“ฮี้ ๆ ๆ ...”
“อ๊ะ! คุณหนูดูนั่นเร็ว รถม้าของเหล่าไท่ไท่แปลกยิ่งนัก!” ฉานอีโน้มศีรษะเข้ามาเอ่ยด้วยความร้อนใจ “มันวิ่งเร็วผิดปกติ!”
“โอ้! คุณหนู แผงขายของสองข้างทางถูกรถม้าของเหล่าไท่ไท่ชนเละเทะไปหมด!” ไฮว่ฮวาเอ่ยอย่างตื่นตระหนก “รถม้าไม่เพียงวิ่งเร็ว ทั้งยัง…” นางเอ่ยพลางทำท่าทาง “วิ่งแนวเฉียงเช่นนี้ ข้างหน้ามีทางแยก หากชนรถม้าคันอื่นจะทำอย่างไร”
เหอตังกุยหยิบผ้าคลุมหน้าออกจากถุงผ้า ก่อนะโไปยังคนขับรถม้าเหริ่นตงเถิง “เหริ่นซือฟู หยุดรถเดี๋ยวนี้!”
รถม้าของเหล่าไท่ไท่วิ่งพล่านทั่วท้องถนน หรือม้าจะสูญเสียการควบคุม? รถม้าของเหล่าไท่ไท่ย่อมใช้ม้าที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี แม้มีคนโยนประทัดจุดไฟใส่กีบเท้า พวกมันก็ไม่ควรออกอาการกลัววิ่งพล่านเช่นนี้ ถนนก็ไม่ขรุขระ ไม่เห็นจะมีอะไรรบกวนให้ม้าใได้ ตอนนี้เนี่ยชุนไม่ได้อยู่กับเหล่าไท่ไท่ เหอตังกุยจึงต้องหยุดรถม้าคันนั้นด้วยตัวเอง... แต่หากนางเปิดเผยเื่วรยุทธ์ เกรงว่าต้องสร้างเื่ “เทพเซียน” องค์ใหม่เพื่อปกปิดเป็แน่
“ฮี้...” เสียงรถม้าหยุดลง เหริ่นตงเถิงเอ่ยถาม “คุณหนูสามจะไปดูรถม้าของเหล่าไท่ไท่หรือไม่ขอรับ สถานการณ์ดูอันตรายไม่น้อย ม้าสามตัวนั้นคล้ายจะคลุ้มคลั่ง”
“ไม่เป็ไร ท่านลุงเหริ่นหยุดรอข้างทางก่อน ห้ามไปไหนเด็ดขาด ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
เมื่อม่านประตูเปิด เหอตังกุยก็กระโจนออกมาพลันรีบวิ่งไปยังถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งของหล่นเกลื่อนกลาด ขณะนั้นรถม้าของเหล่าไท่ไท่เลี้ยวซ้ายหายจากเส้นสายตาของนาง แม้นางจะวิ่งเร็วประดุจกวางแต่ก็ไม่สามารถตามทัน ด้วยเพราะมีผู้คนและสิ่งของมากมายกีดขวาง นางจึงตัดสินใจ “เหาะ” แม้ในชาติที่แล้วกำลังภายในของนางจะไม่ดีนัก แต่ก็ยังสามารถใช้วิชาตัวเบาะโขึ้นหลังคาได้ ตอนนี้กำลังภายในของนางดีกว่าชาติที่แล้วมากโข ทว่ายังไม่เคยลองวิชาตัวเบาสักครั้ง หรือตอนนี้นางควร “ทดสอบการเหาะเหิน” เสียหน่อย?
