“ใครวะ!?”
“หยางเฉิน!?”
หยูฮุยและจ้าวหงเยี่ยนหันไปมองหยางเฉิน
การปรากฏตัวของเขาทำให้บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน!
“เป็แกนี่เอง?”
หยูฮุยจำได้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะร่วมกับจ้าวหงเยี่ยนและเพื่อนๆ
การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของหยางเฉินทำให้เขาร้อนรุ่มขึ้นมาแต่เขาก็กลับมาสุขุมได้ในทันที
จ้าวหงเยี่ยนพบว่าหยูฮุยไม่ได้ให้ความสนใจที่เธออีกต่อไปดังนั้นเธอจึงวิ่งไปหลบด้านหลังของหยางเฉิน
“แกแอบฟังเราคุยกันงั้นเหรอ?”หยูฮุยมองจิกไปที่หยางเฉินด้วยสายตาเ็า
“ก็เสียงนายดังซะขนาดนั้นฉันไม่ได้ชอบแอบฟังคนพูดนักหรอกนะ” หยางเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
หยูฮุยมองแรงไปที่หยางเฉินเขารู้ว่าแผนพังลงแล้วหลังจากนี้เขาไม่สามารถทำอะไรจ้าวหงเยี่ยนอีกได้แล้วในตอนนี้
ความโกรธในใจเขาพุ่งทะยานถึง์เขามองไปที่จ้าวหงเยี่ยนอย่างล้ำลึก และก่อนจะเดินออกจากลานจอดรถไป
ในที่สุดจ้าวหงเยี่ยนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเธอเงยหน้ามองหยางเฉิน และปั้นหน้ายิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณนะ”
“ให้ผมไปส่งคุณที่บ้านได้มั้ย?” หยางเฉินรู้สึกว่าจะมีเื่อีกหากเธอยังคงอยู่ที่นี่และดื่มต่อและมันจะเป็แค่การทรมานตัวเองเปล่าๆ
จ้าวหงเยี่ยนส่ายหน้า“ไม่จำเป็หรอกฉันจะนั่งรถแท็กซี่กลับ ฉัน้าอยู่คนเดียว”
หยางเฉินพยักหน้า
แม้ว่าเขาจะพอเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวของจ้าวหงเยี่ยนบ้างแล้วแต่เขาเป็เพียงเพื่อนร่วมงานของเธอเขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ในครอบครัวของเธอ
"อย่าทำอะไรโง่ๆนะ ทุกอย่างมีทางออกเสมอ" หยางเฉินแนะนำด้วยความกังวล
ดวงตาของจ้าวหงเยี่ยนแดงระเรื่อเธอััถึงความจริงใจในของคำพูดหยางเฉิน “อย่ากังวลไปเลยฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันคิดว่าฉันผ่านมาหลายสิ่งหลายอย่างแล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไปล่ะ… ลาก่อน...”
