มู่หรงฉือรู้อยู่แล้วว่าจาวฮวาถนัดเสแสร้ง ความสามารถในการแสดงยอดเยี่ยม
สองมือของมู่หรงฉางถือผ้าเช็ดหน้า พูดอย่างน่าสงสาร “พวกข้าหลวง เฟยผินพวกนั้นบอกว่าลูก...อวดดีเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจไร้มารยาท องค์หญิงเช่นนี้ คุณชายตระกูลไหนจะกล้ามาสู่ขอกัน? สู่ขอองค์หญิงมิสู้สู่ขอแม่นางนิสัยดุร้ายกลับบ้าน...พวกนางยังบอกอีกว่าไม่แน่ลูกอาจจะกลายเป็สตรีชราแก่ตายอยู่ในวังหลวง...”
มู่หรงฉือกุมหน้าผาก คำพูดเกินจริงเช่นนี้คงมีแค่เสด็จพ่อที่เชื่อ
“พวกสารเลว!” มู่หรงเฉิงทุบมือลงกับเตียงอย่างมีโทสะ โกรธจนหนวดกระตุก พลางถลึงตา “คนพวกนั้นที่กล้ามาว่าเ้าคือ...คือใครกัน?”
“เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ เสด็จพ่ออย่ากริ้วไปเลย ความจริงแล้วที่พวกเขาพูดมาก็ไม่ผิด ลูกก็เอาแต่ใจจริงๆ...เสด็จพ่ออย่าลงโทษพวกเขาเลยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงลูกจะยิ่งไม่ดีเอานะเพคะ”
“เสด็จพ่อ เหล่าข้าหลวง เฟยผินก็พูดจามั่วซั่วกันไป เพราะน้องสาวอายุสิบเจ็ดปีแล้วแต่กลับยังไม่ทรงพระราชทานสมรสให้” มู่หรงฉือกล่าว
“จาวฮวา เ้าอย่าร้อนใจไป พ่อเลือกราชบุตรเขยไว้ให้เ้าแล้ว” มู่หรงเฉิงพูดปลอบใจ
“เสด็จพ่อ หากลูกจะต้องแต่งงาน ลูกจะแต่งงานกับบุรุษที่ลูกพึงใจ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ มีภาพลักษณ์โดดเด่น แต่งกับคนที่โดดเด่นที่สุดในราชสำนัก” มู่หรงฉางเชิดคางขึ้น ท่าทางภูมิใจ ใบหน้าเล็กราวไข่มุกทะเลใต้ สดใสเป็ประกาย
มู่หรงเฉิงยิ้มแช่มชื่น “พูดเช่นนี้ เ้ามีคนที่ถูกใจแล้วหรือ?”
นางหลุบตาลงท่าทีเอียงอาย “เสด็จพ่อ...”
มู่หรงฉือยิ้ม “ให้เปิ่นกงเดา คนที่น้องชอบก็คือคนที่โดดเด่นที่สุดในราชสำนัก เก่งทั้งบุ๋นบู๊ ภาพลักษณ์โดดเด่น...นอกจากอวี้หวางแล้ว ยังจะมีบุรุษผู้ใดสมควรได้รับคำชมเหมือนอย่างที่น้องชมอีก?”
นางปรายตามองมู่หรงฉือ พูดด้วยความเอียงอาย “เสด็จพี่นี่แย่จริง...”
ไม่ได้ปฏิเสธ ก็ถือว่าเป็การยอมรับแล้ว
มองไปยังพวงแก้มที่ย้อมไปด้วยสีแดงของนาง เช่นนี้ก็คือพูดโดนเื่ที่เก็บซ่อนไว้ในใจแล้วไม่ใช่หรือ?
รอยยิ้มร่าบนใบหน้าของมู่หรงเฉิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย คิ้วพลันขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าหนักใจ
มู่หรงฉือครุ่นคิดเงียบๆ หรือเสด็จพ่อไม่อยากได้มู่หรงอวี้เป็ราชบุตรเขย?
มู่หรงฉางถนัดการดูสีหน้าคน แค่เห็นก็เข้าใจได้ทันที แล้วก็มองความผิดปกติของเสด็จพ่อออก “เสด็จพ่อ...”