รถม้าของเหล่าไท่ไท่เกือบจะชนคนเดินถนนผู้หนึ่งแต่โชคดีที่คนผู้นั้นหลบทัน
เหอตังกุยหายใจเข้าลึกสองครั้งด้วยความร้อนใจ ก่อนท่องเคล็ดวิชาตัวเบา “ฟังเสียงความร้อนในร่างกาย กำหนดลมหายใจให้สงบ ปรับลมให้คงที่ แขนขาทั้งสี่จงนิ่งไม่ไหวติง ทำสมาธิสงบจิตใจ คิดหาหนทางอื่น ตัดความปรารถนาทั้งหมด พัฒนาความเป็หนึ่งเดียวของร่างกายและจิตใจทีละน้อย เรียกมันว่า ‘รักษา’... ให้ตายเถอะ! ต่อไปคืออะไร?” นางกล่าวต่อ “หากเ้าคิดกระวนกระวายไร้สาระ พลังเทพจะไม่รวมตัวกัน…”
ขณะนี้รถม้าของเหล่าไท่ไท่ชนแผงขายไข่ ใบชา น้ำซุป ไข่น้ำตาลแดงและถ่านเผาไหม้กระเด็นทั่วพื้น
ไม่ ๆ ๆ ข้าท่องผิด! ขั้นต่อไปควรเป็ “บรรเทาความเหนื่อยล้าของร่างกาย ทำจิตใจให้มุ่งมั่น...” คล้ายว่าเคล็ดวิชานี้จะไม่ได้ใช้เฉพาะวิชาตัวเบากระมัง? แม้เคล็ดวิชาท่อนนี้จะช่วยให้ตัวเบา แต่ก็ไม่เจาะจงใช้เฉพาะวิชาตัวเบาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องเลือกท่องเคล็ดวิชาตัวเบาแบบปกติสักท่อน ก่อนทำตามเคล็ดวิชาที่ตนท่อง เมื่อนึกถึงจังหวะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็พลันจดจำจังหวะเฉพาะของร่างกายได้ ก่อนะโ…
รถม้าของเหล่าไท่ไท่เลี้ยวซ้ายพุ่งเฉียงไปยังรถม้าอีกคัน ไม่กี่อึดใจคงมีเสียง “ตึง” ดังขึ้นแน่นอน
เหอตังกุยเกาคอด้วยความหงุดหงิด อ้อ นึกออกแล้ว! เคล็ดวิชาตัวเบาขั้นพื้นฐานควรเป็เนื้อหาส่วนที่สองของเล่มที่สามในหนังสือเซียวเหยาเหว่ยตั้ง เอ่อ...มีใครขึ้นต้นได้บ้าง? วางใจเถอะ ความจำของนางดีเสมอ ตราบใดที่มีคนเริ่มประโยคแรก นางก็สามารถท่องได้ทั้งหมด
“ฮี้...”
ในที่สุดเสียงดังวุ่นวายจากรถม้าของเหล่าไท่ไท่ก็สงบ รถม้าที่กำลังจะเผชิญหน้ากันก็สงบเช่นกัน เสียงกรีดร้องบนท้องถนนพลันเบาลง
“นี่ พวกเ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่? เหตุใดจึงบังคับรถม้าเร็วเพียงนี้ อยากฆ่าคนอื่นให้ตายหรือ?” เด็กหนุ่มแต่งตัวเหมือนคนรับใช้ะโลงจากรถม้าฝั่งตรงข้าม ก่อนชี้รถม้าของเหล่าไท่ไท่พลางสบถด่า “มารดาเ้าเถอะ! พวกเ้าเกือบชนคุณชายข้าตายเสียแล้ว เกิดเื่บ้าอะไรกัน”
กุยป่านเจียวสารถีบังคับรถม้าของเหล่าไท่ไท่เดือดดาลยิ่งนัก เขาชี้คนรับใช้อีกฝ่ายพลันก่นด่า “กล้าดีอย่างไรจึงวางมาดใหญ่โตด่านายข้าว่าไม่มีมารยาท? แส้เส้นนี้ของข้าจะส่งเ้ากลับบ้านเก่าเสีย!”
“ไอ้คนเนรคุณ คุณชายข้าช่วยหยุดรถม้าพยศของพวกเ้า ไม่รู้จักขอบคุณไม่พอ ยังด่าพวกข้าปาว ๆ อีก!” คนรับใช้อีกคนะโลงจากรถม้าพลางเอ่ย “กุยเอ๋อร์จื่อด่าใคร?”
กุยป่านเจียวเผชิญหน้าศัตรูทั้งสอง ท่าทีทะนงตนไม่ลดลงแม้แต่น้อย “กุยเอ๋อร์จื่อก็ด่าเ้าไงล่ะ!”
