“อะไรนะ? ไปแอฟริกา?” เป่าเจียจ้องมองมายังหลินลั่วหรานด้วยความสงสัย “ฉันว่า ฉันรู้สึกเหมือนกับเธอเพิ่งจะกลับมาเองไม่ใช่เหรอ!”
“เพราะแบบนั้น ก็เลยอยากจะชวนให้เธอไปด้วยกันไง เวลามีเื่ดีๆ อะไรแน่นอนว่าก็ต้องคิดถึงพี่สาวเป่าเจียของเราคนนี้ขึ้นมาอยู่แล้ว” หลินลั่วหรานพยายามเรียกร้องความสนใจและพยายามทำให้หัวข้อในการสนทนาครั้งนี้ดูสบายๆ ขึ้นมาเสียหน่อย
ใบหน้าของเป่าเจียนั้นซูบลงมาก ตัวของเธอนั้นฝึกศาสตร์ด้วยความบ้าคลั่งหากจะลากเธอออกไปดูทุ่งหญ้าที่แอฟริกาเสียบ้างก็น่าจะเป็เื่ที่ดีมากเื่หนึ่งไม่ใช่เหรอ?
เป่าเจียยืดคอของเธอขึ้น “ก็ถือได้ว่าเธอหวังดีแต่ว่าลั่วตงจะเปิดเทอม...” เธอยังคงพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงหลินลั่วหรานจึงสรุปออกมาให้เธอฟัง
“ก็เพราะว่าลั่วตงจะเปิดเทอมแล้วนี่แหละ พ่อกับแม่ก็เลยกลับไปในเมืองเพื่อดูแลเขา เธอจะอยู่ที่นี่คนเดียวแบบนี้ มันไม่น่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือไง?”
เป่าเจียเบ้ปากออกมา “ก็ยังมีเสี่ยวจินอยู่ไม่ใช่หรือไง?”
“เธอไม่อยู่เสี่ยวจินยิ่งจะได้เป็อิสระไง ไปเถอะ ไปเถอะนะ”
ราวกับว่า ‘เสี่ยวจินผู้ทรงสง่า’ จะ้ายืนยันคำพูดของหลินลั่วหราน มันจึงยืดคอหันมายังบริเวณนี้ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาสั้นๆ
ด้วยความร่วมมือของเสี่ยวจินอีกทั้งท่าทางน่าเอ็นดูของหลินลั่วหรานที่หาพบได้ยากแบบนั้นทำให้สุดท้ายเป่าเจียที่เอาแต่ฝึกศาสตร์อย่างหนัก ก็ยอมตกลงที่จะไปเที่ยวด้วยจนได้
ตั๋วเครื่องบินถูกจองอย่างรวดเร็ว สมาชิกในการท่องเที่ยวครั้งนี้นอกจากเหวินกวนจิ่งแล้ว ต่างก็ไม่มีใครเคยไปแอฟริกามาก่อนแล้วใครบ้างที่จะไม่ตื่นเต้นกับพื้นที่ลึกลับผืนนี้?
ที่มาของรูปภาพจากเหวินกวนจิ่งคือพื้นที่ที่มีชื่อเรียกว่านามีเบียในทะเลทรายซาฮารา เมื่อออกมาจากสนามบินพวกเขาก็ััได้ถึงอากาศร้อนแห้งเหือดที่เป็เอกลักษณ์ของแอฟริกาและมันก็ทำเอาเป่าเจียแทบจะรับมือไม่ไหว
หลินลั่วหรานวางผ้าเย็นลงบนใบหน้าของเธอ ก่อนที่เธอจะรู้สึกว่าสามารถหายใจได้สะดวกขึ้นมามาก
พวกเขานั้นไม่ได้ออกตัวพุ่งตรงไปยังจุดหมายในทันทีจากที่เหวินกวนจิ่งบอกมานั้น ในสายตาของชนเผ่าแอฟริกาแล้ว อาหารและน้ำรวมทั้งยาสามัญประจำบ้านทั่วไป ต่างก็มีค่าและมีประโยชน์มากกว่าเงินเสียอีก
ทั้งสามพากันซื้อของเตรียมตัว หลินลั่วหรานมีพื้นที่ลึกลับอยู่แล้วดังนั้นถุงจักรวาลใบนั้น จึงถูกนำไปให้เป่าเจียอย่างที่เธอ้าเมื่อเธอจัดการนำของทุกอย่างบรรจุลงไปในพื้นที่จนเต็มถึงได้หยุดซื้อเห็นดังนั้นหลินลั่วหรานก็ได้แต่สงสัยว่า เธอตั้งใจจะเตรียมอยู่ในเผ่าสักเดือนสองเดือนเลยหรืออย่างไร
เหวินกวนจิ่งจัดการหาผู้นำทางมาแล้วเขาคือคนที่ออกมาจากเผ่าชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกาแล้ว และค่อยๆได้รับรู้และซึมซับเข้ามาสู่สังคมในยุคปัจจุบัน เขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้และก็สามารถพูดภาษาชนเผ่าพื้นเมืองได้เช่นกัน
