พระสนมเจียวจินหันกลับมาตั้งใจ คัดสรรพคุณของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ฤทธิ์ที่บำรุงหรือทำลาย นางใช้เวลาทั้งหมดเพื่อทุ่มเทคัดสรรตัวยาที่ดีที่สุด หมกมุ่นอยู่ภายในตำหนักเพียงผู้เดียว โดยไม่ให้ผู้ใดรบกวน นางหยิบสมุนไพรชนิดหนึ่งขึ้นมานามว่า “เพ่ยเฟิง” พร้อมดวงตามุ่งมั่นมองตรงไปอย่างมีความหวัง สมุนไพรตัวนี้จะเป็ตัวหลักในการทำลายพลังเวทหากใช้ผสมกับต้นกู่หลานและใบเฟยฉีในขนาดที่พอเหมาะ
“ตัวยาพวกนี้หากแยกเดี่ยว จะกลายเป็ยาที่ให้คุณ หากแต่นำมารวมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะ ก็จะเป็ตัวยาที่ทำลายพลังเวทได้ โดยจะเข้าไปทำลายระบบปราณ และก่อกวนระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ถึงครานั้นหากองค์รัชทายาทเสวยอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่มีวันฝึกเวทสำเร็จ ร่างกายจะค่อย ๆ ทรุดลงและดับขันธ์ในที่สุด วาสนาขององค์ชายรองก็จะมาถึง ดังนั้นการอนุญาตให้องค์ชายรองออกนอกวังไป มันมิได้สูญเปล่า ข้าจักใช้เวลานี้หาสูตรยาอื่น ๆ โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าองค์ชายรองจะเข้ามาเห็นเมื่อใด” รอยยิ้มอ่อนเผยออกมาพร้อมกับดวงตามุ่งหวัง ย้อนกลับไปในอดีตนางพยายามอย่างมากเพื่อที่จะเอาชนะใจองค์พระมหาจักรพรรดิ หากแต่มิสามารถทลายกำแพงเข้าไปได้ หัวใจของเขามอบให้เพียงองค์ชายาเท่านั้น มือบางกำบดเบียดกันแน่นเมื่อหวนนึกถึงภาพในอดีต
“ข้ามีวาสนาอาภัพนัก แม้เป็หญิงเดียวที่มีโอกาสเป็สนมขององค์จักรพรรดิ หากแต่สายพระเนตรขององค์จักรพรรดิมิเคยชายตาเหลียวแล องค์ชายรองเกิดมาเพียงเพราะความผิดพลาดที่เขาคิดว่าข้าคือองค์ชายาเท่านั้น หึๆ ...แต่ความผิดพลาดในครั้งนี้ ข้าจะแปรเปลี่ยนอนาคตขององค์ชายรองให้เป็องค์มหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ทดแทนความรู้สึกเ็ปที่ผ่านมา” นางหมุนใบเพ่ยเฟิงไปมา พลางปล่อยยิ้มอยู่ภายใต้ความรู้สึกโดดเดี่ยว
องค์รัชทายาทนั่งมองซูเจินเตรียมอาหารด้วยสายตาแน่นิ่ง หากแต่ภายในใจเฝ้าหาวิธีต่าง ๆ เกี่ยวกับสาวงามผู้นี้ หากทิ้งซูเจินให้เดินทางตามลำพัง นางอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น ในขณะที่ร่างบางยังคงตั้งใจทำอาหาร โดยไม่อาจรับรู้ถึงความทุกข์ใจขององค์รัชทายาทได้
“ในเวลานี้นอกจากภารกิจตามหาท่านผู้เฒ่าหานตงเป็เื่ยากแล้ว สิ่งที่รบกวนใจข้ายิ่งกว่าสิ่งใดคือนาง และนั่นเป็ข้อจำกัด ทำให้มีอุปสรรคมากขึ้นไปอีก” องค์รัชทายาททบทวนก่อนหยั่งความคิดของสาวงามตรงหน้า
