เวลาเลยผ่านมาครึ่งค่อนคืนแล้วแสงริบหรี่จากดวงดาวส่องผ่านกระดาษที่หน้าต่างแล้วส่องเข้ามาภายในห้องที่ไม่นับว่าใหญ่อะไร
ซูฉางอันใช้แขนรองหัวขณะนอนอยู่บนเตียงแม้ความมืดจะทำให้มองเห็นร่างบนเตียงได้เพียงเลือนรางแต่ดวงตาของเขาในตอนนี้กลับสว่างไสวเป็อย่างมาก ซูฉางอันกำลังคิดเื่สำคัญบางอย่างอยู่นั่นเอง
กู่เซี่ยนจวินทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเหลือเกินกู่หนิงกับคนอื่นๆ ไม่ได้พูดถึงเื่ของเขาโยวหยุนอีกเลยเห็นได้ชัดว่าทักษะลบความทรงจำของวู๋ถงได้ผลแต่ทำไมถึงคล้ายว่ามันจะไม่มีผลกับกู่เซี่ยนจวินเอาเสียเลยซูฉางอันมีความรู้สึกบางอย่าง เขารู้สึกว่ากู่เซี่ยนจวินต้องรู้อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นแน่
และสิ่งที่ทำให้ซูฉางอันรู้สึกกังวลใจมากที่สุดก็คือดูเหมือนเทียนจ้าว ครึ่งเทพคนนั้นจะเดินทางมาหากู่เซี่ยนจวินโดยเฉพาะเด็กรุ่นหลังของจิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่ กู่เซี่ยนจวินคนนี้ต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆส่วนเื่ที่ว่าความลับนั้นคืออะไรกันแน่ ในตอนนี้ซูฉางอันก็ยังไม่รู้เหมือนกันแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ นั่นก็คือความลับของนางต้องมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าเทพอย่างแน่นอน
นี่เป็ทั้งหมดที่เขารู้ในตอนนี้และเขาก็ไม่เชื่อว่าอาจารย์อวี้เหิงจะไม่รู้เื่นี้ แต่ถึงกระนั้นอวี้เหิงก็ยังรับกู่เซี่ยนจวินเข้าสำนักเทียนหลานอยู่ดีเื่นี้ต้องมีความหมายบางอย่างแน่ แต่เขาก็คิดหาคำตอบไม่ได้เสียที
ซูฉางอันเอื้อมจับไปที่หน้าท้องของตัวเองอย่างลืมตัวเขารับรู้ได้ถึงโลหิตเทพที่แฝงอยู่ภายในร่างอย่างชัดเจน ในหอหมู่ตันเพราะความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นในจิตใจ เืโลหิตจึงเกือบจะหลุดออกมาได้นั่นทำให้ซูฉางอันรู้สึกหวาดกลัวเป็อย่างมาก มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ในร่างของเขาสัตว์ประหลาดที่สามารถกลืนกินโลกทั้งใบได้... เพราะเ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ เขาจึงปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเื่นี้และในตอนนี้กู่เซี่ยนจวินก็เป็คนที่มีความเป็ไปได้ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโลหิตเทพมากที่สุดแล้ว
หลังคิดอยู่นานในที่สุดความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาหา วันนี้ไม่ได้เป็วันที่ผ่อนคลายสำหรับเขาเลยในการปะทะกับประมุขแห่งหอหมู่ตันที่ผ่านมาทำให้พลังิญญาที่อ่อนแอและมีอยู่น้อยนิดของเขาหมดลงอย่างสิ้นเชิง และในตอนนี้เขาก็ทานทนต่อความง่วงที่โหมเข้ามาไม่ไหวอีกต่อไป ซูฉางอันค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆก่อนจะจมเข้าสู่นิทราในที่สุด