“จาวฮวา พ่อจะต้องเลือกราชบุตรเขยที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ให้เ้า แน่นอนว่าจะต้องทำให้เ้าพอใจแน่นอน” น้ำเสียงแก่ชราของมู่หรงเฉิงทรงอำนาจอยู่หลายส่วน
“แต่ว่าเสด็จพ่อ...” นางพูดอย่างร้อนใจ
“เจิ้นเหนื่อยแล้ว พวกเ้ากลับไปเถิด” สีหน้ากับน้ำเสียงของเขาเ็าลงหลายส่วน
“ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงฉือโค้งคำนับ
ต่อให้มู่หรงฉางจะไม่พอใจเพียงใดก็ไม่กล้าจะขัดคำสั่ง นางทูลลาพระบิดาก่อนจะล่าถอยกลับไป
ทั้งสองคนออกมาจากตำหนัก มู่หรงฉางดึงแขนเสื้อของมู่หรงฉือ พูดขอร้อง “เสด็จพี่ ท่านจะต้องช่วยน้อง เสด็จพ่อไม่ยินดีให้ลูกแต่งงานกับอวี้หวาง...ใช่หรือไม่?”
ครั้นมู่หรงฉือพยักหน้าตอบตกลงว่าจะช่วย นางถึงได้กลับไปที่ตำหนักจิ่งหง
ระหว่างทางกลับไปยังตำหนักบูรพา ฉินรั่วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เตี้ยนเซี่ย เหตุใดฮ่องเต้จึงไม่เห็นด้วยที่จะให้องค์หญิงจาวฮวาแต่งงานกับอวี้หวางหรือเพคะ? พูดกันตามเหตุผลแล้ว ฮ่องเต้เชื่อมั่นในตัวอวี้หวางถึงขนาดให้กุมอำนาจทั้งหมดในราชสำนัก ให้องค์หญิงแต่งงานกับอวี้หวางก็เหมาะสมที่สุดไม่ใช่หรือ?”
“เปิ่นกงเองก็รู้สึกว่าแปลกเช่นเดียวกัน”
มู่หรงฉือครุ่นคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ทั้งราชสำนักคนที่เก่งบุ๋นบู๊ คนที่เสด็จพ่อเชื่อใจมากที่สุดให้ความสำคัญมากที่สุดคือมู่หรงอวี้ เสด็จพ่อยกองค์หญิงที่รักถนอมที่สุดให้แต่งกับเขา ก็เป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
หรือว่าเสด็จพ่อเองก็มีความกังวลเช่นเดียวกับเฉียวเฟย?
ในเมื่อให้ความสำคัญและเชื่อใจมู่หรงอวี้ เช่นนั้นจะกังวลไปไย?
ดูเช่นนี้แล้ว หรือเสด็จพ่อไม่ได้เชื่อใจมู่หรงอวี้ถึงเพียงนั้น? ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเสด็จพ่อถึงให้มู่หรงอวี้กุมอำนาจในราชสำนักเล่า? นี่มันไม่ขัดแย้งในตัวเองเกินไปหรือ?
เดินมาได้ครึ่งทาง จู่ๆ ฉินรั่วก็ยกมือขึ้นกุมท้อง นางงอตัวลง “อั้ยหยา”
“เป็อะไรไปหรือ?” มู่หรงฉือถามด้วยความกังวลใจ
“หนูฉายท้องเสียเมื่อเช้า เดิมคิดว่าคงไม่มีปัญหาแล้ว คิดไม่ถึงว่า...” ฉินรั่วสีหน้าลังเลก่อนจะมองมาอย่างเศร้าใจแกมขอร้อง “หนูฉายไปห้องน้ำได้หรือไม่เพคะ...”