“ลาก่อน”
หยางเฉินมองดูจ้าวหงเยี่ยนมุ่งหน้าเดินไปที่ลานจอดรถตามลำพัง
เขามองไปที่แผ่นหลังของเธอด้วยสายตาเห็นใจทุกบ้านทุกครอบครัวต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเทียบกับจ้าวหงเยี่ยนแล้ว
การแต่งงานระหว่างหลินรั่วซีและเขาดูเล็กน้อยไปเลย
เขาคิดถึงคำที่ตาแก่เคยพูดไว้ชีวิตมันก็บัดซบอย่างนี้แหละ เราไม่สามารถต่อต้านมันได้ แต่สามารถสนุกไปกับมันได้
หลังจากที่ส่งจ้าวหงเยี่ยนจากไปหยางเฉินกลับไปที่บลูเบอร์รี่บาร์
หลิวิอวี้และผู้หญิงคนอื่นๆต่างดื่มกันใกล้เสร็จแล้ว พวกเธอต่างมีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เมื่อเห็นหยางเฉินเดินกลับมาโดยไม่มีจ้าวหงเยี่ยนตามมาด้วย
หลิวิอวี้จึงเอ่ยถามเสียงเครียดทันที“หงเยี่ยนไปไหนซะแล้วล่ะ”
“อ้าเธอกลับไปแล้ว เห็นว่ามีธุระด่วนเข้ามาน่ะ ”
หลิวิอวี้คิดสักพักก่อนจะถามออกไปว่า“มีเื่ด่วนอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
หยางเฉินหยิบแก้วที่ยังดื่มไม่หมดขึ้นมาแล้วยกไปตรงหน้าเพื่อนร่วมงานของเขา
“มา…หมดแก้วกัน และขออวยพรให้หัวหน้าหลิวการงานราบรื่น”
“ชน!”สาวๆ ต่างชนแก้วพร้อมเสียงหัวเราะอันสดใส
ตอนแรกหยางเฉินยังกังวลว่าพวกสาวๆอาจเกิดอุบัติเหตุได้หากขับรถกลับ
แต่ตรงกันข้ามกับที่เขาคาดทันทีที่เหล่าสาวๆ เดินออกจากบาร์ พวกเธอปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็ปกติ และกล่าวลาหยางเฉินเหมือนคนไม่เคยดื่มมาก่อน
หยางเฉินตกตะลึงไปในทันทีจางไช่สังเกตเห็น ดังนั้นเธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจว่า
“มีอะไรน่าประหลาดอย่างนั้นเหรอ? อย่าลืมสิว่าเราทำงานอะไรคนที่ทำงานด้านประชาสัมพันธ์จะดื่มไม่เป็ได้ยังไง จริงมั้ย!? ถ้าเราไม่สามารถขับรถกลับได้หลังจากดื่มกับลูกค้าแล้วเราก็ไม่ควรอยู่ดื่มต่อ!”
หยางเฉินรู้สึกละอายใจเหมือนเขาไม่เคยจริงจังกับการทำงานที่นี่เลย และลืมไปจริงๆว่างานของเพื่อนร่วมงานเขาคืออะไร เมื่อหยางเฉินขับรถกลับหมู่บ้านสวนัเขาสังเกตเห็นแสงไฟที่พื้นวันนี้สว่างกว่าปกติ
สิ่งที่ทำให้หยางเฉินประหลาดใจคือรถที่จอดอยู่หน้าประตูไม่ใช่รถของหลินรั่วซีมันเป็รถสีดำ สัญชาติญี่ปุ่น ผลิตโดย Acura MDX
อาจจะเป็ญาติสักคนของหลินรั่วซีมาหา?ฉันควรจะเข้าไปในบ้านมั้ย?
เมื่อคิดไปสักพักหยางเฉินก็โยนคำถามเ่าั้ทิ้ง เขาไม่ใช่คนที่จะมาสนใจเื่ยิบย่อยพวกนี้ดังนั้นเมื่อเปิดประตูเข้าไปช้าๆ เขาก็พบว่า จริงๆแล้วมีแขกมาซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
เขาไม่ใช่คนแก่อย่างที่หยางเฉินจินตนาการไว้แต่เป็คนหนุ่มในเสื้อเชิ้ตเวอร์ซาเชสีฟ้า
เขาดูสะอาดตาและผมสั้นใบหน้าคมได้รูป จมูกโด่งเป็สันและสูงไม่ต่ำกว่า 1.8เมตร มีผิวดูสุขภาพดี เขานั่งอยู่ที่โซฟา ใบหน้ามองตรงนั่งด้วยท่าทางสงบและสำรวม ด้วยท่าทางทั้งหมดนี้ทำให้คาดเดาอายุได้ยาก
ในขณะนั้นหลินรั่วซีนั่งอยู่ที่อีกโซฟาหนึ่ง หันออก 90 องศาจากชายคนนั้น
บนโต๊ะรับแขกมีชาเขียวร้อนอยู่และดูเหมือนพวกเขากำลังคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ เมื่อเห็นหยางเฉินเดินเข้ามาในบ้านชายในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเผยรอยยิ้มสุภาพและลุกขึ้นยืนพยักหน้าให้กับหยางเฉิน
เห็นดังนั้นหยางเฉินจึงส่งยิ้มกลับไป พร้อมเอ่ยถาม หลินรั่วซีที่นั่งเงียบอยู่ว่า
“คนนี้คือ?”