ทันทีที่แสงแรกของอรุณสาดส่องลงมาซูฉางอันก็ตื่นนอนทันที เขาล้างหน้า แต่งตัว และดันประตูออกไปเหมือนทุกๆ วัน
ยามเช้าของเดือนสามภายในสำนักเทียนหลาน พืชพรรณเติบใหญ่ นกน้อยบินวนต้นหญ้าเปลี่ยนให้พื้นดินกลายเป็สีเขียวไปหมด มันเป็ภาพที่งดงามเหลือเกินอย่างน้อยซูฉางอันที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางเหมินมานานถึงสิบหกปีเต็มๆก็ยังไม่เคยเห็นภาพที่งดงามมากเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ซูฉางอันก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองอีกครั้งเตรียมจะออกไปกินมื้อเช้าเสียหน่อย
เมื่อวานนี้ เขาค้างขาดเรียนกับฉู่ซีฟงมาทั้งวันแล้วซูฉางอันไม่อยากให้เกิดเื่อะไรขึ้นอีกครั้งในวันนี้เลยหากทำให้ฉู่ซีฟงไม่พอใจขึ้นมาล่ะก็... ดังนั้น เขาจึงตื่นเช้ากว่าปกติอยู่โข
ทว่าเมื่อเดินผ่านมุมอาคารเพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูสำนักจู่ๆ อารมณ์ดีๆ ของเขาก็สลายหายไปจนหมดสิ้น
เพราะเขาได้พบกับใครคนหนึ่งนางอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว ในมือถืออาหารเช้า เพราะเหตุผลบางอย่างใบหน้าที่งดงามมากอยู่แล้ว วันนี้กลับมีเครื่องสำอางบางๆ แต้มอยู่นางยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างสงบ ขณะที่สายตาก็ถูกมองตรงมาที่ซูฉางอันดูจากท่าทางดูเหมือนนางจะมายืนรอได้สักพักแล้ว
ในตอนนั้นเองที่ซูฉางอันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ากู่เซี่ยนจวินเข้ามาพักอาศัยอยู่ในสำนักเทียนหลานเป็ที่เรียบร้อยแล้วเขาคิดจะหมุนตัวแล้ววิ่งหนีออกไปตามที่สัญชาตญาณสั่งแต่ก็รู้สึกว่าการกระทำนั้นย่อมดูไม่เหมาะสมเป็แน่จึงได้แต่ลูบจมูกตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก พลางกล่าวขึ้น “กู่โหวเย อรุณสวัสดิ์”
“ทำไมถึงเรียกข้าว่าโหวเยอีกแล้วล่ะ! ” กู่เซี่ยนจวินดุเสียงแหลมด้วยคิ้วขมวดมุ่น
ซูฉางอันชะงักนิ่งไป เป็เวลานานกว่าเขาจะพูดขึ้นอีกครั้งอย่างตะกุกตะกัก “เซี่ยน...เซี่ยนจวินอรุณสวัสดิ์”
“แบบนี้ค่อยว่าไปอย่าง” ดูเหมือนกู่เซี่ยนจวินจะพึงพอใจกับการเรียกขานเช่นนี้มากนางส่งยิ้มหวานไปให้ซูฉางอัน จากนั้นก็ยื่นของในมือไปให้
“ข้าให้” นางพูดเช่นนั้น น้ำเสียงของนางใสแจ๋วไม่ต่างไปจากสายลมในเดือนสามเลย
ซูฉางอันยังไม่เข้าใจความหมายที่นาง้าจะสื่อในทันทีเขาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แล้วถามขึ้น “ให้ข้ารึ?”