“ไปเถิด เปิ่นกงจะกลับตำหนักบูรพาก่อน เ้าก็ตามสบายเถอะ”
“เพคะ เตี้ยนเซี่ย”
ฉินรั่วโค้งตัวแล้ววิ่งจากไปทันที
มู่หรงฉือส่ายหน้าหัวเราะ ก่อนจะเดินกลับไปยังตำหนักบูรพา
เลี้ยวไปทางถนนที่เงียบเชียบไร้ผู้คน หัวใจของนางพลันเย็นวาบ ลมเย็นๆ สายหนึ่งที่โอบล้อมอยู่รอบกายพลันปะทะเข้ามา
เงาสีเงินแหลมคมราวงูพิษพุ่งเข้าโจมตีที่หัวใจ
แสงอาทิตย์สว่างไสวสาดส่องลงมา ในฤดูร้อนที่อากาศร้อนระอุ นางกลับถูกแสงสีเงินแหลมคมบีบให้เหงื่อไหลไปทั่วร่าง การลอบสังหารนี้มาอย่างกะทันหันยิ่ง หากนางไม่มีศิลปะป้องกันตัวติดตัว เกรงว่าจะถูกนักฆ่าผู้นี้สังหารไปแล้ว
นางเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันยืนให้มั่นคงแสงสีเงินนั้นก็แทงเข้ามาอีกครั้ง
แทงเข้ามาติดๆ กันสี่ครั้ง นางไม่ได้ตอบโต้กลับไป เพราะว่านักฆ่าคนนี้ไม่ได้มีวิชาการต่อสู้ พึ่งเพียงออกแรงเข้ามาแทงเท่านั้น
ถนนเส้นนี้ค่อนข้างเปลี่ยว แม้จะมีหน่วยลาดตระเวนตามเวลา แต่ว่าตอนนี้ยังเงียบสงัดไม่มีใคร มีเพียงแสงแดดอันร้อนแรงเป็เพื่อนเท่านั้น
นักฆ่าแทงเข้ามาอย่างแรงอีกครั้ง มู่หรงฉือไม่อยากเปิดเผยความสามารถในการต่อสู้ออกไป จึงพยายามหลบหลีก ทำได้เพียงป้องกันแต่ไม่อาจโจมตีออกไป
นักฆ่าคนนี้ใส่ชุดสีแดง เป็ขันทีผู้หนึ่ง!
นางยกมือขึ้นจับผ้าดำที่คลุมใบหน้าของนักฆ่าออก นักฆ่าคนนั้นเหมือนจะใ สะบัดมีดออกไปอย่างแรง
แสงสีเงินวาบผ่าน เกิดเสียงดังแควก เสื้อผ้าพลันฉีกขาดพร้อมกับผิวเนื้อที่ถูกบาด
แขนที่ซ่อนอยู่ในสาบเสื้อพลันเจ็บแปลบขึ้นมา มู่หรงฉือถอยหลัง มองเห็นองครักษ์สี่คนวิ่งมา จึงะโไปทางพวกเขาเสียงดัง “มีนักฆ่า! รีบมาช่วยเปิ่นกงเร็วเข้า!”
นักฆ่าคนนั้นเห็นองครักษ์สี่คนวิ่งเข้ามาก็รีบหนีไป
ทว่า วิ่งไปได้ไม่ไกลก็ถูกองครักษ์อีกหลายคนที่มาจากอีกทางล้อมเอาไว้ จึงถูกจับกุมในที่สุด
มู่หรงฉือไม่สนใจาแที่แขนซ้าย นางจ้องนักฆ่าคนนั้นด้วยสายตาเ็า “ดึงผ้าดำของเขาออก!”
องครักษ์ดึงผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าของนักฆ่า เป็ขันทีอายุน้อย ใบหน้าหมดจด ผิวขาวปากแดง
ดาบยาวทั้งสองข้างจ่ออยู่ที่ลำคอ นักฆ่าผู้นั้นไม่อาจขยับตัวได้ จึงได้แต่จ้องเขม็งมาที่นาง ไม่ได้มีความหวาดกลัวปรากฏออกมาเลยสักนิด
นางจำใบหน้านี้ได้ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ?
ใช่แล้ว! ตำหนักเฟิ่งเทียน! คนที่ดูแลตำหนักเฟิ่งเทียน จิ้นเซิงกับเสี่ยวยิน!
นักฆ่าคือเสี่ยวยิน!
