ทั้งสามเดินทางมาถึงหมู่บ้านกงผอ ก็เดินสวนกับผู้อพยพจำนวนไม่น้อยเดินสวนทางมาจึงสอบถามดู จึงรู้ว่าชาวบ้านอพยพมาจากทางเหนือของหมู่บ้านกงผอ และห่างออกไปเป็หมู่บ้านกว่าฟุซึ่งแปลว่าแม่หม้าย พวกเขารีบออกจากที่นี่เพราะว่าที่นั่นมีผู้ชายในหมู่บ้านที่ย้ายเข้าไปอยู่ใหม่นอนตาย อย่างไม่ทราบสาเหตุ
บางคนก็เจ็บไข้กระเสาะกระแสะจึงจะพากันอพยพไปที่อื่น พวกเขาทนมานานแล้ว แถมหมู่บ้านนั้นยังแห้งแล้งมาหลายชั่วอายุคนแล้วที่พวกเขา ยังอยู่กันได้เพราะข้ามไปหาอาหารจากหมู่บ้านข้างเคียง ที่น่าแปลกผู้หญิงไม่ว่าจะเป็ทั้งเด็กทั้งแก่ทั้งผู้ใหญ่ไม่ค่อยจะเป็อะไร ตรงข้ามกับผู้ชาย
ทั้งสามพี่น้องและอีกหนึ่งกบไม่ได้สนใจคำที่ชาวบ้านพูดจึงพากันเดินสวนขึ้นไป เดินทางมาประมาณสองลี้ก็เจอเข้ากับความแห้งแล้งแผ่นดินเป็สีขาวปลูกอะไรไม่ได้ บ้านแต่ละหลังดูแปลกตา เป็บ้านที่ทำด้วยหินและดิน กระทั่งหลังคาก็ยังมีดินทับอยู่ข้างบน ทั้งหลังคล้ายๆ ถ้ำ แต่ละหลังอยู่ห่างกันพอประมาณ ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ยิ่งรู้สึก เหมือนอากาศเย็นทั้งที่แห้งแล้ง จนปลูกอะไรไม่ได้ แต่อากาศรอบหมู่บ้านไม่ได้ร้อนออกจะเย็นเสียด้วยซ้ำ
ชาวบ้านไม่ได้สนใจทั้งสามพี่น้องที่เดินเข้ามาในหมู่บ้าน พวกเขากำลังเสียใจที่ผู้ชายในบ้านเสียชีวิต เป็แบบนี้มานานพอมีลูกหลานในหมู่บ้านแต่งงานออกไปกลับมาพร้อมกับสามีและลูก ่แรกก็ยังแข็งแรงดีอยู่มาสักพักก็อาการเริ่มป่วยถ้าออกไปรักษาในเมืองอาการก็ดีขึ้น พอกลับเข้ามาในหมู่บ้านอยู่มาสักพักก็ป่วยอีก ล่าสุดเสียชีวิตไปสองคนโดยไม่ทราบสาเหตุ นอนหลับแล้วก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย
ครอบครัวเย่าเพิ่งจะเสียผู้นำครอบครัวไป หลังจากออกไปทำงานอยู่กับกองคาราวานขายของ และได้กลับมาอยู่ กับครอบครัวได้เพียงสามเดือนก็เสียชีวิต ปกติแล้วเขาจะอยู่ที่บ้านไม่นานกลับมา่สั้นๆ แค่สี่ห้าวันก็กลับไปทำงาน แต่เขาโชคไม่ดีระหว่างไปทำงานแล้วเจอสัตว์อสูรมีการต่อสู้
เขาได้รับาเ็ที่ขากลับมา จึงขอพักรักษาอาการาเ็ก่อนหายแล้วคอยทำงานต่อ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะได้พักไปตลอด อีกคนเป็ลูกเขยใหม่จากต่างหมู่บ้านทำงานขยันขันแข็ง แม้จะปลูกอะไรไม่ได้ก็เข้าป่าล่าสัตว์ โชคร้ายตกเขา าเ็กลับมารักษาตัวที่บ้านเขาเสียชีวิตคืนเดียวกัน
