โจวชิงหวาคว้าไม้ที่กำลังจะฟาดลงไปบนตัวหนีเจียเอ๋อร์เอาไว้แน่น ก่อนกระแทกกลับไปใส่บ่าวผู้ถือมัน
สวีซื่อตัวสั่นเทา เผลอหดไหล่ลงอย่างอดมิได้ ด้วยตัวนางเองครั่นคร้ามโจวชิงหวามาตลอด แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับในเื่นี้
นายท่านหนีก็ไม่ต่างกัน เขาถึงกับเปลือกตากระตุก แต่ก็เปลี่ยนท่าทีมาอยู่ในมาดของหัวหน้าตระกูลได้อย่างว่องไว พลางผุดลุกขึ้น พูดเสียงกราดเกรี้ยว “โจวชิงหวา นี่คือจวนสกุลหนี อย่าได้บังอาจนัก!”
หนีเจียเอ๋อร์กลืนเืที่พุ่งขึ้นสู่ลำคอ ปาดน้ำตา แล้วยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เหตุใดถึงไม่มาให้เร็วกว่านี้หน่อยเล่า? ข้าเจ็บไปหมดแล้ว!”
ยิ่งน้ำเสียงของนางไร้เรี่ยวแรงมากเท่าใด โจวชิงหวาก็นึกตำหนิตัวเองเพิ่มขึ้น
หนีเจียเอ๋อร์แทบจะทนความเ็ป ที่ถาโถมเข้ามาใส่ไม่ไหวแล้ว...
ชายหนุ่มกระซิบบอก “ครั้งสุดท้ายที่ข้าพาหลบหนี เ้ากล่าวว่าไม่อาจละทิ้งครอบครัวไปได้ แต่ตอนนี้ ข้าว่าเ้าคงจะกำลังนึกเสียใจ ที่ไม่ยอมหนีไปกับข้าในวันนั้น”
เพียงเห็นหญิงสาวเ็ป เขาก็แทบจากจะพานางออกไปจากที่นี่เสียให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาเ็าของเขา ดวงตาของหนีเจียเอ๋อร์พลันฉายแววอบอุ่นขึ้นมา แต่นางก็สั่นศีรษะปฏิเสธ แล้วพูดอย่างมั่นใจ “ไม่หรอก!”
หากนางจากไป เว่ยอี๋เหนียงกับพี่ชายก็ต้องถูกมือสังหารฆ่าตายเช่นเดียวกับชาติที่แล้ว รวมไปถึงบรรดาบ่าวรับใช้มากกว่าหนึ่งร้อยสิบคนในจวนสกุลหนีด้วย
พอรู้ว่าจะเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนั้น นางก็ไม่อาจเมินเฉย
ดวงตาสีเข้มกะพริบด้วยความผิดหวัง โจวชิงหวาลุกขึ้น แล้วสอบถามเื่ราวจากหวงซาน “หนี้พนันเหล่านี้ เป็เงินทั้งหมดเท่าใด?”
หวงซานถูกข่มขู่ด้วยจิตสังหาร ที่แผ่ซ่านมาจากบุรุษตรงหน้า เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนตอบเสียงตะกุกตะกัก “หนึ่งแสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยตำลึง”
โจวชิงหวาจึงถามอีกว่า “ข้าจ่ายแทนได้หรือไม่?”
หวงซานมีท่าทีอ่อนลง แล้วกล่าวเยินยอ “ใครๆ ต่างก็รู้ว่าคุณชายโจวร่ำรวยยิ่งนัก เงินจำนวนเล็กน้อยเพียงเท่านี้ สำหรับท่านแล้ว คงเป็แค่หยดน้ำในถัง”
โจวชิงหวาหันกลับมา และเดินไปตรงหน้านายท่านหนี “หากคุณหนูรองติดหนี้พนันเถ้าแก่หวงจริงๆ ข้าจะไม่ชดใช้ให้นางได้หรือ?”
เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นี้กับบุตรสาว หากวันหนึ่งหนีเจียเอ๋อร์หมดสิ้นหนทาง จนต้องขอให้ชายหนุ่มต่อสู้แลกชีวิตกับตน นายท่านหนีก็เชื่อว่าโจวชิงหวาจะลงมือทันทีโดยไม่กะพริบตา
แล้วจะตระหนี่กับเงินเพียงเท่านี้ได้อย่างไร?