มู่หรงฉือออกคำสั่ง “นำตัวไปขังเอาไว้ที่ตำหนักบูรพา เปิ่นกงจะสอบสวนเขาด้วยตนเอง!”
...
ตำหนักบูรพา ที่ตำหนักบรรทม
มู่หรงฉือนั่งอยู่ปลายเตียง หมอหลวงกำลังพันแผลที่แขนข้างซ้ายให้นาง าแไม่ได้ลึกมากแต่เป็ทางยาว มีเืไหลออกมาไม่น้อย เสื้อผ้าของนางย้อมไปด้วยสีแดง
หรูอี้ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่เจ็บแทนเ้านาย ทั้งยังเป็ห่วงแทบตายด้วยเช่นกัน
ในที่สุดหมอหลวงก็พันแผลเสร็จ หลังกำชับเื่ที่ต้องระวังเรียบร้อย ก่อนจะกลับก็ให้หรูอี้ส่งข้าหลวงไปรับยา
“ฉินรั่ว เหตุใดเ้าถึงได้ทิ้งเตี้ยนเซี่ยเอาไว้เพียงลำพัง? เตี้ยนเซี่ยถูกลอบสังหารทั้งยังได้รับาเ็ เ้าใช้ชีวิตตามใจตนเองมากเกินไปแล้วหรือไม่? ตอนกลางคืนเ้ายังนอนหลับลงอีกหรือ?”
หรูอี้ตำหนิฉินรั่วไม่หยุด ส่วนคนโดนตำหนิก็เอาแต่ก้มหน้าอยู่ด้านข้าง ไม่ได้แก้ตัวตอบโต้ใดๆ ท่าทางยอมรับความผิดแต่โดยดี
มู่หรงฉือเองก็ทนไม่ได้กับการพร่ำบ่นของหรูอี้จึงพูดออกมา “เอาล่ะ นี่เป็อุบัติเหตุ ตอนนั้นฉินรั่วปวดท้อง เปิ่นกงจะให้นางอดทนจนรอกลับมาถึงตำหนักบูรพาก่อนจะให้ไปเข้าห้องน้ำหรือ? แบบนั้นจะทนได้อย่างไร? เปิ่นกงไม่เป็อะไร ก็แค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้น ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”
“เตี้ยนเซี่ยเป็คนสำคัญนะเพคะ แผลถลอกก็คือเื่ใหญ่ หากเตี้ยนเซี่ยได้รับาเ็ก็คือหนูฉายดูแลท่านไม่ดี” หรูอี้จัดเตียงเรียบร้อยแล้วก็วางหมอนใบใหญ่นุ่ม “เตี้ยนเซี่ยพักผ่อนเถิดเพคะ หลายวันมานี้ห้ามออกไปด้านนอก ฉินรั่ว หากนักฆ่าที่มาลอบสังหารไม่ใช่ขันทีแต่เป็คนที่มีวิทยายุทธ์สูงส่ง เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยก็คง…ถึงเ้าตายไปพันครั้งก็ยังชดใช้ความผิดนี้ไม่ได้”
“ที่พี่หรูอี้สั่งสอนมาถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันเองก็ได้รับบทเรียนแล้ว จะไม่มีครั้งหน้าอีกเพคะ” ฉินรั่วท่าทางน้อยอกน้อยใจอย่างเต็มที่
มู่หรงฉือหัวเราพรืดออกมา “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว”
หรูอี้ประคองให้มู่หรงฉือนอนลง “เตี้ยนเซี่ยนอนลงเถิดเพคะ อีกเดี๋ยวหนูฉายจะยกยามา”
มู่หรงฉือมองฉินรั่วอย่างเศร้าสร้อย : เปิ่นกงไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ยิ่งไม่ได้รับาเ็หนักด้วย ต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ?