ก่อนหน้านี้มีคนตายพวกเขาก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าเป็เจ็บป่วยจากการทำงานหนัก เพราะความแห้งแล้งและอดอยาก แต่คนเสียชีวิตน่าจะเป็เด็กและผู้หญิงชราแต่นี่เป็ชายทั้งหมด ที่หมู่บ้านยังมีผู้ชายที่ยังหลงเหลืออยู่ ประมาณห้าถึงหกคนต่างก็เตรียมตัวออกเดินทางย้ายไปอยู่ที่อื่นพร้อมกับครอบครัวหลัง จากจัดการฝังศพเรียบร้อยแล้ว
“พี่ใหญ่เด็กพวกนั้นน่าสงสารมากอายุคงพอกับข้า แต่ตัวผอมแห้งมากเลยน่าสงสารจังเ้าค่ะ”
“พี่ว่ามันต้องมีอะไรแน่รู้สึกที่นี่อากาศจะเย็นกว่าหมู่บ้านอื่นที่เราเดินผ่านมาไหม ทั้งที่แห้งแล้งขนาดนี้”
“ข้ารู้สึกเหมือนกันพี่ใหญ่ ข้ารู้สึกั้แ่เดินเข้าหมู่บ้านมาเหมือนพลังปราณข้าถูกดึงออกจากร่างกายเลยขอรับ”
“ไม่แปลกเพราะเ้าเป็ผู้ชาย เพราะผู้ชายที่นี่ถูกดึงปราณชีวิตไป เราเดินไปที่บ้านผู้นำหมู่บ้านกันเถอะ”
ผู้นำหมู่บ้านที่นี่เป็หญิงชราอายุประมาณ หกสิบปีแต่ผิวพรรณหน้าตายังดูดีทั้งที่อดอยาก ซีซีสังเกตหลายคนแล้วผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานหรือมีครอบครัวมาแล้วกลับดูดีอย่างเหลือเชื่อ แต่ถ้าเด็กเล็กดูผอมแห้งผิวเหลืองซีด ตาเหลืองผมแห้งกรอบเหมือนคนขาดสารอาหาร “ มันเกิดจากอะไรกันน่ะ”
“ท่านยายข้าพอจะสอบถามได้หรือไม่ว่า ที่นี่ทำไมถึงอากาศเย็นทั้งที่ออกจะแล้ง จนปลูกอะไรไม่ได้ท่านพอจะรู้ไหมเ้าคะข้าแค่ส่งสัยเท่านั้น”
“เด็กน้อยจากพวกเ้ามาจากที่ไหนกัน พวกเ้าไม่เหมือนคนแถวนี้ ที่มีแต่ผอมแห้งเนื้อตัวมีแต่ฝุ่น”
ยายผู้นำหมู่บ้านพูดขึ้นพร้อมกับมองพวกนางด้วยความสนใจ เพราะดูการแต่งตัวคงเป็คุณหนูคุณชาย มาจากเมืองหลวงคงแค่ผ่านมาเท่านั้น
“ที่นี่เป็แบบนี้มานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านไม่ได้เสียชีวิตติดๆ กันแบบนี้หลอก พอมีติดก็ทำให้ทุกคนเริ่มกลัว”ยายผู้นำหมู่บ้านจึงเล่าเื่ให้ฟัง
“ประมาณสามสิบปีมาแล้วลูกชายและสามีข้าต่างก็เสียชีวิตไปแล้ว ตัวข้าและชาวบ้านจะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ได้ เพราะความยากจนต้องอาศัยอยู่ที่นี่ บางทีก็ไปรับจ้างที่อื่นหรือ ไปล่าสัตว์มาให้ทางครอบครัวได้กินกัน” ยายเล่าทั้งน้ำตา ดวงตาหม่นหมองเสียใจ
“ท่านยายเคยให้ไปแจ้งเ้าหน้าที่มาตรวจสอบดูหรือไม่ ว่าสาเหตุการตายของลูกบ้านเกิดจากอะไร”
