มู่หรงอวี้ยิ้มสบายๆ ราวสายลมเย็นระรื่น “ใครมองเปิ่นกงก็คนนั้นแหละ”
มู่หรงฉือถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์เสียแล้วตั้งใจทานอาหารไม่สนใจเขาอีก
“เตี้ยนเซี่ย...เตี้ยนเซี่ย...”
เสียงใสออดอ้อนดังมาแต่ไกล
นางจำเสียงนี้ไม่ได้ก็แปลกแล้ว เป็เสียงของมู่หรงสือ!
แม้นางจะสามารถใช้ท่าทางแข็งกร้าวทำให้มู่หรงสือไม่มาตอแยกับตนอีก แต่ว่ามู่หรงสือหากไม่แกล้งโง่ก็คงไม่เข้าใจภาษาคนแล้วจริงๆ นางได้รับบทเรียนมาแล้วหลายครั้ง พฤติกรรมของมู่หรงสือน่ากลัวเป็อย่างมากจนสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือหลบเลี่ยงนางเท่านั้น
แต่ก็ไม่อาจหลบไปได้ตลอดชีวิต
“เป็ท่านที่้าให้เปิ่นกงมาพักในจวน ท่านต้องรับผิดชอบไม่ให้หลานสาวของท่านมาวุ่นวายกับเปิ่นกง” นางเห็นมู่หรงสืออยู่ห่างจากศาลาออกไปอีกเพียงสามจั้ง[1]
“เตี้ยนเซี่ยวางใจเถิด เปิ่นหวางจะรับผิดชอบเอง” มู่หรงอวี้เน้นสี่คำหลังเสียงหนัก
“เตี้ยนเซี่ย...”
คนในชุดสีโอรสวิ่งเข้ามาในศาลา มู่หรงสือหอบฮัก จัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย ดวงหน้าเล็กเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มยินดี นางสวมชุดคอจีนสีชมพูโอรสกระโปรงจับจีบ แต่งหน้าตามนิยม ราวกับดอกกุหลาบสีเหลืองที่เบ่งบานในหน้าร้อน เพิ่มความสดใสให้กับฤดูใบไม้ผลิ
มู่หรงสือกระแอมไอสองที ราวกับเป็สตรีที่ไม่รู้จักเขินอาย พูดออดอ้อน “เตี้ยนเซี่ย วันนี้ไม่ร้อนเท่าใดนัก มิสู้หม่อมฉันพาท่านไปเดินเล่นในจวนดีหรือไม่เพคะ”
“เ้ามองไม่เห็นหรือ? เปิ่นกงยังทานอาหารอยู่” มู่หรงฉือพูดเสียงเ็า ส่งสายตาให้บุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะรอท่านทานอาหารเสร็จ” มู่หรงสือเห็นอาหารน่าทานมากมายตรงหน้าก็อดน้ำลายสอไม่ได้ “ท่านลุงสาม ข้ารู้สึกหิวอยู่บ้าง ขอทานด้วยได้หรือไม่เพคะ?”
ใบหน้าหยกของมู่หรงอวี้เผยรอยยิ้มเล็กน้อย ลึกลงในดวงตากลับน่าครั่นคร้าม “เปิ่นหวางกับเตี้ยนเซี่ยมีเื่ต้องปรึกษากัน เ้ายังไม่ออกไปอีก?”
