ซูฉางอันดันประตูหน้าหออวี้เหิงให้เปิดออกตอนนี้ฝานหรูเยว่ไม่ได้อยู่ในนี้แล้ว คาดว่าคงจะออกไปแล้ว
บัดนี้อวี้เหิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง เขาหรี่ตาลงราวกำลังงีบหลับ แต่ก็คล้ายกำลังชมทิวทัศน์นอกหน้าต่างอยู่เช่นกันเขาแก่ชรามากแล้ว แก่จนร่างกายแลดูทรุดโทรมไปหมด เส้นผมสีขาวของเขางอกเรียงรายอยู่บนหัวอย่างยุ่งเหยิงไม่ต่างไปจากกอหญ้ารกๆข้างทาง มันทั้งยุ่งเหยิงทว่าก็แลดูบางตาเหลือเกินรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขาก็มีมากจนน่ากลัวเลยทีเดียวทั้งรอยบวมและริ้วรอยต่างก็ทาบเรียงรายกันไปทั่วราวกับจากสภาพพื้นที่ของเขาโยวหยุนก็มิปาน
เท่าที่ซูฉางอันจำได้ที่เมืองฉางเหมินก็มีคนชราอยู่มากไม่ต่างกันแต่พวกเขามักจะออกมาเดินเล่นข้างนอกอยู่เป็ประจำโดยเฉพาะในวันที่มีแสงแดดเจิดจ้าสดใส อย่างไรเสียที่ดินแดนทางเหนือก็ไม่ได้มีแดดจ้าทุกวันเหมือนที่นี่
แต่อวี้เหิงกลับแตกต่างออกไป เขามักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอกจากตอนกินข้าว ซูฉางอันก็แทบไม่เห็นเขาออกมาจากห้องเลยสักครั้งก่อนหน้านี้เขาก็เคยพูดเตือนอวี้เหิงอยู่บ่อยครั้งแต่อวี้เหิงก็มักจะบอกว่าตัวเองอายุมากแล้วต้องพักให้มากจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานมากขึ้น
ซูฉางอันเดินไปหยุดอยู่หน้าอวี้เหิงอย่างลังเลเล็กน้อยเขากำลังกังวลว่าตัวเองทำอะไรวู่วามเกินไปหรือเปล่าเพิ่งสร้างเื่ใหญ่โตกับสำนักปาฮวงไป เมื่อวานนี้ก็ไปมีปัญหากับหอหมู่ตันอีกไม่ใช่ว่าเขากลัวที่จะถูกอวี้เหิงด่าหรอกนะเขาเพียงกังวลว่าอวี้เหิงจะโมโหจนเป็ผลเสียต่อร่างกายเท่านั้นยิ่งร่างกายของเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ด้วย
“เ้ามาแล้วรึ?” ซูฉางอันเดินไปหยุดอยู่ข้างอวี้เหิงแล้วยืนอยู่อย่างนั้นด้วยความสงบหลายนาที อวี้เหิงจึงเพิ่งสังเกตเห็นเขาในที่สุดเขาดันร่างที่นอนอิงอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง จากนั้นก็มองไปที่ซูฉางอันดูเหมือนเขาจะลืมตาให้กว้างมากขึ้นกว่าเดิมแล้วแต่ดวงตาคู่นั้นก็ยังหรี่เล็กจนเป็เส้นตรงอยู่ดี
“อืม” ซูฉางอันตอบเสียงแ่ ราวกลัวว่าหากไม่ระวังอาจทำให้อะไรบางอย่างสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“เมื่อวานนี้เป็อย่างไรบ้าง?” อวี้เหิงกล่าวถามเขาไม่ค่อยมีแรงหรือมีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่เสียงที่พูดออกมาจึงค่อนข้างเบาเล็กน้อย ซูฉางอันต้องตั้งใจฟังเป็อย่างมากจึงจะเข้าใจคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเขา
ซูฉางอันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นที่หัวใจรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างตื้ออยู่ในลำคออย่างไรอย่างนั้นั้แ่วันแรกที่ได้พบกันมาจนถึงวันนี้ นี่ก็เพิ่งจะผ่านไปเพียงสองเดือนเท่านั้นทว่าอวี้เหิงกลับแก่ลงเร็วมากเหลือเกินน้ำเสียงที่เคยก้องกังวานและเต็มไปด้วยพลังซึ่งเขาเคยได้ยินที่หน้าประตูสำนักตอนมาเมืองฉางอันใหม่ๆกลับเปลี่ยนมาเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยินอยู่แล้วดูเหมือนั้แ่ซูฉางอันเข้ามาอยู่ในสำนักเทียนหลานชายชราที่คุ้มครองเผ่ามนุษย์มานานนับร้อยปีคนนี้จะแก่ชราลงทุกวันๆแก่ลงมากจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว
แต่ซูฉางอันไม่อยากเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาเขาใช้เวลาไม่กี่อึดใจในการสงบสติอารมณ์จากนั้นก็พยายามทำให้เสียงของตนฟังดูปกติอย่างเต็มความสามารถ “ก็ไม่มีอะไรมากข้าแค่เห็นว่าแม่นางฝานน่าสงสาร ก็เลยช่วยไถ่ตัวให้นางเท่านั้นขอรับ”
“เ้าช่างมีน้ำใจเสียจริงนะ” ดวงตาหรี่เล็กของอวี้เหิงเบิกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยจากนั้นผู้เป็เ้าของดวงตาก็ถามขึ้นอีกครั้ง “นิสัยข้อนี้ของเ้าเหมือนอาจารย์ลุงอีกคนของเ้าจริงๆ”
“ใครหรือขอรับ?” ซูฉางอันสนอกสนใจขึ้นมาทันที
“ไคหยาง” อวี้เหิงพ่นชื่อของใครคนหนึ่งออกมาจากปากอย่างเชื่องช้า
“ไคหยาง?” ซูฉางอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้จักชื่อนี้แต่เพราะมีข้อสงสัยบางอย่าง จึงถามขึ้นอีกครา “ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ไคหยางยังมีชีวิตอยู่แต่เขาไม่ได้กลับมาที่เมืองฉางอันตั้งนานมากแล้ว อาจารย์อวี้เหิงท่านรู้ไหมว่าเขาไปอยู่ไหน? แล้วไปทำอะไรหรือขอรับ?”
วินาทีที่ซูฉางอันถามคำถามนั้นออกมาลมปราณภายในร่างของอวี้เหิงก็วุ่นวายไปเล็กน้อยแต่เพียงไม่นานมันก็กลับมาสงบดังเดิมอีกครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วมากมากจนซูฉางอันไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ อวี้เหิงนิ่งเงียบลงไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงพูดขึ้นสั้นๆ ในที่สุด
“เขาไปฆ่าคนน่ะ” เขาพูดด้วยท่าทางราบเรียบเป็อย่างมากราวกำลังบอกว่าไคหยางเพียงไปเปิดร้านขายของที่ทิศตะวันตกของเมืองฉางอันหรือไปสร้างธุรกิจที่ทิศใต้ของเมืองอย่างเท่านั้น
ซูฉางอันเคยได้ยินประโยคเช่นนี้มาก่อนเมื่อสองปีก่อน ที่ดินแดนทางเหนือ มั่วทิงอวี่เองก็เคยพูดประโยคเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับอวี้เหิงไม่มีผิด
จู่ๆซูฉางอันก็รู้สึกใจหายอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้สึกว่าเื่นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเช่นไรดี ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าแท้จริงแล้วตนสมควรจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาหรือไม่ ดังนั้น หลังลังเลเล็กน้อยเขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบลงในที่สุด
ดูเหมือนอวี้เหิงเองก็ไม่อยากจะพูดถึงรายละเอียดของเื่นี้มากนักเขายิ้มด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าดูชมเลยสักนิด จากนั้นก็ถามขึ้นอีก “เื่เมื่อวานนี้เ้าไม่มีอะไรอยากจะถามข้าเลยรึ?”
“เื่เมื่อวาน?” ซูฉางอันชะงักนิ่งไปคล้ายจะยังไม่เข้าใจว่าอวี้เหิงกำลังหมายถึงอะไรกันแน่
“อย่างเช่นทำไมข้าถึงไม่ให้ฉู่ซีฟงไปช่วยเ้า”
ซูฉางอันกระจ่างแจ้งในที่สุดเขาตอบกลับไป “เมื่อวานนี้ ตอนข้ากับศิษย์พี่ออกไปพวกเราไม่ได้บอกเื่นี้กับท่านอาจารย์ลุง เมื่อไม่รู้ว่าพวกเราไปที่ใดอาจารย์ลุงย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้น...”
