อวิ๋นซีและจวินเหยียนซุ่มอยู่บนยอดสูงสุดของหลังคาเรือนหลังหนึ่ง คนทั้งสองสวมชุดดำราวกับเป็ส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันกับความมืดมิด อวิ๋นซีมองจวินเหยียนที่ค่อยๆ หยิบกระเบื้องขึ้นมาชิ้นหนึ่งอย่างระวังมือ จากนั้นพวกเขาก็ลอบมองลงไปเบื้องล่างเพื่อดูสถานการณ์ความเป็ไปที่เกิดขึ้นภายในเรือน
ด้านในมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เมื่อพิศแล้วท่าทางเหมือนพวกหนอนหนังสือ ทว่าตอนที่เขาลืมตาขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ด้านล่างนั้น ความหนาวเหน็บอันแหลมคมที่พวยพุ่งออกมาจากดวงตาคู่นั้นราวกับกำลังจะบอกทุกผู้คนที่สบจ้องว่า คนผู้นี้ไม่ธรรมดา
“พูดมาเถอะ ในชุดนี้มีกี่คนกันที่ใช้ได้? ” ชายวัยกลางคนมองคนที่อยู่ด้านล่าง และถามขึ้นเรียบๆ
ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีเขียวอ่อนกล่าวตอบ “ใต้เท้า ในกลุ่มนี้มีร้อยกว่าคนที่ใช้ได้ขอรับ หากคนเหล่านี้ได้ไปอยู่ในสนามรบ เพียงหนึ่งก็สามารถสู้ได้ถึงห้าอย่างสบายๆ อีกทั้งยังมีสองคนที่เชี่ยวชาญวิชาพิษ”
“ดีมาก พรุ่งนี้ก็จัดการส่งคนกลุ่มนี้ออกไปจากที่นี่อย่างเงียบๆ และให้กระจายตัวอยู่ตามบริเวณสถานที่ใกล้เคียงหานโจว เพื่อจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวในหานโจวอย่างลับๆ หากมีความผิดปกติใดเกิดขึ้นก็ให้รีบมารายงานข้าทันที”
“ขอรับ ใต้เท้า”
ชายคนนั้นยังคงพูดต่อ “ข้าออกมาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว พรุ่งนี้เช้าเห็นทีต้องกลับ ส่วนรายชื่อนั่น เมื่อพวกเ้าลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วก็ค่อยนำมาส่งให้ข้า” พูดจบ ชายคนนั้นก็โบกมือให้คนเ่าั้ออกไปให้หมด
จวินเหยียนและอวิ๋นซีสบตากันทีหนึ่ง ใจของคนทั้งสองจดจ่ออยู่เพียงทะเบียนรายชื่อที่ชายคนนั้นพูดถึง หากนางเดาไม่ผิด รายชื่อที่เขาหมายถึงน่าจะเป็รายชื่อของกลุ่มคนที่พวกเขาซุ่มฝึก และ้าให้เข้าไปแฝงตัวอยู่ในหานโจว นี่นับเป็แผนที่ดีจริงๆ อวิ๋นซีมองไปทางจวินเหยียนด้วยสายตาเป็กังวลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมา โอวหยางเทียนหัวจะส่งคนเช่นนี้ไปยังหานโจวมากน้อยแค่ไหนแล้ว
หากว่า เขาคิดอยากจะอาศัยคนเหล่านี้เพื่อการใดจริงๆ ละก็ เช่นนั้นเราย่อมลำบากแล้ว
นางมองชายข้างกายแล้วพูดเสียงเบา “เอารายชื่อนั่นมา”
สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คงมีแค่การนำรายชื่อในมือของหลี่ตงมา จึงจะสามารถอาศัยเบาะแสนี้เพื่อสืบเสาะต่อไปได้ มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็ฝ่ายตั้งรับโดยสมบูรณ์ ทว่า ในตอนที่คนทั้งสองกำลังคิดหาวิธีจะแฝงตัวเข้าไปนั้น หลี่ตงที่นั่งอยู่ในห้องก็หันมองมายังทิศทางที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่พลางส่งเสียงถาม “ใคร”
อวิ๋นซีและจวินเหยียนเป็คนรอบคอบระมัดระวัง ทันทีที่ได้ยินเสียงก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยวิชาตัวเบา
เมื่อกลับมาถึงเรือนพักตระกูลฉินอีกครั้ง อวิ๋นซีก็รินน้ำใส่ถ้วยและดื่มจนหมดภายในอึกเดียว นางมองจวินเหยียน ก่อนจะพูดเรียบๆ “หาวิธีแฝงตัวเข้าไปในบ้านของหลี่ตง ข้าคิดว่าในรายชื่อนั่นคงไม่ได้มีแค่ร้อยคนแน่ เพราะหากรวมกับก่อนหน้าด้วยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเคยส่งคนมาที่หานโจวนี้กี่มากน้อย คนเหล่านี้หากไม่เร่งกำจัด จะต้องเป็ปัญหาแก่เราในอนาคตแน่”