แต่นายท่านหนีก็หาใช่คนกล้าได้กล้าเสีย ที่จะรับว่าตนเองเป็ฝ่ายผิดต่อหน้าบุตรสาวอย่างแน่นอน เขาจึงแค่เปลี่ยนคำสั่ง ให้บ่าวรับใช้พาหนีเจียเอ๋อร์ไปขังไว้ในห้องเก็บฟืน และเสนอให้มีการสอบสวนเื่นี้อย่างจริงจัง
ด้วยเกรงว่า หากโจวชิงหวาเคลื่อนไหวเอง ทุกอย่างจะวุ่นวาย สวีซื่อจึงตีสีหน้าเป็ผู้บริสุทธิ์อยู่ข้างๆ นายท่านหนี
ส่วนหวงซาน ก็แอบออกไปอย่างเงียบๆ
บ่าวแต่ละคน พากันแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง
ในห้องหนังสือ จึงเหลือเพียงโจวชิงหวาเท่านั้น เขาแสดงสีหน้าเย็นะเืและเรียบเฉย “เอาเถอะ หาก้าคนออกหน้า ข้าก็จะลงมือเอง!”
ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม พ่อบ้านที่ยังไม่ออกไปจากประตูก็ส่ายหน้า แต่ก็ไม่คิดจะไปรายงานนายท่านหนี
...
หวงซานกลับไปที่บ่อนด้วยความร้อนรน จากนั้นก็พบว่ามีฝูงชนะโด่าทออยู่หน้าบ่อน ซึ่งมีป้ายประกาศปิดอยู่
เขาดึงป้ายออกอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนโยนทิ้ง พลางกวักมือเรียกแขกให้เข้ามา แต่พอประตูเปิดออก กลับมีมือปริศนายื่นไปดึงเขาเข้ามา
ประตูไม้สองบานปิดลงอีกครั้ง
ผู้คนที่เห็นภาพตรงหน้า ต่างเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อ๊าก...!”
มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากด้านใน เมื่อเหล่าขาพนันประจำบ่อนได้ยิน ก็รู้ว่านั่นคือเสียงของเถ้าแก่หวงซาน จึงพากันยิ้มยกใหญ่
ต่อมา ก็ยินเสียงกำปั้นกระทบเนื้อ ตามมาด้วยเสียงแหบพร่าของเถ้าแก่หวงซาน ที่เอ่ยอ้อนวอน “นายท่านโจว บอกแล้ว... ข้าบอกแล้ว โปรดหยุดเถิด!”
ทุกคนที่อยู่นอกประตู มองหน้ากันด้วยความสงสัย... น่าจะเป็ฝีมือของโจวชิงหวา
ในสายตาของพวกเขาคาดเดาเช่นนั้น จึงแอบฟังด้วยความสนใจใคร่รู้ที่เพิ่มมากขึ้น
ครู่ต่อมา ประตูบ่อนก็ถูกชายชุดดำเตะเปิดจากด้านใน ดังนั้น คนที่อยู่ชิดติดประตูย่อมโดนลูกหลง ถูกบานประตูกระแทกจนทรุดลงไปกองกับพื้น จึงแหกปากะโด่าทอ
ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาในบริเวณนั้นหยุดชะงัก และเฝ้าดูอย่างขบขันกับคำพูดเกินจริงของคนผู้นี้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นบุรุษผู้หนึ่ง ก็ถึงกับปากอ้าตาค้าง ไม่อาจส่งเสียงอันใด
ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวปักดิ้นทอง ซึ่งแค่เห็นก็รู้ว่าสูงค่ายิ่งนัก จนไม่รู้ว่าเทียบได้กับทองคำสักกี่ก้อน
ส่วนผู้ที่ไม่รู้ราคา ก็จับจ้องไข่มุกซึ่งทอประกายแวววับบนเข็มขัดของเขา ด้วยสายตาอันร้อนแรง
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ถูกรังสรรค์อย่างประณีต ดูสง่างามดุจหยก แผ่ความสูงส่งออกมารอบกาย
“เป็คุณชายโจวจริงๆ ด้วย!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดโพล่งขึ้นเป็คนแรก แต่พวกชาวบ้านในละแวกนั้น เริ่มกระซิบกระซาบกันถึงบุรุษซึ่งร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง
ทว่า โจวชิงหวาทำเป็ไม่ได้ยิน และก้าวขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ชายชุดดำสิบห้าคน โยนหวงซานที่อยู่ในอาการสาหัสไปบนหลังม้า จากนั้นก็ขึ้นม้าอีกตัว ก่อนจับบังเหียนเอาไว้ พลางออกคำสั่ง “ไปได้!”
