‘เพราะข้าไม่ได้อยู่ช่วย ท่านแม่จึงต้องลำบากเช่นนี้ เหตุใดชีวิตข้าจึงอาภัพนัก แทนที่จะได้อยู่ดูแลท่านแม่ แต่กลับต้องมีชีวิตอันแสนสั้น’
“แม่นาง รอหน่อยนะ อาหารหลายอย่าง ข้าต้องใช้เวลาสักหน่อย ขาข้าไม่ค่อยดีเท่าใดนัก” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนน้อม ทำให้น้ำตาของหวางฟางเฟยหยดลงพื้น ก่อนนางจะรีบปาดออกแล้วตอบกลับในทันที
“ไม่เป็ไร ข้ารอได้” นางพูดพร้อมเลื่อนสายตามองรอบ ๆ ร้านที่ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกสงสารมารดาวูบขึ้นจนมือของหญิงสาวสั่นเล็กน้อย ทว่านางต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ในส่วนลึก แล้วตัดสินใจเดินไปหามารดาที่กำลังก้มผัดกับข้าวอยู่
“ให้ข้าช่วยนะ” นางมองใบหน้าหลิวฮูหยินด้วยสายตาสั่นไหว ก่อนอีกฝ่ายจะเงอะงะ แล้วพูดขึ้น
“แม่นางไปนั่งเถอะ ในครัวเลอะเทอะ มีแต่กลิ่นควัน ไปนั่งรอให้สบาย ๆ เถอะนะ”
“ไม่เป็ไร ข้าชอบทำอาหาร เดี๋ยวข้าทำเอง ท่านต่างหากที่ควรนั่งพัก” ว่าแล้วหญิงสาวก็เอื้อมไปจับตะหลิวในมืออีกฝ่าย แล้วค่อย ๆ จับร่างของหลิวฮูหยินนั่งลงกับเก้าอี้ จัดการทำอาหารทุกอย่างของตัวเองจนเสร็จ ท่ามกลางความแปลกใจของหลินหลินที่นั่งมองโดยไม่พูดจา
สายตาของหลิวฮูหยิน มองหญิงสาวแปลกหน้า ที่อยู่ ๆ เข้ามาแล้วทำตัวคล้ายกับบุตรสาวของนาง ไม่ว่าจะเป็ท่าทาง คำพูด กิริยา ทุกอย่างอยู่ในสายตาของหญิงกลางคนที่กำลังคิดถึงบุตรสาวจับหัวใจ
“เสร็จแล้วเ้าค่ะ” หวางฟางเฟยตักอาหารใส่ถ้วย พร้อมเดินไปตักข้าว นางจับข้าวของทุกอย่างราวกับคุ้นเคยสถานที่เป็อย่างดี นั่นทำให้หญิงกลางคนขมวดคิ้วแล้วเลื่อนสายตามองอาหารที่นางนำมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมควันโพยพุ่งออกมา
“แม่นาง เ้ารู้ได้อย่างไรว่า ข้าวที่ข้าหุงอยู่ตรงนั้น” สายตาสั่นไหวของหญิงกลางคนเอ่ยถาม ก่อนหวางฟางเฟยจะชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง
เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของจิวอี้ซิง ชายหนุ่มดื่มชาอยู่บนชั้นสามของโรงน้ำชาใกล้ ๆ มองเห็นทุกอย่างได้ไกลหลายสิบเมตร เขายกน้ำชาขึ้นดื่ม มองการกระทำของหวางฟางเฟยอย่างเงียบ ๆ
“คุณชายจิว นั่นใช่คุณหนูสามสกุลจิวหรือไม่” ชายหนุ่มค่อย ๆ วางถ้วยชาลง แล้วตอบจางเก๋อ ลูกน้องคนสนิทที่ฮ่องเต้ประทานให้ช่วยงาน
“เป็นางไม่ผิด” เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่ ข้าได้ข่าวว่านอกจากไปเรียนแล้ว นางก็แทบไม่เคยออกนอกจวนเลยมิใช่รึ อีกอย่างนางดูสนิทสนมกับหลิวฮูหยินเป็อย่างมาก” ชายหนุ่มจับจ้องไปยังเหตุการณ์ตรงหน้า แล้วขบคิดเงียบ ๆ ไม่ตอบคำถามอีกฝ่าย