รถจีปที่ผ่านน้ำผ่านลมมามากขับเคลื่อนไปบนพื้นทะเลทราย
ยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของทะเลทรายซาฮารามากเท่าไร พวกต้นไม้ก็น้อยลงไปทุกทีนานๆ ถึงจะได้เห็นกอไม้โผล่ออกมาสักสองสามกอ พวกเธอก็เคยดู ‘สารคดีสัตว์โลก’ มาั้แ่เด็กแล้วทำให้พวกเธอรู้ว่าในบรรดาต้นไม้มากมายในแอฟริกาแห่งนี้ มีสองชนิดที่ดูเหมือนกันแต่กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าในแอฟริกาจะเจริญรุ่งเรืองไปด้วยเหมืองแร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกๆที่จะเต็มไปด้วยทอง
แอร์ของรถจีปคันเก่าคันนี้พังไปแล้ว หากไม่เปิดหน้าต่างออกระดับการฝึกของหลินลั่วหราน ทำให้เธอไม่รับรู้ถึงความร้อนความหนาวแต่สำหรับเป่าเจียนั้น เพียงไม่ถึงสามนาที เนื้อตัวของเธอก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อราวกับเพิ่งวิ่งออกมาจากสระน้ำ ใบหน้าของเธอดูราวกับมีฝนตกหยาดเหงื่อนั้นไหลรินลงมาไม่หยุดหย่อน
เมื่อเธอเปิดหน้าต่างออกไปเพื่อให้อากาศหมุนเวียน ในตอนที่ล้อรถหมุนออกไปก็ทำให้เศษทรายไหลปลิวเข้ามาและติดเข้าที่ใบหน้าของเธอไม่ยอมไปไหนจนกลายเป็สีดำสกปรก
จิตใจของหลินลั่วหรานเต็มไปด้วยความสดชื่นเนื้อตัวของเธอไม่ได้ัักับฝุ่นควันเลยแม้แต่น้อย เป่าเจียพูดขึ้นด้วยความโมโห “นี่มันน่าอิจฉาเกินไปแล้ว...ฉันต้องฝึกไปถึงเมื่อไรถึงจะทำได้เหมือนกับเธอ?”
หลินลั่วหรานกวาดสายตามองไปที่เธอ ในร่างกายของเธอนั้นพลังธาตุน้ำและพลังธาตุไม้ต่างก็เริ่มมีร่องรอยของการขยับเคลื่อนไหวเบาๆ แล้วขอเพียงแค่เธอสามารถบังคับและควบคุมพลังในร่างกายของตัวเองได้เธอก็จะสามารถก้าวเข้าระดับฝึกลมปราณขั้นต้นได้แล้ว
“อีกไม่นาน แค่เธอฝึกเวทให้ได้ก็จะสามารถจัดการหลบหนีเศษดินทรายพวกนี้ได้แล้ว”
เป่าเจียมองค้อนไปที่หลินลั่วหราน ใบหน้าของเป่าเจียเต็มไปด้วยทรายและเธอก็ี้เีที่จะมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างนี้แล้วอย่างไรก็ดูเหมือนว่าจะต้องอยู่ในทะเลทรายอีกนานเลยทีเดียวดังนั้นเธอคงจะมีโอกาสได้ัักับมันอีกมาก
เหวินกวนจิ่งนั่งอยู่ที่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ เขาหันหน้ากลับมาพูด “เพิ่งจะสามปีแต่คุณก็สามารถฝึกมาจนถึงระดับลมปราณขั้นต้นได้แบบนี้ก็นับได้ว่ามีความสามารถมากแล้วครับ” คนอื่นอาจจะไม่รู้แต่เขานั้นกลับรู้อย่างชัดเจนอย่างหลีซีเอ๋อร์ที่เป็คนที่มีพื้นฐานพลังธาตุเดี่ยว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาถึงเจ็ดถึงแปดปีจึงจะสามารถฝึกมาจนถึงระดับลมปราณขั้นกลางได้ดังนั้นเพื่อนสนิทของรุ่นพี่หลินคนนี้ สามารถเลื่อนขึ้นมาเป็นักฝึกศาสตร์ระดับลมปราณขั้นต้นได้ภายในเวลาสั้นๆเพียงสามปี เท่านี้ก็สามารถทำให้คนอื่นต่างพากันอิจฉาได้แล้ว