โดยไม่รอให้หลินรั่วซีแนะนำชายคนนั้นกล่าวออกมาด้วยเสียงชัดเจน
“ผมชื่อเฉิงซินหลินผมเป็เพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกับรั่วซี ไม่ทราบว่าคุณเป็ใครหรือครับ?
ดี!เข้ามาบ้านของฉัน แล้วถามว่าฉันเป็ใคร !
หยางเฉินสังเกตว่าชายคนนี้ไม่ได้เป็มิตรอย่างที่เขาแสดงออกมาเขาล้วงกุญแจบ้านออกมาพลางกล่าวว่า
“ผู้ชายที่ถือกุญแจต่างๆของบ้าน คุณคิดว่าคนที่คุยกับคุณอยู่เขาเป็ใครล่ะ?”
เฉิงซินหลินแสดงท่าทางเข้าใจออกมา “เป็ไปได้มั้ยว่าคุณจะเป็พี่ชายหรือน้องชายของรั่วซี?ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผมไม่เคยเจอคุณมาก่อน”
หยางเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปที่ท่าทางและหน้าตาขี้เก๊กของเฉิงซินหลิน หยางเฉินเข้าใจในที่สุดว่าผู้ชายตรงหน้าก็หน้าด้านไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน
ในเวลานี้หลินรั่วซีมองหยางเฉินอย่างใส่ใจ และตอบเฉิงซินหลินไปว่า “รุ่นพี่ค่ะคนนี้คือสามีของฉัน ชื่อ หยางเฉิน”
ท่าทางของเฉิงซินหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่เขาก็กลบเกลื่อนมันอย่างใจเย็นและยิ้มออกมา พูดว่า
“โอ้...สามีของรั่วซี เธอนี้ก็เหลือเกินจริงๆทำไมไม่เคยบอกฉันเลยล่ะว่าเธอแต่งงานแล้ว? เธอตัดสินใจโดยไม่รอให้ฉันกลับมาก่อนและยังไม่ยอมให้โอกาสฉันไปร่วมยินดีในงานแต่งของเธออีกงั้นหรือ"
หลินรั่วซีรู้สึกผิดเล็กน้อย“ขอโทษค่ะพวกเราเพิ่งแต่งงานงานได้ไม่นาน ก็เลยยังไม่มีโอกาสบอก เราแค่จดทะเบียนกันและยังไม่ได้จัดพิธีอะไร เมื่อถึงเวลาเราจะส่งการ์ดเชิญรุ่นพี่นะคะ”
“ยังไม่ได้จัดงานแต่งอย่างนั้นเหรอ?”
ััได้ถึงพลังงานบางอย่างในสายตาของเฉิงซินหลินด้วยท่าทางสนิทสนม เขากวาดสายตามองหยางเฉินและหลินรั่วซี พร้อมพูดขึ้นว่า
“ก็ดีอย่าลืมโทรบอกฉันนะ ฉันจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้รอหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ไม่ใช่ธรรมดาๆ นะ”
เมื่อหยางเฉินได้ยินอย่างนั้นเขารู้สึกอึดอัดภายในใจเล็กน้อย ทำไมชายคนนี้จะมาร่วมงานแต่ง?และยังบอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดาอีก?