“อืม” เขาพยักหน้า “เื่นี้ยกให้เป็หน้าที่ข้า”
เดิมทีคิดว่าสถานที่แห่งนั้นจะเป็เพียงสถานที่สำหรับฝึกกองทหารส่วนตัว แต่ดูท่า นี่คงจะไม่ใช่การฝึกซ้อมทหารส่วนตัวกองใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เป็การฝึกนักฆ่าพลีชีพ และเป้าหมายของคนเ่าั้ก็คือตัวเขา จวินเหยียน
อวิ๋นซีรินน้ำให้เขาแก้วหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น “ดูท่า รัชทายาทจะรอสังหารท่านไม่ไหวแล้วกระมัง”
“ทำไม กลัวว่าข้าจะทำเ้าลำบากไปด้วยหรือ? ” เขาถามยิ้มๆ ไม่ว่าอย่างไรเื่ที่รัชทายาทเคียดแค้นตนก็หาใช่เื่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันสองวันนี้ ด้วยเื่นี้เขารู้มานานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังจะมีไม้นี้อยู่อีก ทั้งยังตั้งใจจะส่งคนมากมายมาสอดแนมในหานโจว ซึ่งนี่ไม่ต่างอะไรกับการคิดจะตัดเส้นทางดำเนินชีวิตของเขา
“กลัว” สิ่งที่นางกลัวยิ่งกว่าคงเป็การที่ตนไม่อาจสังหารเ้าคนเนรคุณนั่นด้วยตนเองได้ต่างหาก ถึงกระนั้นนางก็รับรู้ได้ว่าสีหน้าของจวินเหยียนไม่ค่อยดีนัก นางจึงทำเป็มองไม่เห็น “ถึงแม้จะกลัว แต่ตอนนี้เราก็อยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว ดังนั้น ท่านวางใจได้ ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปอย่างไม่ไยดีหรอก”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็ทั้งโกรธ ทั้งขำ
เช้าวันถัดมา เอ้อนีมาถึงเรือนตระกูลฉินแต่เช้าตรู่ ในตอนที่อวิ๋นซีตื่นขึ้นก็เห็นหวานหว่านกับเอ้อนีกำลังเล่นกันอยู่ และตอนที่เอ้อนีเห็นนางก็ไม่รอช้า รีบเดินไปหา คุกเข่าลง ก่อนจะโขกศีรษะกับพื้น “ฮูหยิน ข้าผู้น้อยขอขอบพระคุณท่านที่ช่วยเหลือมารดาและน้องชายข้าไว้ บิดาข้าให้ข้ามาโขกศีรษะเพื่อขอบคุณในน้ำใจของฮูหยินเ้าค่ะ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็รีบให้เพ่ยเอ๋อร์ประคองเอ้อนีขึ้นมา นางยิ้มบางๆ ก้มหน้าลงแล้วพูดกับอีกฝ่าย “นึกว่าเกิดเื่ใหญ่อันใดขึ้นเสียอีก แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้นอย่าได้เกรงใจ อีกประการ ตัวข้าเองก็มิได้ช่วยเหลือพวกเ้าโดยเปล่าหรอก เหตุที่ข้าช่วยมารดาเ้าก็เพื่อตอบแทนเท่านั้น ทว่า ่นี้เ้าอยู่เล่นเป็เพื่อนหว่านเอ๋อร์ได้หรือไม่”
ยามนี้เปลือกนอกที่ทุกคนเห็น นางคือฮูหยินฉิน จวินเหยียนคือฉินเหยียน ส่วนหวานหว่านก็คือฉินหว่านเอ๋อร์ หากปลอมตัวเช่นนี้ก็จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก
เมื่อเอ้อนีได้ยิน ขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าตอบ “เ้าค่ะ ข้าจะช่วยท่านดูแลคุณหนูหว่านเอ๋อร์”
“เช่นนั้นข้าก็ควรต้องขอบคุณเ้าแล้ว” อวิ๋นซียิ้มแล้วลูบผมอีกฝ่าย “เพ่ยเอ๋อร์ เ้าให้คนไปตุ๋นน้ำแกงไก่แล้วส่งไปให้ภรรยาจางอู่ที่หมู่บ้านล่างที นางเพิ่งจะคลอดลูก จึงจำต้องบำรุงร่างกายให้มาก”
เพ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ นางยังคงครุ่นคิดอยู่ข้างกายอวิ๋นซีอีกพักใหญ่ ในที่สุดจึงตัดสินใจถาม “ฮูหยิน เหตุใดท่านจึงดีกับบ้านเอ้อนีเพียงนี้เ้าคะ? ” ถึงแม้ฮูหยินของนางจะเป็คนมีใจเมตตา แต่การช่วยภรรยาจางอู่ไม่ให้ต้องตายทั้งกลมตอนคลอดบุตรก็ถือว่าดีมากแล้ว ทว่า ตอนนี้ยังจะส่งน้ำแกงไก่ไปให้อีก?