ราวกับบ่อน้ำแข็งค่อยๆ แผ่ลามไปในหัวใจ ดวงตาของนางพลันปกคลุมไปด้วยความกลัว “เพคะ”
พอออกจากศาลามา นางก็ยืนตัวสั่นอยู่ข้างฉินรั่ว รอองค์รัชทายาท
มู่หรงฉือเห็นนางยังรออยู่ตรงนั้น ก็ถอนหายใจอย่างหมดปัญญา รู้สึกหงุดหงิดเป็อย่างยิ่ง
สายตาเ็าของเขาเลื่อนไป นางกำนัลผู้นั้นรับคำสั่งแล้วกล่าวกับมู่หรงสือ “องค์หญิง ท่านอ๋องกับเตี้ยนเซี่ยยังมีเื่ที่ต้องปรึกษากัน พวกเราไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้เพคะ”
มู่หรงสือเห็นลุงสามทำหน้าไม่พอใจ จึงทำได้เพียงออกไปจากตรงนั้น
แต่นางจะไปตรงที่ที่สามารถรอได้ นางจะต้องรอจนกระทั่งเตี้ยนเซี่ยว่างให้จงได้
มู่หรงฉือทานไปพลางครุ่นคิด “เหตุใดว่านฟางถึงวาดภาพบึงเสวียนเยว่เป็? หรือว่าเขาเคยไปที่นั่นมาก่อน?”
“เคยไปที่นั่นก็ไม่นับว่าน่าประหลาดใจ” มู่หรงอวี้พูดเสียงทุ้ม
“นี่จะบังเอิญเกินไปแล้ว เปิ่นกงมักจะรู้สึกว่า...ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี...”
“ทานก่อนเถิด ตอนเที่ยงจะเอาว่านฟางกับหวังเทาออกมาปะาต่อหน้าทุกคน”
นางพยักหน้า เื่นี้ต่างหากถึงจะเป็เื่หลัก ถึงตอนนั้นจะต้องมีคนมากมายมากันจนแน่นขนัด
นางคิดถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยปากถาม “โทษปะาของว่านฟางกับหวังเทาจะต้องประกาศให้ทุกคนรู้ด้วยหรือไม่?”
ดวงตาของเขาดุดัน “ขายอาวุธที่เป็ความลับทางทหาร เกี่ยวข้องกับหลายคนมากเกินไป ไม่อาจเปิดเผยให้คนรู้มาก”
มู่หรงฉือถามอีก “ว่านฟาง หวังเทารวมถึงคนในครอบครัวของพวกเขาถึงตายไปก็ไม่น่าเสียดาย บรรดาญาติสนิทมิตรสหายของพวกเขากับขุนนางคนอื่นๆ ในกองทัพ ท่านคิดจะจัดการอย่างไร?”
ริมฝีปากบางของมู่หรงอวี้ยกขึ้น ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “ลอบค้าอาวุธทางการทหารโทษมีโทษเช่นกบฎ ไม่มีละเว้น ว่านฟางและหวังเทามีโทษปะาเก้าชั่วโคตร คนอื่นๆ ในกองทัพตรวจสอบอาวุธที่กระทำผิด มีโทษปะาสามชั่วโคตร”
ประโยคเรียบง่ายเพียงหนึ่งประโยคได้ตัดสินชะตาชีวิตของคนกว่าร้อยไปแล้ว
แววตาของเขาแหลมคมดั่งมีดอันเย็นเยียบที่มองไม่เห็น แฝงไว้ด้วยจิตสังหารอยู่ภายใน น่าประหวั่นพรั่นพรึงจนิญญาแทบหลุดลอย
จิตใจของนางสั่นไหว เืลมพลุ่งพล่าน ว่านฟางและหวังเทาสมควรตายจริงๆ การกระทำของพวกเขาทำให้แคว้นเป่ยเยี่ยนตกอยู่ในอันตราย ต่อให้พวกเขาตายไปหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ
ที่นางไม่รู้ก็คือ หลายชั่วยามก่อนหลังจากกลับไปถึงจวนหวางแล้ว ในขณะที่นางเข้าไปพักผ่อน เขากลับสั่งให้ลูกน้องกระจายตัวออกไปเป็กลุ่ม คนในตระกูลว่านฟางกับหวังเทาทั้งเก้ารุ่น รวมทั้งหมดร้อยกว่าคนได้ถูกจับส่งเข้าห้องขังของกรมราชทัณฑ์ คนที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงก็ได้ส่งคนไปตามหา แล้วจับเข้าคุกของกรมขุนนางที่นั่น
บรรดาญาติมิตรของว่านฟางและหวังเทาจะถูกสังหารแล้วจัดการอย่างลับๆ ไม่เหลือทิ้งเอาไว้สักคนให้กลายเป็เสี้ยนหนามอันตรายในอนาคต
การลงมือรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า ราวกับฟ้าผ่าในเวลากลางวัน รวดเร็วจนไม่มีใครป้องกันได้ทัน
เสียงฝีเท้าเดินย่ำยามรัตติกาล เสียงกรีดร้องปลุกคนในเมืองหลวงให้ตื่นขึ้น มีคนลุกขึ้นมาคว้าเสื้อมาคลุมแล้วมองออกไปเห็นทหารที่แข็งแกร่งดุจหมาป่าดุจเสือพาคนเ่าั้ไป ทำเอาใจนรีบหลบไม่อาจนอนต่อได้อีก
ในยามเช้าตรู่ ทั้งเมืองก็เกิดเป็ความวุ่นวาย
ประชาชนแทบทุกคนต่างพุ่งไปที่หัวถนน รวมตัวกันดูประกาศจากราชสำนักพร้อมพูดคุยกันอย่างครึกครื้น
บวกกับการกระทำของกรมขุนนางเมื่อตอนเช้าตรู่ แล้วมาดูประกาศนี้ หัวสมองอันชาญฉลาดของผู้คนมากมายก็ได้ผลสรุปออกมาอย่างหนึ่งว่า :
ว่านฟางกับหวังเทากระทำความผิดต้องโทษปะา ทำการปะาต่อหน้าประชาชน! ปะาเก้าชั่วโคตร!
ยามฟ้าสางครอบครัวของว่านฟาง หวังเทา และญาติห่างๆ ก็ถูกนำตัวมาจนหมด
แต่มีคนกำลังตั้งคำถาม : พวกเขาต้องโทษปะาด้วยเื่ใดกันแน่?
มีคนคาดเดา จากการเคลื่อนไหวรวดเร็วถึงเพียงนี้จะต้องเป็ฝีมือของอวี้หวางไม่ผิดแน่ มีเพียงอวี้หวางเท่านั้นถึงจะมีอำนาจนี้
ยี่สิบปีก่อน การเคลื่อนไหวที่กวาดล้างคนที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อยตอนนั้น เป็ฮ่องเต้ลงมือสั่งการด้วยพระองค์เอง องค์ชายหลายพระองค์ต่างพบความลำบาก เสียงกรีดร้องดังกึกก้อง แต่ครั้งนั้นไม่ได้มีการตัดหัวต่อหน้าประชาชน
การตัดหัวต่อหน้าประชาชน ทำให้ประชาชนเืลมพลุ่งพล่าน ทั้งยังสร้างความหวาดกลัวกังวล กลัวว่าวันหนึ่งคนผู้นั้นจะเป็ครอบครัวของตน
ทั่วทั้งเมืองหลวงราวกับเป็กระทะน้ำมันที่เดือดพล่าน เสียงพูดคุยกันจอกแจกจอแจพูดคุยเื่ปะากันถ้วนทั่ว
จวนอวี้หวางในเวลานี้กลับเงียบสนิท
มู่หรงฉือไม่รู้ว่าตอนที่นางหลับไปเกิดเื่ราวขึ้นมากมาย นางลุกขึ้นมา “อิ่มแล้ว ยังไม่ถึงตอนเที่ยงเลย เปิ่นกงดูจะดูภาพนั้นสักหน่อย ท่านเอาภาพนั้นไปเก็บเอาไว้ที่ไหน? ห้องตำราหรือ?”