บ่าวรับใช้ทั้งสองมองหน้ากันก่อนหัวเราะยกใหญ่ “ฮ่า ๆ ๆ ...ที่แท้เขาก็คือกุยเอ๋อร์จื่อ ฮ่า ๆ ”
กุยป่านเจียวกัดฟันกรอดด้วยความอับอายและเดือดดาลพลันพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าแม้ชายหนุ่มเหล่านี้จะอายุราวสิบสามสิบสี่แต่กลับได้รับการฝึกฝนเป็อย่างดี คนรับใช้คนแรกเลี่ยงการโจมตีของกุยป่านเจียวผู้บ้าคลั่งได้โดยง่าย ทันใดนั้นคนที่สองก็ถีบกุยป่านเจียวล้มกองกับพื้น
แม้กุยป่านเจียวจะล้มหัวคะมำแต่ก็ลุกขึ้นด้วยความรวดเร็ว คว้าแส้ตีม้าก่อนเริ่มโจมตีอีกครั้ง แววตาบ่าวรับใช้ทั้งสองลุกวาว บ่าวคนแรกม้วนแขนเสื้อขึ้น บีบหมัดพลางหมุนคอไปมา บ่าวคนที่สองหมุนสองมือเป็วงกลม ท่าทางคล้ายท่าแรกของมวยไทเก๊ก ทั้งสองมีทีท่าราวกับพร้อมรับการต่อสู้ครั้งใหญ่
“หยุด!” เหอตังกุยก้าวไปข้างหน้าพร้อมเอ่ย “ท่านลุงกุย จะให้เหล่าไท่ไท่และหยางมามานั่งฟังพวกท่านทะเลาะกันหรือ? ยังไม่รีบไปถามเหล่าไท่ไท่ว่าาเ็ตรงไหนอีก นางจำเป็ต้องหาโรงน้ำชาเพื่อนั่งพักสักหน่อยหรือไม่” เขาต่อสู้กับคนอื่นได้โดยไร้เหตุผล นับถือกุยป่านเจียวผู้นี้เสียจริง หากจำไม่ผิด ปีนี้กุยป่านเจียวก็อายุสี่สิบเก้าปีแล้ว
“หยุด!” เสียงเ็าของบุรุษแทบจะดังขึ้นพร้อมเสียงเหอตังกุย เขาเอ่ยปรามบ่าวรับใช้ผู้กระตือรือร้นจะต่อสู้ “เฟิงเหยียน เฟิงอวี้! พวกเ้ากลับไปดูแลคุณชายหนิงที่รถม้า พวกเรากำลังรีบ เหตุใดยังมีเวลาเล่นสนุก?”
น้ำเสียงเย็นเยือกของบุรุษส่งผลดีต่อการยุติการต่อสู้ในครั้งนี้ บ่าวรับใช้ทั้งสองยอมถอยง่ายดาย ทว่าเสียงเรียก “ท่านลุงกุย” ของเหอตังกุยกลับดึงความสนใจของคุณชายได้มากกว่า บ่าวรับใช้ทั้งสองมองหน้ากันพลางหัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ ๆ … ที่แท้เขาก็แซ่ ‘กุย’ จริง ๆ ”
กุยป่านเจียวเดือดดาลอีกครั้ง “เวรเอ๊ย! เป็เกียรติสำหรับบ่าวรับใช้ยิ่งนักที่ได้รับชื่อจากเ้านาย ข้าใช้ชื่อกุยป่านเจียวมาสามสิบปีแล้ว ไม่มีใครในตระกูลหลัวกล้าหัวเราะเยาะ ไอ้สารเลวสองตัวนี้กล้าดีอย่างไรมาหัวเราะเยาะชื่อข้า!”
ครานี้ไม่ต้องรอให้เหอตังกุยเอ่ยห้าม ผ้าม่านรถม้าของเหล่าไท่ไท่พลันเลิกขึ้นกะทันหัน แม่นางจีชะโงกหน้าออกมาพลางพูดด้วยความกังวล “ช่วยด้วย! เหล่าไท่ไท่เจ็บหน้าอก หยางมามาก็ข้อเท้าเคล็ด!” นางเหลือบเห็นเหอตังกุยสวมผ้าคลุมยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงเอ่ยขอความช่วยเหลือทันที “คุณหนูสามมาตรวจดูอาการเหล่าไท่ไท่เร็วเ้าค่ะ นางเวียนหัวและเจ็บหน้าอก อาการแย่มากเ้าค่ะ!” เหอตังกุยจึงรีบเข้าไปตรวจดูสถานการณ์ทันที
กุยป่านเจียวยอมแพ้อย่างรวดเร็วก่อนเดินกลับไปยังรถม้าของตนเพื่อรอคำสั่งจากผู้เป็นาย ถึงกระนั้นบ่าวรับใช้ทั้งสองก็ยังคงหัวเราะลำพองใจเช่นเดิม คุณชายของพวกเขากระทืบเท้าเร่า ๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางเคาะพัดลงบนศีรษะบ่าวทั้งสอง ขณะจะเอ่ยตำหนิ ม่านรถม้าก็พลันเปิดออกเช่นกัน ชายหนุ่มสวมชุดบ่าวรับใช้ชะโงกออกมาพลางเอ่ยด้วยความกังวล “คุณชายเฟิง เกิดเื่ใหญ่แล้ว เ้านายของข้าไม่ไหวแล้ว! พวกเราควรพักโรงเตี๊ยมใกล้ ๆ แถวนี้ก่อน!”
