได้ รอบนี้ท่านชนะ
อวิ๋นอี้กังวลว่าหรงซิวจะรอให้นางหลับก่อนแล้วฉวยโอกาสกับนาง หญิงสาวจึงพยายามไม่หลับ สรุปคือตื่นอีกทีก็เช้าเสียแล้ว
...แย่ล่ะ!
อวิ๋นอี้รีบลุกขึ้น จับหน้าอก บิดตัวสำรวจตัวเอง เหมือนว่า...ทุกอย่างยังปกติอยู่
หรงซิวไม่ได้ทำอะไรนางใช่หรือไม่
นางอาบน้ำด้วยความกังวลจนเสร็จ กินข้าวเช้าแล้วก็เรียกพ่อบ้านมา ให้เขาเตรียมห้องเดี่ยวให้นาง
พ่อบ้านอ้ำอึ้ง กล่าวตอบอย่างสั่นๆ “พระชายานอนกับองค์ชายมาตลอด ถ้าท่านอยากแยกห้อง ต้องได้รับการเห็นชอบจากองค์ชายก่อนขอรับ!”
อวิ๋นอี้ถามว่าหรงซิวอยู่ที่ไหน ก็รีบตรงไปที่ห้องหนังสือทันที เมื่อนางพูดเื่ขอแยกห้องขึ้นมาก็ถูกหรงซิวปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
“พระชายาไม่มีข้า นอนไม่หลับหรอก”
“ใครว่ากัน! ข้านอนไม่หลับเพราะฝ่าานั่นแหละ!” อวิ๋นอี้ยืนกราน
หรงซิวเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษ เลิกคิ้วมองดูนางอย่างเฉยเมย “เ้าเด็กน้อยปากไม่ตรงกับใจ”
“...”
ไอ้บ้าเอ๊ย
อวิ๋นอี้ถูกไล่ออกมา ข้อเสนอขอแยกห้องไม่มีทางเป็ไปได้แล้ว นางยืนอยู่ที่ประตูอย่างโกรธจัด กระทืบเท้าด้วยความรุนแรง แค่นึกถึงหน้าระรื่นของหรงซิว นางก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว อยู่แบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องถูกกลืนกินไปทั้งตัวแน่นอน! ถ้านางชอบหรงซิวก็ถือว่าสมยอม แต่ประเด็นสำคัญคือนางไม่ได้ชอบหรงซิวอะไรนี่น่ะสิ!
ไม่ได้การ ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องหนี
แม้ว่าตำแหน่งพระชายาจะเย้ายวนใจ แต่ถ้านางจะต้องทำกับคนที่ไม่ชอบ นางขอปฏิเสธดีกว่า
หลังจากที่อวิ๋นอี้ตัดสินใจแล้ว ก็คิดว่าจะต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก่อน ดูว่ามีทางออกหรือไม่ ทว่าทันทีที่หันมาก็เห็นพ่อบ้านที่ยืนรออยู่ด้วยความเคารพ
เ้าเงาตามติด...
อวิ๋นอี้หาเื่ห่างจากเขา บอกว่าจะเดินไปดูรอบๆ เอง
พ่อบ้านจะกล้าดีห้ามไว้ได้อย่างไร ได้แต่พยักหน้าแล้วโค้งส่งพระชายา
จวนของหรงซิวครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ มีลานทั้งนอกและในรวมสิบกว่าแห่ง พวกเขาอาศัยอยู่ในลานด้านตะวันออก ลานด้านตะวันตกส่วนใหญ่จะไม่มีคนอาศัยอยู่ ถ้า้าหนี ทางตะวันออกจะได้รับการป้องกันอย่างแ่า น่าจะเริ่มได้จากฝั่งตะวันตกเท่านั้น
อวิ๋นอี้เดินตะล่อมๆ ไปลานฝั่งทิศตะวันตก เดินไปก็มีคนทักทายตลอดทาง นางวางมาดขึ้นมา ก็พอเข้าท่าอยู่เหมือนกัน ยิ่งเข้าใกล้ลานฝั่งตะวันตกมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งห่างไกลจากจวนหลักออกไปมากขึ้นเท่านั้น หญ้าสองข้างทางนั้นงอกยาวถึงเข่า ถ้าไม่ใช่เพราะจะหนี นางคงไม่เดินมาถึงที่แบบนี้แน่
อวิ๋นอี้เดินตรงไป ก็เห็นว่ามีลานอยู่ข้างหน้า นางกลับรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา หญิงสาวขมวดคิ้วและเดินไปที่ลานเรือนนั่น ประตูถูกใส่กุญแจไว้ มีทหารสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู
อวิ๋นอี้กระแอมเบาๆ ถามว่า “เรือนนี้มีไว้ทำไมหรือ ห้ามคนเข้าหรืออย่างไร?”
“ใช่ขอรับพระชายา ห้ามเข้า นี่เป็คำสั่งของฝ่าา” ทหารยามตอบ “พระชายาได้โปรดกลับไปเถิดขอรับ”
“ข้าจะเข้าไปดู!” อวิ๋นอี้เซ้าซี้ มองเข้าไปผ่านรอบแตกของประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทหารยามกล่าวอีก “พระชายา ได้โปรดกลับไปเถิดขอรับ ฝ่าาตรัสไว้แล้วว่าให้พวกเราคอยดูไม่ให้ท่านหนี”
อะไรนะ
อวิ๋นอี้ตกตะลึงอยู่กับที่
หรงซิวรู้ได้อย่างไรว่านางจะหนี
แย่แล้ว นางคงหนีไม่พ้นเป็แน่!