“แม้เมืองฉางอันจะกว้างใหญ่แต่อย่างไรเสีย มันก็กว้างเพียงร้อยลี้เท่านั้น หากข้าอยากรู้อะไรไม่ว่าใครก็ปิดบังข้าไม่ได้หรอก” อวี้เหิงพูดขัดขึ้นกลางคัน
คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของซูฉางอันเปลี่ยนแปลงไปในทันทีเขาเชื่อใจอวี้เหิงมาโดยตลอด เชื่ออย่างหมดจดเชื่ออย่างไม่คิดจะเก็บซ่อนหรือปิดบังอะไร ดังนั้นเขาจึงคิดไปเองว่าอวี้เหิงเองก็จะเป็เช่นเดียวกันคิดว่าเขาจะทำเหมือนที่วู๋ถงทำ... เมื่อรู้ว่าซูฉางอันมีอันตรายวู๋ถงก็เดินทางมาช่วยทันที ไม่ว่าจะห่างกันเป็พันเป็หมื่นลี้ก็ตาม
แน่นอนซูฉางอันไม่ได้คิดว่านี่เป็สิ่งที่อวี้เหิงต้องทำหรือต้องเป็แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้อยู่ดีและเขาเองก็เป็คนที่เก็บความรู้สึกไม่เป็เสียด้วยสิ ดังนั้น ซูฉางอันจึงถามขึ้น “ทำไมกัน?”
จู่ๆ อวี้เหิงก็ยื่นมือออกมาราวอยากจะเอื้อมมาลูบหัวซูฉางอันเช่นนั้น แต่เพราะซูฉางอันมีอายุสิบหกปีแล้วและเป็ธรรมดาที่เด็กอายุสิบหกจะสูงไม่เบา ดังนั้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรอวี้เหิงที่นั่งอยู่ก็จับหัวซูฉางอันไม่ได้เสียที
ยังดีที่ซูฉางอันรับรู้ได้ถึงความ้าของเขาจึงก้มหัว และเอนตัวเข้าไปหาอย่างรวดเร็วทำให้ฝ่ามือของอวี้เหิงลูบลงบนหัวได้ในที่สุด
เมื่อลูบหัวศิษย์หลานสำเร็จอวี้เหิงก็ดึงมือกลับอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงพูดอย่างเชื่องช้าขึ้นอีกครั้ง “เพราะว่าพวกเราปกป้องเ้าตลอดไปไม่ได้ไงล่ะ”
“ข้าต้องตายส่วนฉู่ซีฟงก็ต้องจากไปในสักวัน แต่เ้ายังหนุ่มนัก สักวันเ้าจะต้องเผชิญกับโลกทั้งใบด้วยตัวเอง และโลกใบนี้อาจสกปรกและโหดร้ายกว่าที่เ้ารู้และเห็นในตอนนี้เป็ร้อยๆ เท่า”
ซูฉางอันรู้สึกเสียใจมาก แน่นอนเขารู้ว่าอวี้เหิงต้องตาย รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เส้นผมที่ขาวโพลนแล้วไหนจะน้ำเสียงเวลาพูดอีก ทั้งหมดบอกกับซูฉางอันว่าคนตรงหน้าแก่ชราเต็มทีแล้วแต่เขาไม่อยากไปคิดถึงมัน เขาพยายามหลอกตัวเองหลอกว่าอวี้เหิงเป็นักรบแห่งดาราจักร หลอกตัวเองว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จะตายได้เยี่ยงไรกัน? ทว่าเมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของอวี้เหิงสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงตัวเองก็แหลกสลายลงในพริบตา
ซูฉางอันรอบตาแดงก่ำรู้สึกราวมีบางอย่างรื้นออกมาจากดวงตา แต่เขาก็ทนเก็บกลั้นมันเอาไว้อย่างดื้อรั้นไม่ยอมให้มันร่วงออกมา “ฉางอันสำนึกผิดแล้วขอรับต่อไปฉางอันจะไม่ทำตัววู่วามแบบนี้อีกแล้ว”
อวี้เหิงส่ายหน้า “อย่าทำเื่เสี่ยงภัยหรือเื่ที่ไม่แน่ใจง่ายๆแต่หากทำไปแล้ว ก็อย่าสำนึกผิดง่ายๆ เช่นกัน อีกอย่าง ข้าไม่คิดว่าเ้าทำอะไรผิดบางทีหลายสิ่งในโลก ก็ไม่อาจตัดสินว่าผิดหรือถูกได้”
ซูฉางอันรู้สึกสงสัยเหลือเกินคำพูดเช่นนี้ วู๋ถงก็เคยบอกเขาตอนอยู่ที่เขาโยวหยุนเช่นกันในตอนนั้นเขาไม่เห็นด้วย และไม่เข้าใจความหมายของมันสักเท่าไหร่ แต่มาตอนนี้ดูเหมือนเขาเริ่มจะเข้าใจมันขึ้นมาบ้างแล้ว
“อาจารย์ลุงแล้วท่านเห็นว่าประมุขแห่งหอหมู่ตันเป็คนดี หรือคนเลวกันแน่ขอรับ?”