สมุนมากกว่าหนึ่งโหล ค้อมศีรษะเคารพรถม้าของโจวชิงหวา เดินทางมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหนี
...
เมื่อมาถึงจวนสกุลหนี โจวชิงหวาก็พาหวงซานไปพบนายท่านหนี
จากนั้น เถ้าแก่หวงซานก็รับสารภาพ ว่าตนได้ลอบปลอมแปลงเอกสารสัญญาและตราประทับของหนีเจียเอ๋อร์ หากแต่ไม่ยอมบอกว่าใครเป็ผู้บงการ
แม้หวงซานจะมิได้เอ่ยชื่อผู้ที่อยู่เื้ัเื่ราวในครั้งนี้ ทว่านายท่านหนีก็พอจะเดาออก หากกลับแสดงท่าทีดั่งคนหูหนวกตาบอด ด้วยครั่นคร้ามในอำนาจของตระกูลสวี
เนื่องจากอาการาเ็ของโจวชิงหวายังไม่หายดี การเคลื่อนไหวเช่นนี้จึงทำให้แผลฉีกขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับรอยบาดลึกที่แผ่นหลังซึ่งยังไม่สมานตัว ดังนั้นคงไม่ต้องพูดถึงความเ็ปที่ได้รับ
แต่เขาก็ยังดื้อรั้นที่จะไปดูแลหนีเจียเอ๋อร์
เสี่ยวเสวียนเห็นว่าโจวชิงหวามีความรักลึกซึ้งต่อนายสาว จึงมิได้ห้ามปราม เพียงก้าวไปเดินข้างชายหนุ่มอย่างเงียบๆ
ยามนี้ เว่ยอี๋เหนียงกำลังนั่งร้องไห้ราวกับจะขาดใจ ทั้งดวงตาและจมูกแดงช้ำจากการร่ำไห้อย่างหนัก
หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกเ็ปกับท่าทีของมารดา และพยายามปลอบโยนอีกฝ่าย มิให้วิตกกับอาการาเ็ของตน ทั้งยังบอกให้นางกลับไปพักผ่อนเสีย
แต่เว่ยอี๋เหนียงก็ไม่ยอม สตรีสูงวัยผู้นี้ ยืนกรานว่าจะดูแลาแให้บุตรสาวด้วยตัวเอง พอเห็นเสี่ยวเสวียนกับโจวชิงหวาเดินเข้ามา นางก็ยิ่งน้ำตาไหลพราก และก้าวไปหาชายหนุ่มพร้อมน้ำตานองหน้า
“ชิงหวา หากมิได้เ้าช่วยเหลือในวันนี้ เสี่ยวเอ๋อร์ของข้าคงจะตายไปแล้ว!”
โจวชิงหวาตอบ พลางยกยิ้มบางๆ “หากเสี่ยวเอ๋อร์ยังเห็นท่านร้องไห้หนักเช่นนี้ ข้าว่าไม่ช้า นางคงจะร้องตามท่านเป็แน่...”
ได้ยินเช่นนั้น เว่ยอี๋เหนียงก็พยายามจะหยุดร้องได้ แต่เมื่อหันไปเห็นสภาพของบุตรสาว หยาดน้ำตาก็พรั่งพรูลงมาอีกครั้งอย่างห้ามมิได้ นางหันไปหาโจวชิงหวา ก่อนสะอื้นตัวโยน “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าไม่ควรกลับมาเลย วันนั้นเ้าน่าจะหนีไปกับชิงหวาเสีย...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้