มู่หรงอวี้พยักหน้า ถึงแม้จะได้นอนไปเพียงหนึ่งชั่วยาม แต่เขายังคงแจ่มใส “อยู่ที่ห้องตำรา”
ฉินรั่วมองเตี้ยนเซี่ยเดินไปแล้วนางก็ติดตามไป เว้นระยะห่างไว้่หนึ่ง
มู่หรงสือเห็นเตี้ยนเซี่ยมาแล้วก็รีบพุ่งเข้าไปหา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของอาสามก็ไม่กล้าเข้าไปอีก ทำได้เพียงมององค์รัชทายาทเดินจากไป นางจะทำอย่างไรดี?
มองพวกเขาเข้าไปในห้องตำรา นางเดินไปเดินมา คิดแผนการอย่างร้อนใจ
ฉินรั่วอดพูดไม่ได้ “เชิญองค์หญิงกลับไปก่อนเถิดเพคะ เตี้ยนเซี่ยมีธุระยุ่งมาก”
มู่หรงสือพูดอย่างดื้อรั้น “จะยุ่งอย่างไรก็ต้องพักผ่อนใช่หรือไม่?”
บ่าวรับใช้ยกน้ำชามา นางก็ฉุกคิดขึ้นได้ นางแย่งถาดไม้มา ดวงตาดำฉายความเ้าเล่ห์ “ข้าจะยกชาเข้าไปเอง”
ฉินรั่วอยากจะหยุดยั้งนางเอาไว้แต่นางเข้าไปแล้ว
มู่หรงสือนำชาสองถ้วยวางลงบนโต๊ะ พูดเสียงหวาน “ท่านลุงสาม เตี้ยนเซี่ย ดื่มชาก่อนเพคะ”
มู่หรงฉือกำลังศึกษาภาพนั้น ครั้นได้ยินเสียงก็กลอกตาทันที “เอาวางไว้ก่อนเถิด”
เห็นนางส่งถ้วยชามาให้ด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ภาพนี้เสียหาย มู่หรงฉือจึงรีบม้วนเก็บภาพไว้ให้ดี
“เตี้ยนเซี่ย ดื่มชาเพคะ” มู่หรงสือส่งถ้วยชามาตรงหน้านางอย่างใส่ใจ หัวเราะคิกคัก ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเกินงาม
“ชาร้อนอยู่ เ้าวางเอาไว้ก่อนเถิด” มู่หรงฉือพูดอย่างจนปัญญา
“น้ำชาไม่ร้อนแล้วเพคะ หม่อมฉันลองแตะดูแล้ว ไม่ร้อนเลยจริงๆ ตอนนี้สามารถดื่มได้เลยเพคะ” มู่หรงสือเดินเข้าไปใกล้
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ มู่หรงฉือจึงรับถ้วยชามา แต่กลับไม่รู้ทำไมนางกลับถือได้ไม่มั่น จากนั้นน้ำชาครึ่งถ้วยก็หกลวกลงมาที่มือของนาง
มู่หรงฉือร้องออกมาเบาๆ มือเรียวขาวที่ถูกชาอุ่นๆ ลวกขึ้นสีแดงในทันที
น้ำชาเจิ่งนอง ถ้วยชาร่วงลงพื้นเสียงดังเพล้ง เศษแก้วกับเศษใบชากระจายเต็มพื้น
มู่หรงสือกรีดร้องเสียงหลง พูดออกมาด้วยความใ “เตี้ยนเซี่ย เป็ความผิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ทันระวัง...”