อวิ๋นซีมองแผ่นหลังเล็กๆ ของเอ้อนีไปทีหนึ่ง ยิ้มพูด “ข้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีเป้าหมาย” อืม นั่นมิใช่เป้าหมายธรรมดาๆ แต่ยังเป็เป้าหมายที่แฝงไว้ด้วยเจตนาที่ไม่ดีน่ะสิ
วันที่สามที่จวินเหยียนและอวิ๋นซีรั้งอยู่ที่จางเจียวาน ต้นอ่อนมันเทศที่ซื้อมาถูกนำลงดินทั้งหมดแล้ว เหตุเพราะครั้งนี้เป็แค่การทดลองเพาะเลี้ยง จึงใช้ที่นาสำหรับการปลูกเพียงสองมู่เท่านั้น ถึงกระนั้นคนที่ปลูกมันเทศก็ยังบอกว่า แม้จะลองปลูกแค่สองมู่ แต่หากผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีก็จะสามารถนำไปกระจายปลูกได้อีกเยอะ
กระทั่งเข้าวันที่ห้าในจางเจียวาน อวิ๋นซีนำเพ่ยเอ๋อร์และกล่องยาไปเยี่ยมภรรยาจางอู่ที่หมู่บ้านล่าง จึงได้พบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายมีเืฝาดขึ้นมากแล้ว ส่วนลูกชายของพวกเขาเองก็ไม่ได้ดูเหี่ยวย่นเหมือนในคราแรก ใบหน้าของเด็กน้อยดูดีทีเดียว
“บุญคุณที่ฮูหยินช่วยเหลือ ชั่วชีวิตนี้ข้าน้อยจะไม่ลืมเลือน” ภรรยาจางอู่มองอวิ๋นซีพร้อมพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ นางรู้ดีว่าตำแหน่งครรภ์ของตนไม่ปกติ ดังนั้น หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้นี้ช่วยผ่าคลอดให้ เกรงว่าตอนนี้นางกับลูกชายคงได้ไปรายงานตัวกับยมบาลแล้ว
อวิ๋นซีมองภรรยาจางอู่ไปทีหนึ่ง สตรีผู้นี้ดูแตกต่างจากสตรีชาวสวนทั่วไปที่นางพบเจอในจางเจียวานนี้อยู่เล็กน้อย เพราะเมื่อฟังจากคำพูดคำจานั้นก็พอจะทราบได้ว่าเป็คนรู้หนังสือ และในยุคสมัยนี้สตรีที่จะรู้หนังสือได้ก็มีแต่เหล่าคุณหนูมีตระกูลหรือไม่ก็คุณหนูที่เป็บุตรสาวของเหล่าขุนน้ำขุนนาง
“ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็ผู้ที่รู้วิชาแพทย์คนใดก็ย่อมทำเฉกเดียวกับข้า” อวิ๋นซียิ้มขณะหยอกล้อกับเด็กชายตัวน้อยในห่อผ้าไปด้วย “ช่างเป็เด็กที่น่ามองเสียจริง คิ้วตาคล้ายเ้า”
“นั่นสิเ้าคะ บิดาเขาก็ยังว่าคล้ายข้า” ภรรยาจางอู่กล่าวยิ้มๆ “วันนี้ฮูหยินมาที่นี่ เพราะมีสิ่งที่อยากจะพูดกับเราสองสามีภรรยาใช่หรือไม่เ้าคะ? ” นางไม่มีทางเชื่อว่าสตรีตรงหน้าผู้นี้จะยอมช่วยตนโดยไร้ข้อแลกเปลี่ยนใด
“เป็เช่นนั้นจริง ข้าเองก็มีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง พวกเราสามีภรรยาต่างเป็คนค้าขาย แม้ว่าที่บ้านจะพอมีฐานะ แต่บุตรสาวเราก็มักต้องอยู่กับแม่นมและสาวใช้ อย่างไรเสียคนก็ยังขาดเพื่อนเล่น ข้าจึงมาที่นี่ด้วยอยากจะถามพวกเ้าว่า ให้ข้าพาต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีกลับไปได้หรือไม่ ให้พวกนางเติบโตเป็ดั่งสหายข้างกายบุตรสาวข้า” ถึงแม้ตัวนางเองจะรู้ดีว่าการขอร้องเช่นนี้ดูจะเกินไปหน่อย แต่อวิ๋นซีก็ยัง้าพูดออกมาอยู่ดี
ภรรยาจางอู่เองก็ชัดเจนว่า มิคาดว่าอีกฝ่ายจะถามเื่เช่นนี้ นางเงยหน้ามองด้วยความเคลือบแคลง “ฮูหยิน เช่น เช่นนี้จะได้อย่างไร? ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้