“หากไม่มีข้า เ้าจักทำเยี่ยงไรซูเจิน” คำพูดของยอดฝีมือทำให้หญิงสาวชะงัก หลุบตาต่ำลงมิเงยหน้าสบตา เพราะเป็สิ่งที่นางเฝ้าถามตัวเองมาแล้วตลอดทั้งคืน
“ข้าทำอาหารเสร็จพอดี ท่านลองชิมเสียหน่อยนะ คืนนี้อากาศที่นี่หนาวมาก อาหารร้อน ๆ จะทำให้ร่างกายอบอุ่น” ซูเจินปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม เลี่ยงตอบคำตอบ ใบหน้าหวานพยายามเก็บกักความรู้สึกหวาดหวั่นเอาไว้ วันเวลาเลยผ่านมานานจนนางทุเลาความเ็ปต่าง ๆ ไปได้บ้างแล้ว หากแต่วันนี้รู้สึกสะท้านใจอย่างถึงที่สุด เพราะกลัวความพลัดพราก และรู้ว่ายากที่จะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้
“ในตอนนี้ท่านยอดฝีมือ พาข้าออกจากแคว้นจ้านหลิวได้สำเร็จแล้ว เขาทำตามคำขอร้องของข้าเสร็จสิ้น แต่หัวใจของข้ายังไม่อาจทำใจยอมรับการจากไปของเขา” ซูเจินลอบคิดอย่างเงียบ ๆ ดวงตาใสก้มมองอาหารนิ่งไม่ไหวติง
“นอกจากแม่นางลี่เซียนแล้วมีใครเคยชมไหม ว่าอาหารของเ้ารสดีอย่างมาก” องค์รัชทายาทลิ้มรสอาหารแล้วถามด้วยท่าทางสุขุม ทำให้ร่างบางยอมเงยหน้าหวานขึ้นสบตา ทั้งสองผสานสายตาเป็หนึ่งเดียว ก่อเกี่ยวเป็สายใยบาง ๆ ของกันและกัน แม้ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย ใบหน้าขององค์รัชทายาทกลับยิ่งประทับตราตึงเข้าไปยังดวงใจน้อย ๆ ที่กำลังหวั่นไหว เขารูปงามเกินกว่าชายใดที่นางเคยพบ ราวกับหลุดมาจากรูปปั้นของเทพ์ เพ่งพินิจลึกลงไปเท่าไหร่มิอาจละสายตาจากเขาได้
“ใบหน้าของข้ามีอันใดติด เ้าจึงมองไม่วางเช่นนั้น” ซูเจินกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา
“มะ ไม่มีอันใดติด” หญิงสาวละสายตาจากเขาแล้วเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ก่อนจะตอบคำถามของเขาเมื่อครู่
“นอกจากพี่ลี่เซียนแล้ว ยังไม่เคยมีใครได้ชิมฝีมือของข้าอีก แม้แต่พ่อกับแม่ยังไม่อยากแตะอาหารที่ข้าทำ เพราะพวกเขาคิดว่าข้าไร้ความสามารถ วันนี้ไม่มีพี่ลี่เซียนแล้วก็มีเพียงท่านที่ได้ชิมอาหารของข้า” องค์รัชทายาทสังเกตความน้อยใจปกคลุมออกมาทางเนื้อเสียงของนาง ก่อนคลายยิ้มแล้วมองตรงมายังหญิงสาวอย่างตั้งใจ
“ั้แ่ข้าเกิดมา ยังไม่เคยกินฝีมือใคร ที่รสดีเช่นนี้มาก่อน ข้าควรดีใจสินะ” คำชมขององค์รัชทายาททำให้ซูเจินก้มมองอาหารฝีมือตัวเอง พลางเอียงศีรษะเล็กน้อย หวนนึกถึงคำชมจากลี่เซียน ที่มีใจความไม่ต่างกันนัก จากนั้นความรู้สึกอิ่มเอมก็ไหลเข้ามาปกคลุมความอ่อนล้า ให้มีกำลังใจ รอยยิ้มหวานจึงค่อย ๆ คลี่ออกอย่างเบาบาง
“ท่านไม่ได้แกล้งชม ให้ข้าดีใจใช่ฤาไม่” องค์รัชทายาทสบตาแล้วควานหาความรู้สึกอันแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใน ความดีใจของนางแสดงออกมาอย่างเดียงสา ประกอบกับท่าทางน่าเอ็นดูนั้น ทำให้องค์รัชทายาทส่งยิ้มอ่อน