เมื่อเข้าใจแล้วว่าชายคนนี้เป็คู่แข่งอีกคนในเื่ความรักหยางเฉินก็ไม่จำเป็สุภาพอีกต่อไป
เขาเดินเข้าไปด้านข้างของหลินรั่วซีและนั่งลงข้างๆเธอบนโซฟาเดียวกัน โซฟายวบอยู่หลายครั้งก่อนจะเข้าที่
หลินรั่วซีขมวดคิ้วเธอไม่เคยชินกับการที่หยางเฉินเข้ามาใกล้เธอนี้เป็สาเหตุที่เธอเขยิบตัวออกจากหยางเฉิน
รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ไม่พลาดไปจากสายตาของเฉิงซิงหลินและมีแสงแห่งความหวังในตาของเขา เขาดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก และท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายขึ้น
“คุณหยางมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”เฉิงซินหลินถามด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ดูเป็กันเอง
หยางเฉินเทน้ำลงไปที่แก้วของตัวเองแล้วดื่มไปคำหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกผมก็แค่ทำงานแบบขอไปทีในบริษัทที่ภรรยาของผมบริหาร ก็แค่นั้น”
การแสดงออกของเฉิงซินหลินกลับมามั่นใจมากขึ้นเขาพูดพร้อมรอยยิ้ม
“นั้นก็ดีเหมือนกันผมก็หวังว่าผมจะสามารถทำงานในที่ที่สามารถมองเห็นรั่วซีได้ทุกวัน คิดกลับไปแล้ว่เวลาในมหาวิทยาลัยที่ผมสามารถมองเห็นรั้วซีได้ตลอดมันเป็ความทรงจำที่ลืมได้ยากจริงๆ”
หลินรั่วซีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเธอยกถ้วยชาขึ้นมาและจิบเงียบๆ ไม่พูดอะไร
ไม่ว่าตัวตนของหยางเฉินจะเป็มาอย่างไรแต่เขาก็ยังคงอิจฉาเล็กๆ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เมื่อคิดดูดีๆแล้วผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ชิดรั่วซีั้แ่มหาวิทยาลัยและดูเหมือนจะตามมาคุกคามมากกว่าซูจื้อหงเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเฉิงซินหลินไม่ได้คิดเปิดศึกจู่โจมเขาเขาก็ไม่สามารถตามตอแยเฉิงซินหลินได้ เขาแค่ดื่มน้ำในแก้วตัวเองเงียบๆ และฟัง 2คนนี้คุยกัน
เฉิงซินหลินเลิกทำตัวเงียบขรึมและไม่มองไปที่หยางเฉินอีก เขาพูดด้วยน้ำเสียงคิดถึงว่า
“แต่ก่อนตอนที่เรายังเป็นักศึกษากันอยู่อาจารย์อยากให้ฉันเป็ผู้ช่วยสอนในชั้นเรียนของเธอสิ่งแรกที่ฉันสังเกตเมื่อเดินเข้ามาในตึกเลคเชอร์คือ รั่วซีกำลังอ่านหนังสืออยู่ฉันอยากรู้มากว่าทำไมนักเรียนหญิงคนนี้ถึงกำลังอ่านหนังสือเรียนของปริญญาโทที่พวกฉันเรียนกันอยู่หลังจากนั้น ฉันก็ได้พูดคุยกับรั่วซี และตอนนั้นเหมือนฉันได้พบกับคู่ชีวิตนี้คือที่มาของความทรงจำในมหาวิทยาลัย่เวลา 2ปีที่งดงาม และตอนนี้ฉันก็คิดถึงมันฉันเชื่อว่ามันอาจจะเป็จริงขึ้นมา”
“รุ่นพี่อะไรที่เป็อดีตก็ให้มันเป็อดีตไป อย่าพูดถึงมันอีกเลยก่อนหน้านี้ไม่ใช่พี่หรอกเหรอ ที่พูดว่าจะกลับมาจงไห่เพื่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้น?”