“ก็ใช่น่ะสิข้าเห็นว่าเมื่อวานนี้คุณชายซูไปที่หอหมู่ตันมาทั้งยังพายอดบุปผาที่งดงามเช่นแม่นางฝานกลับมาด้วย ต้องเหนื่อยมากแน่ๆข้าเลยซื้อมื้อเช้ามาให้น่ะ” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้กู่เซี่ยนจวินก็ชายตามองซูฉางอันอย่างเขินอายเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงต่ำในที่สุด
ซูฉางอันรับอาหารเช้าเ่าั้มาจากนางเขาอยากจะบอกขอบคุณออกไป แต่ก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ ทันใดนั้นเขาก็หน้าแดงขึ้นมาทันที จากนั้นจึงรีบพูดอธิบายออกไปอย่างเร่งด่วน “ไม่ใช่นะ... ไม่ใช่แบบที่เ้าคิดเมื่อวานนี้ ข้าเพียงแค่... แค่เข้าไปในหอหมู่ตันโดยบังเอิญเท่านั้น หลังเข้าไปข้าก็แค่กินอาหารกับเหล้าในนั้นเท่านั้น ส่วนเื่อื่น... ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยส่วนที่พาแม่นางฝานกลับมาด้วย ก็เพราะรู้สึกสงสารนาง แล้วก็... ข้าไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลยด้วย”
ระหว่างที่เขากล่าวอธิบายกู่เซี่ยนจวินก็เพ่งดวงตากลมโตที่เปล่งประกายระยิบระยับคู่นั้นมาที่เขาอย่างไม่คลาดสายตาทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุเสียงที่พูดออกมาจึงพลอยตะกุกตะกักไปด้วย
“จริงรึ?” หลังได้ฟังคำอธิบายจากซูฉางอันกู่เซี่ยนจวินกลับยังทำท่าราวไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่จึงถามย้ำด้วยน้ำเสียงระคนสงสัยอีกครั้ง
“ย่อมเป็เื่จริงอยู่แล้ว” ซูฉางอันพยักหน้า
“แต่แม่นางฝานมีรูปโฉมงดงามถึงเพียงนั้นแล้วคุณชายซูก็ยังช่วยนางเอาไว้อีก หากอยากจะทำอะไรจริงๆ นางก็คงไม่กล้าปฏิเสธหรอกคุณชายซูไม่อยากทำอะไรนางเลยรึ?” กู่เซี่ยนจวินถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่อยากอยู่แล้วข้าเพียงเห็นว่านางน่าสงสาร จึงอยากจะให้ความช่วยเหลือกับนางเท่านั้น”
ครั้งนี้ดูเหมือนกู่เซี่ยนจวินจะได้คำตอบที่้าแล้ว นางกล่าวระคนหัวเราะขึ้น “ข้ารู้อยู่แล้วว่าคุณชายซูต้องไม่ใช่คนแบบนั้นแน่”
ซูฉางอันชะงักนิ่งไป จู่ๆเขาก็ตระหนักได้ว่าตนไม่จำเป็ต้องอธิบายกับนางให้มากความเลยสักนิดเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หน้าแดงขึ้นอย่างไม่อาจหักห้าม
“คุณชายซู ทำไมท่านถึงหน้าแดงแบบนั้นล่ะไม่สบายรึ ข้าช่วยตรวจให้เอาไหม?” ดูเหมือนกู่เซี่ยนจวินจงใจจะพูดแกล้งแหย่เขานางยกแขนขึ้น กำลังจะเอื้อมไปแตะหน้าผากของซูฉางอัน
กลิ่นละมุนที่น่าหลงใหลกระจายออกมาจากร่างของกู่เซี่ยนจวินมันทำให้ซูฉางอันหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เขายืนร่างแข็งทื่ออยู่กับที่เมื่อมองไปยังมือของกู่เซี่ยจวินที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆเขาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ฉางอัน!ซูฉางอัน!” ในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น
ซูฉางอันได้สติกลับมาในที่สุดเขาเบี่ยงหลบมือของกู่เซี่ยนจวินรู้สึกไม่อยากให้เซี่ยโหวฟ่งอวี้มาเห็นท่าทางสนิทสนมระหว่างตนกับกู่เซี่ยนจวินเอาเสียเลย