“ข้ามิได้แกล้งชมเ้าแต่อย่างใด” หญิงสาวพยักหน้า พร้อมคงไว้ซึ่งรอยยิ้มบางเบานั้น ก่อนตักอาหารเข้าปาก ในยามนี้องค์รัชทายาทเข้าใจว่านางอาจรู้สึกสับสน และกังวลเกี่ยวกับการจากไปของเขา ชายหนุ่มนิ่งเงียบทบทวนสิ่งต่าง ๆ อยู่ครู่หนึ่งไม่ว่าจะเป็ดวงตาท่าทางแลกิริยาทุกอย่างล้วนบริสุทธิ์สดใส ไม่มีทางตัดใจทิ้งนางไว้ตามลำพังได้
“ชายผู้นี้เก่งนัก ข้ามิเคยเห็นพลังเวทใดกล้าแกร่งถึงเพียงนี้”
“มัวแต่ชื่นชมมันอยู่นั่น ไฟในกระท่อมดับแล้ว แสดงว่าพวกเขากำลังนอนหลับ ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปเอาหยกวิเศษนั่น” ชิงจูหันดวงตามุ่งมั่นไปยังศิษย์น้อง ก่อนขยับกายออกจากที่หลบซ่อนในมุมมืด แล้วจึงใช้วิชาเวทที่เรียนมาอย่างน้อยนิด บวกกับสมุนไพรบางอย่างที่ออกฤทธิ์ทำให้หลับใหล
“เ้าปล่อยควันจากสมุนไพรพิษไปทางช่องนั้น” ชิงจูเห็นจุดโหว่อยู่น้อยนิดจึงชี้มือไป สิ้นคำสั่งของศิษย์พี่ ชิงเถาผู้เป็ศิษย์น้องจึงทำการปล่อยควันจากสมุนไพรเข้าไปในกระท่อม เปลวควันสีอ่อนลอยละล่องออกจากปลายไม้ แล้วรวมตัวเป็กลุ่มก้อนพวยพุ่งอยู่ภายใน รอการออกฤทธิ์ให้ทั้งคู่หลับใหล
“หึ...ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ไม่มีวันหนีข้าพ้น และหยกวิเศษนั่นจะพาเราไปยังนครใหญ่ได้ พวกเราสองคนไม่ต้องจมอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต” ชิงจูกล่าวขึ้นอย่างมีความหวัง หลังจากกลับเข้ามายังจุดซ่อนตัวเพื่อรอผลครู่หนึ่ง
“แต่ข้าห่วงอาจารย์ พวกเราจะทิ้งอาจารย์ไปจริง ๆ เหรอ” คำพูดของชิงเถาทำให้ชิงจูหมดความมั่นใจลงในฉับพลัน แม้ว่าจะซุกซนตามประสา แต่นางรักอาจารย์ดังดวงใจ เพราะถูกเขาฟูมฟักดูแลมาั้แ่เด็ก เปรียบเสมือนบิดาและผู้ให้ชีวิตคนหนึ่งยากหาสิ่งใดในใต้หล้าทดแทนคุณ
“เื่นั้นเราค่อยคิดทีหลัง เวลานี้ยาคงออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว พวกเขาคงหลับใหลไม่ได้สติ เราเข้าไปกันดีกว่า แต่! เ้าจงระวังชายผู้นั้นให้ดี เขาเป็ผู้มีพลังเวทสูงมาก หากพลาดไปชีวิตของพวกเราก็อยู่ในอันตรายได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว” ทั้งสองทำตามแผนที่วางไว้ทุกขั้นตอนอย่างระวัง
ในยามที่แสงสลัวของขอบฟ้าเริ่มปรากฏ ชิงเถาหอบหุ้มเอาร่างของซูเจินแบกไว้บนหลัง สีหน้าบ่งบอกว่าเหนื่อยล้าจนมิอาจมีแรงเดิน ก่อนค่อย ๆ วางตัวสาวงามลงช้า ๆ แล้วนั่งหอบอยู่ครู่หนึ่ง