มีคนก้าวเข้ามาแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำชาบนมือแดงๆ ข้างนั้นด้วยท่าทางปกป้องทะนุถนอมอย่างยิ่ง
“ขออภัยเพคะเตี้ยนเซี่ย เป็หม่อมฉันที่ไม่ทันระวัง...” มู่หรงสือใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ยังไม่ออกไปอีก?” มู่หรงอวี้ดุ ดวงหน้าเ็า
“เพคะ...” นางถอยออกมาด้วยความหวาดกลัว ลุงสามโกรธแล้ว นางไม่กล้าอยู่ต่อ
เดินไปได้สองก้าวนางก็หันกลับมามอง นางเห็นลุงสามดึงมือข้างที่ถูกน้ำร้อนลวกของเตี้ยนเซี่ยมาด้วยท่าทางปกป้องทะนุถนอม เพียงแต่ตอนนี้ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ไม่ทันคิดถึงเื่อื่น และไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติใดๆ
นางกำนัลกับฉินรั่วที่นำชามาส่งก็รุดเข้ามา ครั้นเห็นเตี้ยนเซี่ยถูกอวี้หวางพาเข้าไปด้านในห้องก็ลังเลว่าจะต้องตามเข้าไปหรือไม่
มู่หรงอวี้หยิบยาทาแก้น้ำร้อนลวกออกมา แตะยาเล็กน้อยก่อนจะทาลงบนมือที่เริ่มแดงของมู่หรงฉือ แล้วนวดเบาๆ “เจ็บหรือไม่?”
“ไม่มาก เปิ่นกงทาเอง” มู่หรงฉือพยายามดึงมือออก แต่กลับดึงไม่ออกเลยสักนิด
“ให้เปิ่นหวางทำเถิด” เขาพูดช้าๆ แล้วนวดยาจนทั่วมือเล็ก การกระทำนั้นอ่อนโยนจนทำให้คนแทบสำลักตาย
ยาทาเย็นสดชื่น ทาลงไปแล้วให้ความรู้สึกสบายอย่างมาก
ความจริงแล้วน้ำชาเพียงแค่ร้อนเล็กน้อย ตอนนี้ที่ร้อนกว่าก็คือพวงแก้มและใบหูของนาง แก้มของนางแดงระเรื่อ
นิ้วของเขายังคงลูบไล้ พลางเหลือบตามองนางด้วยความสงสัย บังเอิญที่ในตอนนั้นนางกำลังมองเขาอยู่พอดี ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งไม่ขยับ
นางอยากจะละสายตาออก แต่กลับเหมือนถูกอะไรดึงรั้งเอาไว้ จะทำอย่างไรก็ไม่อาจละสายตาไปได้
การจ้องตานี้มีความรู้สึกที่เกี่ยวพันกันอยู่
พวกเขานึกถึงเื่คืนนั้นขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย การเกี่ยวกระหวัดกันอย่างอ่อนหวานที่บ้านของชาวบ้านหลังนั้นผุดขึ้นมาในหัว...
มู่หรงอวี้อุ้มนางไปวางบนโต๊ะทำงาน แล้วรีบร้อนจูบเข้าไปที่ริมฝีปากของนาง ราวกับจะดูดกลืนความหอมหวานของนางลงไป
มู่หรงฉืออยากจะผลักไสเขา แต่กลับไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงหายไปไหน รู้สึกสิ่งรอบตัวค่อยๆ ห่างไกลออกไป ตรงหน้ามีเพียงใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า
เขามองแววตาอันล่องลอยของนาง ก่อนจะพูดเสียงแหบต่ำ “ฉือ...อาฉือ...”
นางพลันได้สติขึ้นมาทันที พูดเสียงเ็า “ท่านอ๋อง ชื่อของเปิ่นกงไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะเรียกได้”
มู่หรงอวี้ดึงตัวนางขึ้น หัวเราะเสียงต่ำ “ต้องมีสักวัน เปิ่นหวางจะให้เ้ายินดีให้เปิ่นหวางเรียกชื่อ”
มู่หรงฉือจัดเสื้อผ้า รีบะโลงมา
เหตุใดถึงได้ขาดสติติดกันหลายต่อหลายครั้งเช่นนี้? เหตุใดถึงได้ยอมให้เขาเอาเปรียบ ได้คืบจะเอาศอกตลอด?
น่าหงุดหงิดเสียจริง!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้