“เ้ามาทำอะไรที่นี่” เพียงครู่เดียวเซี่ยโฟวฟ่งอวี้ก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซูฉางอันเสียแล้วนางมองไปยังกู่เซี่ยนจวินที่อยู่ข้างกัน แล้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจ
“จะทำอะไรล่ะก็มาส่งอาหารเช้าให้คุณชายซูน่ะสิ” การปรากฏกายอย่างกะทันหันของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ไม่ได้ทำให้สีหน้าของกู่เซี่ยนจวินเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยนางยังคงแลดูยั่วยวนและทรงเสน่ห์มากเหลือเกิน
ในตอนนั้นเอง ที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้สังเกตเห็นอาหารเช้าในมือซูฉางอันนางขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่พูดเถียงกับกู่เซี่ยนจวินให้เสียเวลารีบหันกลับไปบอกกับซูฉางอัน ศิษย์น้องของตน “ท่านปู่อวี้เหิงเรียกให้เ้าไปหายังมัวทำอะไรอยู่อีก เมื่อครู่ท่านปู่ก็เพิ่งเรียกแม่นางฝานหรูเยว่ไปพบข้าว่าเขาต้องลงโทษเ้าเื่เมื่อวานแน่”
ซูฉางอันกำลังหาทางสลัดตัวออกจากกู่เซี่ยนจวินอยู่เลยเขารีบขานรับ แล้วกล่าวร่ำลากับกู่เซี่ยนจวิน จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปทันที
หญิงทั้งสองมองตามร่างของซูฉางอันจนเมื่อมั่นใจว่าเขาไม่ได้ยินเสียงพูดของตนแล้ว พวกนางจึงหันไปมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงพลันสีหน้าของทั้งคู่ก็เย็นะเืลงในพริบตา
“เ้าเข้าใกล้ซูฉางอันด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่?” เซี่ยโหวฟ่งอวี้เป็ฝ่ายถามขึ้นก่อน
“แล้วเ้าล่ะ มีจุดประสงค์อะไร?” กู่เซี่ยนจวินถามกลับ
“ข้าจะมีจุดประสงค์อะไรได้ ข้าฝึกวิชาในสำนักเทียนหลานฉางอันเป็ศิษย์น้องของข้า เขาดีกับข้ามาก ข้าย่อมต้องจริงใจกับเขาด้วยเช่นกันแล้วจะมาพูดว่าข้ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงได้เยี่ยงไร?”
“คุณชายซูมีจิตใจบริสุทธิ์เขาดีกับทุกคนอยู่แล้ว แต่เื่ที่ว่าคนอื่นจะดีตอบหรือไม่ มันก็พูดยากข้าว่าองค์หญิงลองพิจารณาตัวเองดูเองเถิด ถึงแม้ข้าจะมีจุดประสงค์อื่นอยู่จริงแต่จุดประสงค์ของข้าไม่ได้โฉดชั่วเหมือนขององค์หญิงแน่แทนที่จะคิดว่าควรจะลองเชิงข้าอย่างไรดีสู้เอาเวลาไปคิดดีกว่าว่าเมื่อคุณชายซูรู้เื่แล้ว องค์หญิงจะทำเช่นไรต่อไป” กู่เซี่ยนจวินพูดขึ้นอย่างใจเย็นทว่าแต่ละคำพูดของนางล้วนบาดลึกลงในใจเซี่ยโหวฟ่งอวี้อย่างจัง
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ชะงักอึ้งไปนางไม่สามารถพูดตอบโต้กลับไปได้ด้วยซ้ำ
ดูเหมือนกู่เซี่ยนจวินจะได้รับบทสรุปที่้าแล้วนางก้าวเล็กๆ ไปข้างหน้า เดินผ่านร่างของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ไปด้วยใบหน้าเย็นะเื
สายลมพัดโชยเข้ามาจากทิศตะวันตก
แม้บัดนี้จะเป็เดือนสามแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เซี่ยโหวฟ่งอวี้ถึงรู้สึกหนาวเย็นเช่นนี้นางจัดไรผมที่ถูกลมพัดจากนั้นก็หันไปมองสำนักเทียนหลานที่เต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม แล้วถอนหายใจยาวๆออกมาในที่สุด