หลินลั่วหรานมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ‘ความสามารถนั้นก็เป็เื่ที่สำคัญแต่เธอก็ต้องพยายามด้วย’ ตลอดเวลาที่ฝึกศาสตร์มาเป่าเจียนั้นพยายามมากๆ ในตอนที่ตัวหลินลั่วหรานติดอยู่ในราชวังสระเืตลอดสามปีที่บ้านหลินไม่มีใครคอยช่วยสนับสนุนในเื่การฝึกศาสตร์และไม่มียาหรือหินวิเศษอะไร การที่เป่าเจียมีการพัฒนาได้มากขนาดนี้ก็เป็เพราะความพยายาม และความขยันในการฝึกศาสตร์ของเธอเอง
รถจีปนั้นขับเคลื่อนอยู่ในทะเลทรายมาประมาณเจ็ดถึงแปดชั่วโมงระหว่างทางก็มีเพียงการพักทานอาหารสั้นๆ เท่านั้นส่วนมากเหวินกวนจิ่งและปาหนีนักนำทางท้องถิ่นมักจะสลับกันขับ แม้ว่าจะเป็แบบนั้นแต่ความสั่นะเืของมัน ก็ทำเอาเป่าเจียอยากจะอ้วกมาเสียให้ได้
หลินลั่วหรานรู้สึกผิดมาก เธอจึงส่งพลังธาตุไม้เข้าไปในร่างกายของเป่าเจียพลังธาตุไม้ในร่างกายของเป่าเจียนั้นตอบสนองขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้เธอได้สติขึ้นมาและรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย
ภายใต้การนำของนักนำทาง ทั้งสามก็มาถึงเผ่าเล็กๆของชนเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกาได้สำเร็จ ทะเลทรายซาฮาราในปัจจุบันมีชนเผ่าแอฟริกาพื้นเมืองเหลืออยู่เพียงไม่ถึงหมื่นคนและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังอาศัยอยู่ในทะเลทราย ในทุกๆ เผ่าต่างก็มีประมาณยี่สิบกว่าคนในชนเผ่าที่หลินลั่วหรานได้ไปเป็ชนเผ่าที่มีคนอยู่ประมาณเกือบร้อยคนดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็เผ่าที่มีคนเยอะมากเผ่าหนึ่งแล้ว
ในบริเวณที่พวกเขาจอดรถ ตรงนั้นมีเพียงต้นไม้ 1 ต้นและหญ้ารกอีกเล็กน้อย พวกมันต่างก็ดูไร้ชีวิตชีวา บริเวณโดยรอบต่างก็เป็ทรายมันช่างยากที่จะจินตนาการเหลือเกิน ว่าจะมีคนอาศัยอยู่ในทะเลทรายแบบนี้จริงๆ
ปาหนีเดินนำทางอยู่ที่ด้านหน้า ทั้งสามเดินตามอยู่ที่ด้านหลังของเขาเพื่อตรงไปยังสถานที่ที่มีแสงไฟประกายออกมา บริเวณนั้นมีแสงไฟและเสียงคนดังดังนั้นมันก็น่าจะเป็ที่อยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองที่พวกเขา้าจะตามหาหลินลั่วหรานรู้ดีว่าแอฟริกานั้นยากจนมาก แต่ว่าเธอก็ไม่เคยเห็นมันด้วยตาของตัวเองจึงยากที่จะจินตนาการได้ว่าพวกเขานั้นยากจนถึงขนาดนี้คนชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกาที่ห่างออกมาจากเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน เป็ตัวแทนแห่งความดั้งเดิมก็เหมือนกับภาพที่เธอได้เห็นในตอนนี้
สถานที่ที่เดินผ่านมาตลอดทางมีเพียงกองไฟไม่กี่กอง และกระท่อมเล็กๆที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหญ้าคาไม่ว่าจะเป็ชายหรือหญิงต่างก็ใช้หญ้าถักเป็อุปกรณ์ปกปิดส่วนสำคัญ เด็กๆนั้นต่างก็เปลือยกาย ผู้หญิงต่างก็เปิดเผยอก
ชายของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีร่างกายสูงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเิเถือหอกยาวชี้ขึ้นมาที่พวกเขาอย่างพร้อมจะต่อสู้ความจริงแล้ว พวกเขานั้นได้ยินเสียงรถจีปมาั้แ่ระยะไกลแล้วตอนนี้เป็่ที่ดวงอาทิตย์ได้ตกลับฟ้าไป เสียงการขยับเคลื่อนไหวแบบนั้นสำหรับคนชนเผ่าแอฟริกาท้องถิ่นแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็สัญญาณแห่งอันตรายอย่างหนึ่ง