“เปิ่นกงหิวแล้ว หรูอี้ เ้าไปยกอาหารมาเถิด”
“เพคะ”
หรูอี้รับคำสั่งก่อนจะออกไป ฉินรั่วกับมู่หรงฉือมองหน้ากันพลางยิ้มขื่น
หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ ฉินรั่วกับหรูอี้ก็ไปสอบสวนนักฆ่าด้วยกันกับนาง
ตำหนักบูรพาไม่มีห้องขัง ดังนั้นเสี่ยวยินจึงถูกจับมาขังไว้ในห้องเล็กแคบห้องหนึ่ง ทั้งยังมีการเฝ้ายามอย่างแ่า
ภายในห้องมืดสนิท เสี่ยวยินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ร่างถูกเชือกมัดไว้กับเก้าอี้อย่างแ่า
ประตูห้องเปิดออก แสงสายหนึ่งส่องเข้ามา เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา คนที่มาใหม่ยืนหันหลังให้กับแสง จึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ทั้งร่างถูกอาบย้อมไว้ด้วยแสงอาทิตย์ ทั่วทั้งตัวมีแสงสาดประกายออกมา
เสี่ยวยินเหมือนจะจำได้ว่าคนที่มาเป็ใครจึงดิ้นรนอย่างรุนแรง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ข้าจะฆ่าเ้า! ข้าจะฆ่าเ้า!”
องค์รักษ์สองคนรีบเข้ามาตบหน้าเขาไปหลายฉาดถึงได้สงบลง
มู่หรงฉือโบกมือให้พวกเขาถอยไป ครั้นหรูอี้ปิดประตู ภายในห้องจึงมืดลงทันที
“เหตุใดเ้าถึงต้องลอบสังหารเปิ่นกง?” มู่หรงฉือตัวสูงเพรียว ดวงหน้าของนางขาวราวหิมะท่ามกลางความมืด
“เพราะว่าเ้าสมควรตาย” เสี่ยวยินเชิดคางขึ้น ใบหน้าบิดเบี้ยว ในความมืดเช่นนี้จึงดูน่ากลัวมาก “ข้าจะส่งเ้าไปพบยมบาล”
“สงบหน่อย!” ฉินรั่วตำหนิเสียงเย็น
“ใครสั่งให้เ้ามาลอบสังหารเปิ่นกง”
“เ้าลองเดาสิ” เขายิ้มเย็น หางตามีแววได้ใจปรากฏขึ้น
“ให้เปิ่นกงเดา คนที่สั่งเ้ามานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหยกโลหิตที่ตำหนักเฟิ่งเทียนสินะ”
“เ้ารู้ได้อย่างไร?”
เสี่ยวยินเบิกตากว้างด้วยความใ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็ปกติ “เ้ากำลังหลอกข้า”
มู่หรงฉือถามเสียงเรียบ “หยกโลหิตที่ตกจากฟ้าเป็เ้าที่ทำหรือ?”
เขาหัวเราะเ้าเล่ห์อย่างได้ใจ “ใช่แล้วอย่างไร?”
“เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้? ใครสั่งให้เ้าทำ?”
“จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้นโลก หยกโลหิตปรากฎออกมา จันทร์ส่องแสง ส่องลงบนพื้น ฝนสาดกระจายไปทั่วฟ้า จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้น ปลากินคน จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้น แคว้นถูกแย่งชิง” เสี่ยวยินร้องออกมาเสียงดัง เงยหน้าขึ้นราวกับเห็นเทพเ้า
“เตี้ยนเซี่ย เหตุใดเขาจึงร้องเพลงนี้เพคะ?” ฉินรั่วถามด้วยความแปลกใจ
“เป็อวี้หวางสั่งให้เ้าทำหรือ?” แววตาของมู่หรงฉือเ็า
“ทั้งหมดเป็ข้าที่ทำ ฮ่าๆๆๆ…” เขาหัวเราะเสียงดังเงยหน้าร้องเพลงทั้งๆ ที่ยังหัวเราะ “ฟ้าเปลี่ยนแล้ว…บุรุษผู้ทรงคุณธรรมปรากฏตัวขึ้นแล้ว…แคว้นเยี่ยนรอดแล้ว…สิ่งที่ลงมือประสบความสำเร็จ ข้าตายไปแล้วจะอย่างไร? คนพวกนั้นตายไปก็เพื่อวีรบุรุษผู้นั้น นับเป็เกียรติของพวกเขาเสียอีก…”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้