“เ้าคิดเห็นว่าเช่นไรล่ะ?” อวี้เหิงไม่ให้คำตอบ แต่ถามกลับแทน
ซูฉางอันพูดออกมาทันที “เขาบังคับให้แม่นางฝานหรูเยว่ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำทั้งยังทำการค้าสกปรกแบบนั้นอีก ย่อมเป็คนเลวอยู่แล้ว”
“แล้วเ้ารู้ไหมว่าแม่นางฝานหรูเยว่เป็หลานสาวของผู้นำฏ ฝานหวงหลิ่ง เมื่อถูกจับกุมตามกฏของแผ่นดินต้าเว่ยแล้ว พวกเขาต้องถูกปะาหากไม่ได้หลงเซี่ยงจวินช่วยซื้อตัวออกมา นางคงจะตายไปั้แ่หลายปีก่อนแล้วคงไม่อยู่รอจนเ้าไปช่วยแบบนี้หรอก”
ซูฉางอันชะงักไปรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาทันที แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับเื่นี้อยู่ดีจึงขมวดคิ้ว แล้วเตรียมจะพูดบางอย่างออกมาอีกครั้งแต่อวี้เหิงก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไหนเ้าลองบอกข้ามาซิว่าอินซานโจ๋วเป็คนดีหรือคนเลว?”
ครั้งนี้ซูฉางอันไม่ได้ตอบคำถามออกไปทันที เขาคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นในที่สุด “ศิษย์ของเขาหยามิ่ท่านอาจารย์ข้าทำตามกฎของพวกเขา อยากท้าประลองกับศิษย์ของเขาแต่เขากลับออกตัวปกป้องอย่างไม่เป็ธรรม ใช้อำนาจรังแกคนที่อ่อนแอกว่าย่อมไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว”
“หากวันหนึ่งตู้หงฉางมีพลังแกร่งกล้ากว่าเ้า มีวิชาดาบที่รวดเร็วกว่าเ้าแล้วเขา้าจะฆ่าเ้า ฉู่ซีฟงจึงฆ่าเขาเพราะอยากปกป้องเ้าแบบนี้ฉู่ซีฟงก็เป็คนไม่ดีน่ะสิ” อวี้เหิงหรี่ตาลงดวงตาเปล่งประกายไปด้วยรังสีที่น่าพิศวงบางอย่าง
ซูฉางอันรู้สึกพูดไม่ออกไปในทันทีเขาจำลองภาพเหตุการณ์ตามที่อวี้เหิงพูดในสมอง แม้ฉู่ซีฟงจะทำเช่นนั้นจริงๆเขาก็ไม่คิดว่ามันเป็เื่ผิดตรงไหนทว่าสิ่งที่อินซานโจ๋วทำก็ไม่ได้แตกต่างไปจากฉู่ซีฟงในเหตุการณ์จำลองสักเท่าไรนักแต่ไยเขาถึงเห็นว่ามันเป็เื่ผิดเล่าทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกสับสนเป็อย่างมาก นี่เป็ครั้งแรกที่เขาคิดว่าบางทีสิ่งที่เขาเชื่อมั่นมาโดยตลอด แท้จริงแล้วอาจไม่ได้ถูกต้องขนาดนั้น
“เช่นนั้นความหมายของอาจารย์ลุงคืออะไร? หรือข้าจะคิดผิด?” ซูฉางอันตัดสินใจเลิกคิดเื่ที่ยากจะตัดสินเหล่านี้ในที่สุด
“ข้าบอกไปแล้วไง ว่าในโลกใบนี้มีหลายสิ่งที่ไม่อาจตัดสินว่าถูกหรือผิดได้ เ้าไม่ผิด อินซานโจ๋วก็ไม่ผิดแม้แต่หลงเซี่ยงจวินก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน แต่สิ่งที่เ้าต้องทำมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น”
“สิ่งเดียวรึขอรับ”
“จงอย่าละอายต่อการสำนึกตน”