โชคดีที่พวกเขาพานักนำทางมาด้วย ไม่อย่างนั้นสิ่งที่รอพวกเขาอยู่คงจะไม่ใช่เื่ราวของประติมากรรมฝาผนัง แต่น่าจะเป็การโจมตีแทน
เมื่อปาหนีคุยกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว คนพวกนั้นก็ไม่ได้นำหอกยาวชี้มาที่พวกเขาทั้งสามอีกต่อไปแต่ว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้วางใจนัก ต่างก็ยังคงมองมาที่ทั้งสามคนด้วยความระแวงโดยเฉพาะหลินลั่วหรานพวกชนเผ่าพื้นเมืองของแอฟริกานั้นต่างก็มีความว่องไวต่ออันตรายสูงมาั้แ่เกิดหลินลั่วหรานเดินทางข้ามผ่านทะเลทรายมาโดยที่ตัวของเธอยังคงใสสะอาดแม้ว่าใบหน้าของเธอจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าถ้าหากผู้หญิงคนนี้โมโหขึ้นมาแล้ว ก็คงจะน่ากลัวมากทีเดียว
สีหน้าของปาหนีค่อยๆ สบายใจขึ้น เขาหันมาพูดกับพวกหลินลั่วหรานว่าตอนนี้พวกเขาต้องทำสิ่งสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือการไปพบกับหัวหน้าเผ่า
หัวหน้าเผ่านั้นถือว่าเป็ผู้นำของเผ่า หลินลั่วหรานเดินตามปาหนีเพื่อที่จะไปยังที่พักอาศัยของหัวหน้าเผ่าก่อนจะพบว่าที่นั่นเองก็เป็เพียงกระท่อมหญ้าคาที่ดูใหญ่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อยและไม่ได้มีความพิเศษอย่างที่หัวหน้าเผ่าต้องได้รับอย่างที่พวกเธอคิดกลุ่มชาวพื้นเมืองทั้งชายหญิงคนแก่และเด็กต่างพากันล้อมรอบกองไฟพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแม้ว่าจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าปกปิดกายแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาถึงทำให้คนนั้นไม่สนใจเื่สีผิวและเชื้อชาติ ช่างดูจริงใจจนน่าประทับใจเสียจริง
ท่านหัวหน้าเผ่านั้นเป็เพียงชาวชนเผ่าพื้นเมืองอายุน้อยคนหนึ่งเท่านั้นตัวของเขามีส่วนสูงราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบเิเและก็นับได้ว่าเป็คนที่มีร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดในชนเผ่าแล้วของขวัญที่พวกเธอมอบให้นั้นสำหรับหลินลั่วหรานแล้ว ดูเหมือนกับว่าเป็ของที่ไม่ได้มีดีอะไรนักอย่างเนื้อวัวห้ากิโลกรัมเกลือครึ่งกิโลกรัม และขวดน้ำที่บรรจุน้ำใสสะอาดอยู่หลายขวด
เมื่อหันไปเห็นเนื้อวัวหัวหน้าเผ่าก็ดีใจขึ้นมาแต่เมื่อหันไปเห็นขวดที่บรรจุน้ำผู้คนที่ล้อมรอบอยู่รอบกองไฟทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ต่างพากันล้อมรอบเข้ามาแม้แต่คนที่มองว่าพวกหลินลั่วหรานเป็ศัตรูก็ยังปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเขา
“น้ำมันล้ำค่าจนถึงขนาดนี้เลย...” เป่าเจียกดเสียงลงพูด
หลินลั่วหรานส่ายหน้า “ดูต่อไปก่อนเถอะ” เธอนึกถึงหนังเื่ ‘เทวดาท่าจะบ๊อง’ ขึ้นมา บางทีสิ่งที่พวกเขากำลังสนใจอยู่ อาจจะไม่ใช่เพียงแค่น้ำสะอาดก็ได้