“แรกๆ ก็มีเ้าหน้าที่เดินทางเข้ามาตรวจ และบอกสาเหตุการตายของคนในหมู่บ้านด้วยอุบัติเหตุบ้าง เจ็บป่วยบ้างเป็เื่ปกติจึงไม่มีใครคิดอะไร จนล่วงเลยมาถึงตอนนี้ผู้ชายในหมู่บ้านแทบไม่เหลือแล้ว”
“ท่านพาพวกข้าเดินสำรวจให้ทั่วหมู่บ้านได้ไหมเ้าค่ะ”
ยายผู้นำหมู่บ้านมองนางแล้วพยักหน้า คิดเสียว่าพาคุณหนูคุณชายมาเดินเล่นสนุกๆ เอาใจสักหน่อยเผื่อพ่อแม่คุณหนูคุณชาย อาจจะช่วยเหลือพวกเขาได้
"พวกเ้าเรียกข้าว่ายายจินก็ได้ข้าจะพาเ้าสำรวจเอง "
"ยายจินเรียกข้าว่าซีซี น้องรองหลิวหยาง ส่วนน้องเลยซิงซิงเ้าค่ะ”
ยายจินยิ้มด้วยความอบอุ่นเพราะที่บ้านนางไม่เด็กมานานแล้ว ลูกชายก็เสียชีวิตไปแล้วลูกสาวแต่งออกไป ลูกเขยไม่เคยมาเยี่ยมเลยเพราะกลัว ตัวเองจะเจ็บป่วยและตายทุกวันนี้นางอยู่กับลูกสะใภ้ ที่เป็ม่ายเหมือนกันดีที่ลูกสะใภ้กตัญญู แม้สามีจะเสียชีวิตไปแล้วยังอยู่ดูแลยายจินเป็อย่างดี ไม่เหมือนสะใภ้บางบ้านพอสามีเสียชีวิต
ก็เดินทางออกจากหมู่บ้านไปเป็อนุของคนในเมือง เพื่อตัวเองจะได้ไม่ลำบาก จะกลับบ้านเดิมก็ไม่ได้ แต่ก็ว่าไม่ได้ทุกคนไม่อยากอดมื้อกินมื้อกับแม่สามี สู้ไปมีชีวิตที่สบายกว่าถึงเป็อนุก็ยอมดีกว่าอดตาย
ยายจินเดินพาสำรวจทั่วทั้งหมู่บ้านก็ไม่เจออะไรผิดปกติ จนเดินผ่านบ้านหลังสุดท้ายไปเป็เนินเขาเตี้ย ซีซีหันกลับมามองหมู่บ้าน นางคิดว่าหมู่บ้านนี้มีภาวะหยินเยอะเกินไปมาก จนไปกัดกินพลังหยางจนหมดสิ้น ถ้าจะเปลี่ยนหยินให้เป็หยาง ต้องทำยังไงซีซียกมือลูบคางตัวเอง
นางและน้องๆ ใส่หน้ากากเวทอำพรางตัวเอง เพื่อให้ศัตรูที่ไม่รู้จักจำหน้าได้ เพราะนางยิ่งโตยิ่งมีส่วนคล้ายท่านแม่ถึงเจ็ดส่วน ชาวบ้านจึงเห็นแค่เด็กหน้าตาดีแต่งตัวสะอาดสะอ้าน เหมือนคุณหนูคุณชายในเมืองเท่านั้น
“ยายจินเ้าค่ะ หมู่บ้านนี้มีพลังหยินเยอะเกินไป ทำให้ผู้ชายที่มีพลังหยางอยู่ไม่ได้ ต้องรีบแก้ไขเ้าค่ะ”
"เ้าดูออกรึข้าสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง แม่หนูเ้าพอรู้ทางแก้หรือไม่ ถ้าเ้าดูออกแสดงว่าเ้าต้องมีวิธี ช่วยชาวบ้านแห่งนี้ด้วยเถอะแม่หนู"
ซีซียืนคิดถึงสิ่งที่น่าจะเป็ไปได้ เพราะนางเรียนอักขระค่ายกลมา เวลาตั้งค่ายกลมองแบบสี่ทิศใหญ่แปดทิศย่อย หันหน้าเข้าหมู่บ้านซ้ายมือต้องเป็ั ขวาต้องเป็เสือขาว หลังคือเต่าดำ หน้าคือนกหงส์แดง นางยืนอยู่ตรงเขาลูกเตี้ย แล้วมองไปยัง ฝั่งตัวแทนของัราบเรียบไม่มีอะไร มีแต่พื้นดินสีขาวต้นหญ้าก็แทบจะไม่มี มองไปทางฝั่งเสือ ก็ปกติไม่มีอะไร
