บทที่ 165 จอมมารลู่
“์!” ยุวปัญญาชนหญิงร้องลั่น “นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
“เธอรีบไปเถอะ” หวังต้าหย่งกล่าว “ต่อไปนี้พวกเราทุกคนจะอยู่ห่างจากหล่อน”
เขาพูดพลางกางแขนขวางหน้าสวี่จือจือ เมิ่งไห่หยางก็เดินไปยืนข้างหวังต้าหย่ง ทำท่าทางเดียวกัน
ยุวปัญญาชนคนอื่นๆ มองหน้ากัน พากันเดินไปยืนข้างเมิ่งไห่หยางและหวังต้าหย่ง แล้วทำท่าทางเดียวกัน ขวางอยู่หน้าสวี่จือจือและสองสาวยุวปัญญาชน
“พวกนาย…ทำเกินไปแล้วจริงๆ” อันฉินโกรธจนตัวสั่นกล่าว “สวี่จือจือ เธอใส่ร้ายป้ายสี พูดจาเหลวไหล”
“จริงไหม เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ” สวี่จือจือมองอันฉินด้วยสายตาเ็า “ฉันขอเตือนเธอสักคำ ความคิดเลวๆ ของเธอ อย่ามาใช้กับพวกเรา ไม่งั้นฉันจะคิดบัญชีทั้งเก่าทั้งใหม่กับเธอ”
ถ้าย้อนไปก่อนหน้านี้ สวี่จือจืออยากช่วยเหลือยุวปัญญาชนกลุ่มนี้ แค่เพราะรู้สึกว่ายุวปัญญาชนที่ถูกชะตาชีวิตลำบาก สมควรได้รับความเห็นใจ เธอมีความสามารถก็ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้
เธอไม่เคยมองคนพวกนี้เป็คู่แข่ง เพราะคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้มีแค่คนไม่กี่คนนี้
แน่นอนเธอมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง เพราะในอนาคตคนใหญ่คนโตหลายคนล้วนเป็นักศึกษามหาวิทยาลัยจากรุ่นนี้ ถ้าสร้างสัมพันธ์อันดีได้ล่วงหน้า ก็เท่ากับขยายเส้นสายให้ตัวเองในอนาคต
แต่ตอนนี้เมื่อเห็นทุกคนยืนขวางหน้าปกป้องเธอโดยไม่ลังเล ดวงตาของสวี่จือจือก็เริ่มเปียกชื้น
อันฉินเห็นดังนั้นได้แต่กระทืบเท้าเดินจากไปด้วยความโมโห
“ข้าวของเอาไว้ได้จนถึงบ่าย ถ้ายังไม่มารับ พวกเราจะโยนทิ้ง!” เมิ่งไห่หยางะโ
“ขอบคุณทุกคนนะ” สวี่จือจือกล่าวด้วยความซาบซึ้ง “ต่อไปถ้าพวกนาย้าอะไร หรือมีคำถามอะไรไม่เข้าใจ มาถามฉันได้ตลอดเลย”
พอนึกได้ว่าเ้าของร่างเดิมของเธอจบแค่ชั้นประถม เธอก็ยิ้มแล้วกล่าว “พวกเรามาถกปัญหากัน”
ทุกคนยินดีสุดๆ รีบขอบคุณสวี่จือจือ “บ้านเธอกับบ้านอันฉินอยู่ติดกัน ต่อไปเจอหล่อนต้องระวัง ถ้าไม่ไหวก็ะโเรียก ถ้าใครเจอจะรีบไปช่วยแน่นอน”
“ขอบคุณทุกคน” สวี่จือจือกล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณ “พวกนายเองก็ต้องระวัง ถ้าหล่อนกลับมารับของ อย่าพูดอะไรกับหล่อนมาก”
แม่มันเถอะ แค่ท้องปุ๊บก็เหมือนได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มาไว้ในมือ ความรู้สึกแบบนี้มันน่าหงุดหงิดจริงๆ
เมื่อกลับถึงบ้าน สวี่จือจือเรียกพวกลู่จิ่งซานเข้ามาในห้อง แล้วเล่าเื่ที่ศูนย์ยุวปัญญาชนอย่างจริงจัง
ถ้าก่อนหน้านี้เธอยังแค่สงสัย และพูดคำพูดนั้นเพื่อลองหยั่งเชิงอันฉิน แต่ตอนนี้เธอมั่นใจและแน่ใจแล้วว่า อันฉินไม่อยากให้กำเนิดลูกในท้อง และยังหาคนมาเป็แพะรับบาป
ตัวเลือกที่ดีที่สุดเดิมทีคือสวี่จือจือ แต่เธอฉลาดเกินไป
สวี่จือจือสงสัยว่าอันฉินอาจจะหันไปเล็งคนอื่นในบ้าน “โดยเฉพาะพวกคุณสองคน ่นี้ถ้าไม่มีอะไรอย่าออกไปข้างนอก ถ้าเจออันฉินให้รีบหลบไปไกลๆ”
“และนายด้วย” เห็นลู่จิ่งเหนียนเดินเข้ามาจากข้างนอก สวี่จือจือเรียกเขาไว้ แล้วกำชับอย่างละเอียด “ระวังตัวหน่อยนะ”
“พี่สะใภ้สาม วางใจเถอะ ผมไม่โดนแน่”
“พูดง่ายดี” ลู่ซือหยวนเบ้ปาก แล้วพูดแทงใจดำน้องชายของตัวเอง “ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะจือจือ แกคงถูกหล่อนหลอกไปแล้ว”
เหตุการณ์ในวันนั้นที่ข้างทุ่งนา เธอยังไม่ลืม
ลู่จิ่งเหนียน “...”