สุดท้ายปาหนีก็ใช้ภาษาอังกฤษพูดออกมาว่า “พวกเขาต่างก็ชอบขวดแบบนี้ พวกเขาบอกว่ามันสามารถใช้ในการกักเก็บน้ำดื่มได้และบอกว่าพวกเราเป็แขกคนสำคัญของพวกเขา”
พวกเขาทั้งสามนั้นต่างก็สามารถฟังภาษาอังกฤษได้เข้าใจเป่าเจียเดาะลิ้นขึ้นมา เธอรู้สึกว่าลูกอมที่บรรจุอยู่เต็มกระเป๋าของเธอดูเหมือนว่าจะเป็เพียงของที่ดูดีแต่เพียงภายนอกเท่านั้นแล้ว
เป่าเจียเป็คนที่สนิทกับคนอื่นง่ายั้แ่แรกดังนั้นในตอนที่หลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งหลบออกไปคุยเื่รายละเอียดกับหัวหน้าเผ่าเป่าเจียก็เดินไปยังบริเวณรอบกองไฟและเริ่มใช้ภาษามือในการสื่อสารกับพวกผู้หญิงและเด็กๆชาวพื้นเมือง
ในบริเวณด้านหลังของกระท่อมเหวินกวนจิ่งหยิบเอารูปภาพที่พิมพ์ออกมาเรียบร้อยแล้วออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งไปให้หัวหน้าเผ่าวัยรุ่นคนนั้น
เื่ของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันทำเอาหัวหน้าเผ่าใไม่น้อยเมื่อได้รับมาเขาก็พลิกมองไปมา ปาหนีส่งต่อความ้าของพวกหลินลั่วหรานให้กับหัวหน้าเผ่าฟังเมื่อหัวหน้าเผ่าได้มองไปยังรูปภาพบางทีอาจจะเป็เพราะไม่มีไฟเขาก็เลยมองอยู่นานแต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ ออกมาหลินลั่วหรานจึงหยิบเอาไฟฉายออกมาฉายแสงขึ้นหัวหน้าเผ่านั้นได้แต่ประหลาดใจกับเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันดูเหมือนว่าที่เผ่าแห่งนี้จะไม่เคยมีคนผ่านมาก่อน
พวกของหลินลั่วหรานพยายามอธิบายเื่ของ ‘กระบองที่สามารถส่องแสงได้’ ให้กับหัวหน้าเผ่าฟังด้วยความอดทน จนเมื่อตอบตกลงว่าจะยกไฟฉายนี้ให้เขาหัวหน้าเผ่าถึงได้ตั้งใจมองไปที่รูปใบนั้นอย่างจริงจังอีกครั้ง
“อา” ดวงตาของเขาเบิกออกกว้างพร้อมกับส่งเสียงออกมาด้วยความใ
หลินลั่วหรานกับเหวินกวนจิ่งหันมาสบตากันก่อนจะพบเห็นความดีใจบนใบหน้าของทั้งคู่ ดูจากสีหน้าของหัวหน้าเผ่าแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องรู้จักจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ในรูปภาพอย่างแน่นอน!
หรือว่าครั้งนี้จะผ่านไปได้อย่างราบรื่นแบบนี้เลย?
ปาหนีถามเขาขึ้นว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ไม่ว่าจะถามไปกี่ครั้งดวงตาของหัวหน้าเผ่าก็เบิกโตขึ้นเรื่อยๆ เขาใจนส่งเสียงร้องออกมาก่อนที่จะใจนสลบไป!
เป็อะไรไปล่ะ? นี่มันสถานการณ์อะไรกันหลินลั่วหรานขมวดคิ้วเข้าหากัน ก็แค่ถามถึงรูปจิตรกรรมฝาผนังรูปหนึ่งเท่านั้นทำไมถึงทำให้คนใถึงขึ้นเป็ลมไปได้...
เหวินกวนจิ่งฝืนยิ้มออกมา “โอ้!”
โอเค พวกชนเผ่าพื้นเมืองที่เมื่อสักครู่ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มตอนนี้พวกเขากลับถือหอกยาวล้อมพวกเขาเข้าไว้อีกครั้งหลินลั่วหรานรู้สึกได้ถึงความปวดหัว แต่หากเธอเป็พวกเขาแล้วการที่หัวหน้าเผ่าถูกคนทั้งสองคนทำเอาใจนเป็ลมไปก็คงจะเป็เหตุผลที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปแบบนี้แหละ...