เมื่อทั้งสามได้ยินเช่นนั้นก็เร่งไปดูสถานการณ์ทันที การทะเลาะวิวาทของบ่าวรับใช้จึงจบเพียงเท่านี้
หลังเหอตังกุยตรวจอาการเหล่าไท่ไท่ก็พบว่านางมีอาการเมารถและหวาดกลัวสุดขีด ทำให้โรคเก่ากำเริบ ด้วยอาการวิงเวียนและไร้เรี่ยวแรง เหล่าไท่ไท่จึงพิงไหล่หยางมามาพร้อมหลับตา หยางมามาก็ทุบตีขาพลางตำหนิตัวเอง “เป็ความผิดข้าทั้งหมด ตอนนั้นข้าเห็นเหล่าไท่ไท่เมารถจึงให้ทหารคุ้มครองขี่ม้าเร็วกลับไปก่อน ตอนนี้เหลือเพียงรถม้า เมื่อเกิดปัญหาก็พึ่งพาใครไม่ได้สักคน!”
เหอตังกุยครุ่นคิดก่อนเงยหน้าถามหยางมามา “มามา เมื่อวานข้าให้ยาแก้เมารถแก่ท่านสี่เม็ด ยังเหลือหรือไม่”
หยางมามาที่ใบหน้าซีดเซียวได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเอ่ย “สี่เม็ดนั้นยังอยู่ ข้ายังไม่ได้กิน” นางหยิบกล่องไม้ออกจากถุงคาดเอวพลางเอ่ยด้วยความกังวล “ดูเหมือนอาการเก่าของเหล่าไท่ไท่จะกำเริบ คุณหนูสามแน่ใจหรือว่ายาได้ผล?” แม้มือของคุณหนูสามจะคล่องแคล่วแต่ก็มีไว้เพื่อชงชาเท่านั้น นางเป็เด็กไม่รู้หนังสือ ยาแก้เมารถที่นางทำจะปลอดภัยหรือไม่? ไม่ใช่กินเข้าไปแล้วอาการจะหนักกว่าเดิมหรือ หยางมามาคิดในใจ
เหอตังกุยไม่เอ่ยสิ่งใด พลางหยิบยาหนึ่งเม็ดป้อนเข้าปากเหล่าไท่ไท่โดยไม่ได้ปลุก หยางมามาเห็นดังนั้นก็กังวลนัก “เหตุใดคุณหนูสามมั่นใจเช่นนี้ เหล่าไท่ไท่คงไม่ตายเพราะยาของท่านกระมัง เฮ้ย ๆ ๆ ปากนางเป็สีดำแล้ว... ”
ทันใดนั้นหยางมามาก็พลันโล่งใจ ด้วยเพราะเหล่าไท่ไท่ที่พิงไหล่นางเมื่อครู่กำลังนั่งตัวตรงด้วยดวงตาเป็ประกาย นางมองเหอตังกุยพลางเอ่ยถาม “ยาอะไรหรือเสี่ยวอี้? เ้านำมาจากที่ใด?"
เหอตังกุยกะพริบตาก่อนถามกลับ “ท่านยายมีปัญหาอันใดหลังกินยาหรือไม่? หากท่านรู้สึกไม่ดีคงเป็ความผิดข้าทั้งหมด เพราะข้าเป็ผู้ทำยานี้!” หยางมามาคิดในใจด้วยความโมโห “เป็ความผิดของเ้าเพราะเ้าป้อนยาให้เหล่าไท่ไท่ด้วยมือของเ้าเอง ข้าเกลี้ยกล่อมถึงสามรอบก็ไม่ฟัง ยาใดกันที่จะกินมั่วซั่วเช่นนี้ได้”
เหล่าไท่ไท่ส่ายศีรษะ “ไม่เลย ข้ากินยานี้แล้วรู้สึกดีมาก เม็ดยาชั้นแรกเนื้อเนียนละเอียด ละลายง่าย เม็ดยาชั้นรองแห้งและเป็ก้อนจึงจำเป็ต้องเคี้ยว ยาชั้นที่สามเนื้อหยาบ รสฝาด ต้องเคี้ยวก่อนกลืน ยาของเ้าเป็ยาชั้นยอด ทั้งยังแทบละลายในปาก ได้ผลทันทีที่กิน ร้านซานชิงถังของพวกเราสามารถสร้างยาเช่นนี้ได้โดยใช้ทักษะและเครื่องมือที่ดีที่สุด เ้าบอกว่าเ้าเป็คนทำหรือ ไม่มีทางเป็ไปได้ ใครสอนให้เ้าทำยา” เหล่าไท่ไท่ประหลาดใจนัก น้ำเสียงแฝงความอยากรู้อยากเห็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้