“แต่เอ๊ะ!” ยายจินเ้าคะูเาหินสามก้อนที่อยู่ตรงโน้นมีมานานหรือยัง มันน่าจะเป็ตัวที่ทำให้เกิดภาวะหยิน มีสามก้อนก็ไม่ดีอยู่แล้ว ดันไปอยู่ฝั่งเสือทำให้ฝั่งั ที่เป็พลังหยางถูกกด ทำให้พลังไม่สมดุลกัน”
นางปรึกษากับผู้นำหมู่บ้าน ว่าต้องทำลายหินทั้งสามก้อนนี้เพื่อให้พลังหยิน อ่อนกำลังลงถ้าเป็ไปได้ ย้ายมาไว้ฝั่งัก็จะดีแต่คงไม่มีใครสามารถยกก้อนหินหนักขนาดนั้นได้ คนในหมู่บ้านก็มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก งานนี้ยากแล้ว
เ้ากบพี่แอบอยู่ในกระเป๋า พูดขึ้นเบาๆ “จะไปยากอะไรเดี๋ยวคืนนี้ ตอนชาวบ้านหลับกันหมด ข้าจะออกมาเหยียบมันเองก้อนหินสามก้อนนี้”
เย็นวันนั้นทั้งสามคนพักที่บ้านของยายจิน ซีซีมองสภาพบ้าน ถึงจะดูสะอาดเรียบร้อยแต่ภายในบ้าน ก็ดูอึมครึมหน้าต่างประตูไม่เปิดรับแสงและอากาศข้างนอกเข้ามา ทำให้รู้สึกไม่ปลอดโปร่งติดจะหนาวเสียด้วยซ้ำ
นางจึงวางเวทอักขระไว้ในห้องน้องชายของนาง จะได้ไม่เสียพลังปราณหยางไปเยอะกว่านี้
ตกดึกคืนนั้นชาวบ้านได้ยินเสียงดังมาจากูเาหินติดหมู่บ้าน พวกเขานึกว่าเป็ความฝันบางคนดึงผ้ามาคลุมโปงด้วยความกลัว ไม่มีใครกล้าออกมาดูว่าเกิดอะไรเหตุการณ์อะไร พอเสียงสงบก็พากันหลับต่อ
รุ่งเช้าชาวบ้านที่ตื่นแต่เช้าต่างใกับ กับอากาศที่เคยเย็นกลายเป็ปลอดโปร่งสบายมีสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามา ในหมู่บ้าน ต่างพากันรีบปลุกคนในครอบครัวออกมาดูความแปลกประหลาดนี้ รวมถึงยายจินและลูกสะใภ้ ยายจินรีบออกมานอกบ้านหันไปมองทาง ด้านขวาที่มีูเาหินสามลูกอยู่
“มันเป็ไปได้ยังไง! หินสามก้อนที่ตั้งอยู่มาหลาย ร้อยปีหายไปกับตากลายเป็เศษหิน วางเรียงอยู่กับพื้น เด็กพวกนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็แน่ ไม่อย่างงั้นใครจะมีความสามารถทำลายหินพวกนี้ได้ ใช้คนหลายร้อยก็ยังไม่สามารถทำให้หินก้อนหนึ่งหายไปในคืนเดียวได้เลย” ยายจินพูดกับลูกสะใภ้
คิดได้ดังนั้นในใจยายจินเริ่มศรัทธาพวกเขาทั้งสาม ยายจินเดินกลับเข้ามาในบ้านก็เจอเขากลับซีซีที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้าน
“ข้าขอบคุณพวกเ้ามาก ที่ทำให้ความเป็พลังหยินหายไป ข้ารู้สึกว่าอาการปลอดโปร่งขึ้น มีสายลมพัดเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ไม่ได้สงบและเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้”