ต้องตบหน้าแบบนี้เลยเหรอ
“หรือว่า” เมื่อคนอื่นออกไปแล้ว ลู่จิ่งซานถึงพูดกับสวี่จือจือ “ผมหาวิธีให้พวกเขาย้ายออกไปดี?”
อยู่ข้างๆ กันมันน่ารำคาญเกินไป
“จะมีวิธีอะไร?” สวี่จือจือทรุดตัวนั่งข้างเตียง “ยังไงก็เหลือไม่กี่วันกว่าจะถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าอันฉินอยากสอบ หล่อนจะต้องหาทางกำจัดลูกในท้องใน่นี้”
“คุณว่าทำไมจิตใจคนถึงได้โหดร้ายขนาดนี้?”
มันคือเืเนื้อเชื้อไขของอีกฝ่าย เป็ชีวิตหนึ่งเลยนะ อีกฝ่ายต้องจิตใจอำมหิตแค่ไหนถึงทำแบบนี้กับตัวเองได้?
“อย่าคิดมากเลย” ลู่จิ่งซานกล่าว “่นี้พวกคุณตั้งใจทบทวนที่บ้าน มีอะไรให้ผมจัดการ”
“ถ้าคุณต้องออกไปข้างนอก ก็ระวังตัวด้วยนะ” สวี่จือจือกล่าว “อยู่ห่างจากตัวปัญหานี่หน่อย”
“วางใจเถอะ” ลู่จิ่งซานยิ้มบางๆ “ถ้าเื่แค่นี้ผมยังจัดการไม่ได้ ผมก็ไม่ใช่ลู่จิ่งซานแล้ว”
ฟังน้ำเสียงสิ สวี่จือจือยิ้มแล้วยกนิ้วโป้ง “สุดยอด!”
สมกับเป็ลู่จิ่งซานจริงๆ
เมื่ออันฉินออกจากบ้านอีกครั้ง เธอบังเอิญเจอลู่จิ่งซานเข็นรถเข็นออกมาเอง
แสงพระอาทิตย์ยามเย็นเหมือนฉาบทองคำลงบนตัวเขา อันฉินอดเสียดายไม่ได้ ถ้าขาของคนคนนี้ไม่เป็อะไร เขาจะต้องสง่างามขนาดไหนกัน?
น่าเสียดาย
เพียงแต่…สายตาของอันฉินแอบสำรวจเขาอย่างเงียบๆ ได้ยินว่าคนคนนั้นกับตระกูลลู่มีความแค้นต่อกัน ถ้าลูกในท้องของเธอถูกทำให้แท้งโดยลู่จิ่งซาน เขาจะต้องจัดการตระกูลลู่แน่
ยังไงลู่จิ่งซานก็นั่งรถเข็น กลายเป็คนพิการไปแล้ว
ถ้าตระกูลลู่ล่มจม สวี่จือจือจะมีชีวิตที่ดีได้ยังไง?
ขณะที่อันฉินกำลังคิดอยู่ในใจ จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ เป็เสียงของลู่จิ่งซาน
ดวงตาลุ่มลึกที่ทำให้คนไม่กล้าสบตาของเขาจ้องมองอันฉินอย่างเฉียบคม ราวกับมองทะลุถึงหัวใจ
น้ำเสียงเ็าของชายหนุ่มดังมา “อันฉิน เธอกำลังคิดอยู่ใช่ไหมว่าจะใช้ลูกในท้องใส่ร้ายฉัน เพราะยังไงฉันก็เป็แค่คนพิการ?”
อันฉินเบิกตากว้าง แต่กลับได้ยินลู่จิ่งซานพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน “รู้ไหมว่าทำไมโจวเป่าเฉิงถึงกลายเป็แบบนั้น?”
“หรือเธอคิดว่าเพราะฉันไม่เคยตอบโต้ที่เธอมีปัญหากับภรรยาฉัน แล้วฉันจะเป็คนที่รังแกง่ายงั้นเหรอ?”
อันฉินชะงักไป เธอไม่รู้จะพูดอะไร ความน่าเกรงขามของชายหนุ่มทำให้เธออยากวิ่งหนีโดยสัญชาตญาณ
แต่ตอนนั้นเอง เขาก็ยิ้มแล้วกล่าว “ถ้าท้องของเธอเกิดอะไรขึ้นแล้วโยงมาถึงฉันหรือครอบครัวของฉัน ฉันจะส่งเธอไปโรงพยาบาลในเมืองฉิน”
อันฉินไม่เข้าใจความหมายของเขา
เขาพูดต่อ “ตอนนี้มีเทคโนโลยีที่ตรวจได้ว่าใครคือพ่อของเด็ก เธออยากลองดูไหม?”
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ไร้รอยยิ้ม แต่ในหูอันฉินเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
ลู่จิ่งซานมองออกถึงแผนในใจเธอนั้นไม่แปลก แต่เขากลับมองทะลุทุกอย่างของเธอ!
เขารู้เื่นี้ด้วย!
อันฉินมองลู่จิ่งซานด้วยความหวาดกลัว จนถึงตอนนี้ เธอถึงเข้าใจว่าทำไมโจวเป่าเฉิงถึงกลัวเมื่อพูดถึงชื่อของคนคนนี้!
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยรู้สึกอะไร โดยเฉพาะหลังจากลู่จิ่งซานกลายเป็คนพิการ เธอยิ่งไม่เห็นเขาในสายตา
แต่ทุกครั้งที่โจวเป่าเฉิงเจอลู่จิ่งซาน ก็ไม่ต่างอะไรจากหนูเจอแมว
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
.............................