ท่ามกลางบรรยากาศในร้านอาหารที่ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าใดนัก ร่างของหวางฟางเฟยนั่งสนทนากับหลิวฮูหยินพร้อมสายลมอ่อนพัดโชยมาเป็ระยะ
“หลิวฮูหยินอาจแปลกใจหลายอย่าง แต่เพราะข้ากับหลิวเซียนยู่เป็เพื่อนกัน”
“เพื่อนเหรอ?” ทั้งหลิวฮูหยิน และหลินหลินต่างผสานเสียงออกมาพร้อมกัน ทำให้หวางฟางเฟยชะงักนิ่ง แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อยพยายามหาคำแก้ตัว
“ใช่แล้วล่ะ นางยังเคยบอกข้าอีกด้วยว่า หนี้ของเถ้าแก่ซิ่วที่ยืมมาทำร้าน ยังต้องทยอยผ่อน ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจึงจะหมด ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว ข้าจึงนำข้าวของมีค่าพวกนี้มามอบให้หลิวฮูหยิน นำไปใช้หนี้” พูดจบ ก็ยื่นห่อผ้าวางใส่มือหญิงกลางคน ก่อนอีกฝ่ายจะค่อย ๆ เปิดห่อผ้าออกแล้วนิ่งอึ้ง พลันส่ายศีรษะปฏิเสธในทันที
“ของมีค่ามากมายเช่นนี้ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
“รับไว้เถอะเ้าค่ะ” นางดันห่อผ้านั้นกลับไป ท่ามกลางสายตาของจิวอี้ซิง ที่มองการกระทำของนางพร้อมยกชาขึ้นจิบเบา ๆ
“ข้าเคยได้รับความช่วยเหลือจากหลิวเซียนยู่หลายครั้ง ตอบแทนเพียงเท่านี้ ไม่เกินกำลังข้าแม้แต่น้อย” คำพูดของหวางฟางเฟยทำให้หลินหลินเอ่ยขึ้น
“หลิวฮูหยินรับไปเถอะเ้าค่ะ คุณหนูของข้า ตั้งใจนำมามอบให้ท่านจริง ๆ อย่าได้ปฏิเสธน้ำใจของนางเลยนะเ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้หญิงกลางคน กำห่อผ้าในมือแน่นด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนหวางฟางเฟยจะกล่าวต่อ
“แม้ข้าจะไม่เคยมาที่นี่ก็จริง แต่สิ่งที่เกี่ยวกับสกุลหลิวข้าล้วนรับรู้มาจากหลิวเซียนยู่ นางมักจะบอกข้าเสมอ ว่าแม่ของนางชอบตั้งเตาหุงข้าวไว้ทางด้านซ้ายของประตูเข้าจวน เพราะเป็ฮวงจุ้ยที่ดี จะทำให้ทั้งเรือนไม่ขาดแคลนข้าว ยังบอกอีกด้วย ว่าทุกเดือนนางชอบพาแม่ไปไหว้พระที่ศาลเ้า เพื่อขอพรให้ใต้เท้าหลิวได้อยู่บน์อย่างร่มเย็นเป็สุข” คำพูดราบเรียบของหวางฟางเฟยทำให้น้ำตาของหญิงกลางคนค่อย ๆ ไหลอาบแก้ม เพราะคิดถึงบุตรสาวสุดหัวใจ
“วันนี้ข้าซื้อผลไม้ ที่ท่านชอบมาฝากด้วย ท่านต้องกินเยอะ ๆ จะได้มีแรงทำงาน และจะได้มีแรงไปขอพรให้ใต้เท้าหลิวทุกเดือนด้วย” หวางฟางเฟยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“ข้าซาบซึ้งน้ำใจของเ้าทั้งสองจนพูดไม่ออก นับจากที่บุตรสาวของข้าตาย ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่ออะไร ในทุกวันข้าใช้ชีวิตอย่างไร้หัวใจ การช่วยเหลือของแม่นางในครั้งนี้ ข้าซาบซึ้งน้ำใจจริง ๆ” พูดจบหญิงกลางคนก็ลุกขึ้น หายเข้าไปในจวน แล้วกลับออกมาพร้อมของบางอย่างในมือ