“ยายจินต้องให้ชาวบ้านเปิดประตูหน้าต่าง รับแสงแดดอากาศเข้าไปในบ้าน ถ้าเป็ไปได้ใครที่สร้างบ้านใหม่ ให้สร้างเหมือนชาวบ้านหมู่บ้านอื่นๆ ไม่ต้องอยู่ในบ้านเย็นๆ มืดและอับชื้นแบบนี้ ชาวบ้านก็จะหายป่วยผู้ชายจะได้ไม่อายุสั้นยายจินเข้าใจหรือไม่ เื่พวกเขาหินสามก้อนนั้นให้บอกชาวบ้านไปว่า เมื่อคืนเกิดเหตุมีเทพเซียนจากเบื้องบนสงสารชาวบ้านที่อยู่กันแบบลำบาก ผู้ชายก็ล้มหายตายจากจึงได้ะเิก้อนหินทิ้ง”
ชาวบ้านเชื่อเื่พวกนี้ก็ต้องบอกตามนี้ไป ยายจินเห็นดังนั้นจึงรีบออกไปเคาะกระบอกไม้ไผ่ เรียกชาวบ้านมาชุมนุมกัน และบอกกล่าวชาวบ้านตามที่ซีซีพูดให้ฟังชาวบ้านต่างดีใจมาก ต่อไปผู้ชายและเด็กผู้ชายไม่เจ็บป่วยและล้มหายตายจากกันไป พวกเขาจะได้ไม่ต้องอพยพไปที่ไหน ต่างดีใจจนน้ำตาซึมแล้วรีบ กลับบ้านเพื่อไปเปิดประตูหน้าต่าง ให้แสงสว่างและสายลมเข้าไปในบ้านมากที่สุด
“ขอบใจมากนะเ้ากบเขียว” นางพูดเบาๆ รับรู้แค่นางกับเ้ากบเท่านั้น
ซีซีแจ้งกับยายจินว่าพวกนางจะออกเดินทางต่อ แต่ก่อนการออกเดินทางเราขอให้ ยายจินเรียกชาวบ้านเด็กและผู้ใหญ่มาอีกครั้งหนึ่ง ยายจินจึงได้เคาะกระบอกไม้ไผ่อีกรอบหนึ่ง เรียกชาวบ้านมารวมกลุ่มกัน เมื่อชาวบ้านมาพร้อมแล้ว ซีซีในฐานะผู้ปรุงยา ได้เตรียมยารักษาเบื้องต้นเช่นแก้ไข้แก้แพ้ยาห้ามเื ยาทาแผลแบบอ่อนให้กับชาวบ้าน และยาบำรุงร่างกายที่เด็กทั้งหญิงและชาย และผู้ชายที่ยังมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน ให้ทานพร้อมกันที่นี่ทั้งหมด เพราะถ้ามีอาการอะไรเพิ่มเติมจะได้แก้ไขในทันที เพราะพวกเขาเป็ชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่ผู้ฝึกปราณ อาจจะมีผลข้างเคียง แต่นางได้ใช้ยาที่อ่อนที่สุดแล้ว
ยายจินทำหน้าที่แจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านทุกคน ถามอาการที่พวกเขาเป็ และให้ยาตามอาการ ชาวบ้านที่เริ่มทานยาแล้วต่างใมาก
“นี้…นี้ ข้ารู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาไม่เจ็บแน่นหน้าอกหายใจก็สะดวกขึ้น ยานี้ช่างพิเศษเสียจริง” ชายที่มีรูปร่างผอมแห้งซีดเซียว และกำลังจะเตรียมย้ายออกจากหมู่บ้านพูดเสียงดังขึ้นมาด้วยความดีใจ