แม้ว่าหลินรั่วซีจะไม่รู้สึกแต่เธอก็ััได้ถึงความรู้สึกอันไม่ปกติ เธอจึงต้องทำใจเย็นแล้วเปลี่ยนเื่คุย
เฉิงซินหลินยิ้มอย่างใจเย็นพูดว่า “นั่นก็ใช่แม้ว่าพวกผู้ใหญ่จะ้าให้ฉันเข้าไปบริหารธุรกิจครอบครัวที่เยี่ยนจิง
ฉันวางแผนที่จะเริ่มต้นบริษัทสื่อและบันเทิงพอพูดถึงมันแล้วมันค่อนข้างใกล้เคียงกับธุรกิจแฟชั่นที่อวี้เหล่ยอยู่เหมือนกันเมื่อเวลานั้นมาถึงเธอก็อย่าลืมเข้ามาช่วยฉันด้วยล่ะ?”
“รุ่นพี่ฉลาดมากกว่าฉันพี่สามารถทำมันออกมาได้ดีแน่นอน” หลินรั่วซีวางตัวชัดเจนและพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“อาจจะไม่เป็อย่างนั้นนะ3 ปีก่อนเธอลาออกจากโรงเรียนแล้วมาเป็ผู้บริหารของอวี้เหล่ย ไม่ว่าด้วยวิธีการไหนก็ตามเธอก็ก้าวมาถูกแล้วในธุรกิจนี้ สำหรับฉันฉันถูกบังคับให้เข้ารับราชการทหารโดยตาแก่ เพราะเื่นี้ฉันจึงทำผลงานที่ดีอะไรออกมาไม่ได้เลยใน่ที่ 3ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ฉันทำมีแค่ดูแลปืนกลกับปืนใหญ่เท่านั้นทุกอย่างที่ได้เรียนมาในอดีตถูกลืมไปหมดแล้ว”เฉิงซินหลินพูดด้วยความอาลัย
หลินรั่วซีนึกขึ้นได้“ในตอนนั้นฉันได้ยินจากนักเรียนบางคนอยู่ว่า พี่ไปรับใช้ชาติ แม้ว่าฉันจะไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ว่าคุณจะไปจริงๆ”
เฉิงซินหลินกลับมานึกถึงอดีตเขาชำเลืองตาและใบหน้าของตนเองนั้นทำให้รูปลักษณ์ความเป็ลูกผู้ชายของเขาถูกยกระดับความมีเสน่ห์ไปอีกขั้น
“รั่วซีเธอคงคิดไม่ถึง แม้ว่าประเทศของเราจะดูสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองแต่พรมแดนเราไม่เคยปลอดภัยเลย ฉันพูดได้เลยว่าใน่เวลา 3ปีที่ฉันใช้เวลาในตะวันตกเฉียงใต้ มีไม่น้อยกว่า 600วันที่ต้องเจอกับการต่อสู้ข้ามพรมแดนมันยากที่จะพูดว่ามีกี่คนที่ตายไป แต่การโดนะุคนละนัด 2นัด เป็เื่ธรรมดาที่สนามรบเต็มไปด้วยฝุ่นควัน"
สำหรับหลินรั่วซีที่อยู่ในเมืองมาั้แ่เด็กเื่เล่าแบบนี้ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่รู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างยิ่ง แม้ว่ารั่วซีผู้เ็าจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้แต่เธอก็ถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“รุ่นพี่ที่นั่นมันวุ่นวายมากเลยใช่มั้ย? แล้วพี่ยังจะกลับไปอีกหรือเปล่า?”
หยางเฉินที่นั่งอยู่ข้างหลินรั่วซีประหลาดใจที่พบว่าหลินรั่วซีสนใจในสิ่งเหล่านี้
เขาทำอะไรไม่ได้ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ อย่างขมขื่น อะไรคือสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเื่ที่เกิดขึ้น?
เมื่อเขาคิดถึงหลายสิ่งเกี่ยวกับาหยางเฉินรู้สึกกระวนกระวายอยู่ภายใน ทำให้เขารู้สึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา
แต่ไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าบุหรี่ในกระเป๋าของเขาหมดไปนานแล้วเขายังคงนั่งอยู่ไม่สุขบนโซฟาและฟังเฉิงซินหลินเล่าเื่ต่อไป