“พวกเราจะเอาอย่างไรดี ฤทธิ์ยาสมุนไพรไม่สามารถทำอะไรชายผู้นั้นได้ เราไม่สามารถเข้าไปเอาหยกที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาได้เลย”
“ข้าประเมินเขาต่ำไป โชคดีที่เขาขยับกายให้รู้ว่าเพียงแค่นอนหลับธรรมดา หาใช่ฤทธิ์ของสมุนไพรของเรา” ชิงจูพูดอย่างเจ็บใจที่แผนการผิดพลาด
“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ท่านให้ข้าพานางออกมาด้วยทำไม” หลังจากแผนการล้มเหลวไม่เป็ท่า แถมด้วยร่างของหญิงสาวที่นอนสลบเพราะฤทธิ์ยาทำให้ภาระหนักมาตกอยู่ที่ชิงเถา ชายหนุ่มยังคงยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่รินไหล ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เ้าโง่นัก หากไม่พานางออกมา แล้วเราจะได้หยกวิเศษนั่นได้อย่างไร เ้าไม่เห็นฤา เขาก็แค่นอนหลับธรรมดา หาใช่เพราะฤทธิ์ยาของเรา จะเข้าใกล้ตัวเขายังไม่ได้ แล้วเราจะเอาหยกนั่นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีข้อแลกเปลี่ยน”
“ศิษย์พี่พูดอันใด ข้ามิเข้าใจ” ชิงเถานั่งหอบพลางทำสีหน้างุนงง
“เ้ามองดูนาง นางงามเยี่ยงนี้ งามจนเ้าเองก็ต้องหลงใหลใช่ฤาไม่” ชิงเถาหันมองดูใบหน้าที่กำลังหลับใหล เขายอมรับจากใจจริงว่านางงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ก่อนหันไปพยักหน้ายอมรับ
“นางงามเยี่ยงนี้แล้ว พอจะมีค่าเทียบเท่ากับหยกชิ้นนั้นฤาไม่” ชิงเถาหันมองพินิจอีกครั้ง หัวใจของเขาเต้นไหวเพราะใบหน้างดงามของนาง พลางกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้ายอมรับอีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าก็ตัดสินใจไม่ผิด ที่ขโมยนางมาแทนหยกก้อนนั้น” ชิงจูยิ้มย่องอย่างพอใจ แลหันกลับไปมองขอบฟ้าที่มีแสงรำไรโผล่ขึ้นมา
“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่”
“ข้าล่ะหน่ายที่มีศิษย์น้องโง่เง่าอย่างเ้านัก เราก็แค่นำนางมาต่อรอง เพื่อขอแลกกับหยกชิ้นนั้น”
“วิชาเวทของเราสองคนรวมกัน ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ ไม่แน่ว่านอกจากเราใช้นางแลกหยกไม่ได้แล้ว อาจถูกเขาทำร้ายจนตาย”
“อย่าพึ่งปล่อยความขลาดออกมา นางผู้นี้ต้องสำคัญกับเขาเป็อย่างมาก แผนของข้าก็คือ เ้าจงพานางกลับไปยังสำนักของเรา ในตอนนี้อาจารย์บำเพ็ญศีลอยู่ในถ้ำอีกนานกว่าจะออกมา เ้าเฝ้าดูนางให้ดี ส่วนข้าจะไปกลับไปยังกระท่อมเพื่อลวงให้เขาไปยังสำนักของเรา ซึ่งมีค่ายกลจำนวนมากติดล้อมไว้ ถึงตอนนั้น ต่อให้เป็พลังเวทขั้นสี่หรือห้า ก็ไม่สามารถต้านทานได้”
“แต่ข้ากลัวว่าพลังเวทของเขาไม่ใช่แค่สี่หรือห้า” ชิงเถากำลังหวาดหวั่นเพราะไม่เคยเห็นระดับพลังเวท ที่มากกว่าพลังเวทพื้นฐานของพวกเขาเช่นนี้มาก่อน