ผู้เจ็บป่วยหลายคนต่างพยักหน้าน้ำตาไหลซึม ต่างพนมมือแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ขอบคุณเทพเซียนที่ส่งคนมาช่วยเหลือพวกเขา ซีซีแจ้งกับยายจิน ให้ทุกครอบครัวส่งตัวแทนออกมาหนึ่งคน มารับเมล็ดพันธุ์ผักที่จะสามารถปลูกในพื้นนี้ ที่โตไวเช่นผักกาดขาวกะหล่ำปลี มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย แตงกวาหัวไชเท้า เพื่อชาวบ้านจะได้มีกิน แก้ไขปัญหาเร่งด่วนนี้ก่อน และมีขนมแจกเด็กๆ ที่นางและน้องซื้อมา และแจกตำลึงครอบครัวละสามตำลึง เพื่อใช้เฉพาะหน้าก่อนเพราะว่า เขาลำบากอดอยากเหลือเกิน นางจะให้เยอะกว่านี้ก็ได้แต่ไม่อยากให้ชาวบ้านมองว่าพวกนางมี ตำลึงเยอะ
ชาวบ้านกำลังอดอยากอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับพวกนาง เพราะต้องเดินทางอีกหลายที่ ข่าวอาจไปถึงพวกโจรได้ คนธรรมดาไม่เท่าไหร่กลัวโจรที่มีวรยุทธสูง นางและน้องยังไม่อยากต่อสู้กับใครตอนนี้ ทุกคนกล่าวลาชาวบ้านและออกเดินทาง
“นี่ถ้าเ้าอยากให้พืชผักที่อุดมสมบูรณ์ ให้เ้าเอาคทาออกมาแล้วชี้ไปที่หมู่บ้าน แล้วสาปแช่งให้เป็ไปอย่างที่เ้าอยากให้เป็”
“ห้ะ! ไม่ใช้อวยพรหลอกหรือ ข้าพึ่งเคยได้ยิน”
“สาปแช่งไวกว่า และการให้พรต้องมีผู้ขอและมีสิ่งแลกเปลี่ยน”
“สาป ก็ สาป!” ซีซียกคทาขึ้นแล้วสาปแช่งทันที ท่ามกลางสายตาของน้องทั้งสองคน
“ค่ะขอสาปแช่งที่ตรงนี้ให้กลายเป็ดินที่อุดมสมบูรณ์ปลูกพืชผักผลไม้ให้ งอกงามแข็งแรง ตลอดไป”
กล่าวจบนางก็เก็บคทา “ถูกต้องแล้วใช่ไหมเ้ากบ”
“มันก็ถูกต้องนะแต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด เอาไว้ให้เ้ามีประสบการณ์มากกว่านี้เ้าคงสาปแช่งได้เก่งแน่”
นางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าต้องฝึกสาปแช่งให้เก่งใช่มั้ย”
ทั้งสามคนเดินทางออกจากหมู่บ้านมาจนสังเกตไม่เจอผู้คนแล้ว ซีซีเรียกพรมออกมา นาง้าบินข้ามเขาไป หลายลูกทีเดียว รอบนี้นางบินได้มาไกลแล้วพลังปราณยังไม่หมด เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
ซีซีคิดพลังปราณน่าจะเพิ่มขึ้น ทำให้นางไม่รู้สึกเหนื่อยหรือหมดพลัง หารู้ไม่ว่าที่พลังปราณเพิ่มขึ้น เป็เพราะว่านางช่วยเหลือชาวบ้าน ทำให้ปราณบริสุทธิ์เพิ่มปริมาณเข้ามาโดยที่นางไม่รู้ตัว
พอบินผ่านเขาลูกที่สาม เกิดลมกระโชกแรงฝนตกอย่างไม่มีปีไม่มีชุ่ย วิสัยทัศน์การมองเห็นไม่ชัดเจน นางบังคับพรมไม่อยู่ จึงถูกลมที่พัดกระโชกอย่างแรง พัดไปกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
