อินเหิงเอ่ยเสียงแหบพร่า "เมิ่งอู่ ต่อไปนี้ห้ามมองบุรุษอื่น"
เมิ่งอู่แหงนหน้ามองเพดานเตียงที่มืดสลัว ทั้งตัวคนยังคงอิ่มเอมเบาสบาย รู้สึกว่าตัวลอยอยู่นาน
นางโอบศีรษะของอินเหิงไว้ สักพักค่อยเอ่ยเสียงคาดเดาไม่ได้ "อาเหิง หากข้าเลี้ยงดูเ้าตลอดชีวิต เ้าเห็นเป็เช่นไร? ช่างเถิด เ้าไม่ต้องตอบคำถามนี้ก็ได้ ต่อให้เ้าเห็นต่างก็ไร้ประโยชน์"
กล่าวแล้ว เมิ่งอู่ก็หลับตาลง
อินเหิงกระซิบข้างหูนางแ่เบา "ข้าเห็นด้วย"
เขายันตัวขึ้นเล็กน้อย มือหนึ่งโอบกอดนางไว้ก่อนพลิกตัว ย้ายเมิ่งอู่ที่อยู่ใต้ร่างของเขาไปไว้บนเตียง
ประตูห้องยังไม่ได้ปิด ยามที่เมิ่งอู่เข้ามา นางตั้งใจจะจัดที่นอนให้อินเหิงให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกไปข้างนอก ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายนางจะเผลอหลับไปบนเตียงของเขา
อินเหิงทำได้แค่ลุกขึ้นนั่ง หมายจะไปปิดประตูห้อง
ทว่าเพิ่งขยับตัว เมิ่งอู่ก็เหยียดแขนข้างหนึ่งไปกอดเขาไว้ไม่ให้เขาไป
อินเหิงกล่าวเบาๆ "ข้าจะไปปิดประตู"
เมิ่งอู่ไม่ฟังไม่สนใจ นอนหลับสนิทอย่างสบายเพียงลำพัง
อินเหิงคลำหาถ้วยชาข้างเตียง มือหนึ่งปิดหูของเมิ่งอู่แล้วกดไว้แนบอก อีกมือหนึ่งขว้างถ้วยชาออกไป กระแทกประตูห้องจนปิดสนิทแ่า
ถ้วยชาตกลงบนพื้นเสียงก้องดังปัง
หลังจากนั้นตลอดทั้งคืนก็สงบสุข
เดิมเมิ่งอู่เป็คนตื่นตัวมาก แต่คืนนี้ความระแวดระวังตัวของนางถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว รู้สึกเพียงว่าตนเองกอดหมอนใบใหญ่ไว้ทั้งคืน นางพลิกตัวไปมา แล้วถอดรองเท้า เท้าเปลือยัักับผ้านุ่มลื่น ไม่ต้องพูดถึงว่าสบายตัวเพียงใด
วันถัดมา เมื่อหมอนใบใหญ่บนเตียงหายไป เมิ่งอู่จึงค่อยๆ ลืมตาตื่นด้วยความผิดหวัง
นางลุกนั่งแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าท้องฟ้าสว่างอยู่แล้ว
เมื่อเพ่งดูใกล้ๆ ก็พบว่าเตียงหลังนี้และผ้าห่มผืนนี้ไม่ใช่ของนาง ไยถึงเหมือนกับของที่อยู่ในห้องของอาเหิงเล่า?
เมิ่งอู่พินิจพิเคราะห์ใกล้ๆ อีกครา นี่เป็ห้องของอาเหิงจริงๆ!
ทว่าอินเหิงไม่อยู่ในห้องแล้ว เขาไม่ได้ปลุกนางตอนเขาลุกจากเตียง
เมิ่งอู่รู้สึกใจโหวงเหวง รีบลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้าอย่างลุกลี้ลุกลน ภาวนาในใจว่าอย่าให้ท่านแม่รู้เด็ดขาด นางต้องออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
ทว่าทันทีที่เมิ่งอู่เปิดประตูห้องออกมาก็เห็นนางเซี่ย ซวี่เฉินฟางและอินเหิงอยู่ในลานเรือน ทั้งสามคนเหลียวกลับมามองนาง สีหน้าแตกต่างกัน
เมิ่งอู่ยกมือเกาหัว แทบรอไม่ไหวที่จะเอาหัวโขกประตูเรือนให้สลบไปประเดี๋ยวนี้
นางกัดฟันกล่าว "วันนี้อากาศดีจริงๆ"
นางเซี่ยกับซวี่เฉินฟางเพียงจ้องนางนิ่งจนนางขนลุกชัน ไม่เอ่ยวาจา
อินเหิงเริ่มต้นบทสนทนากับนาง "เมื่อคืนเหนื่อยมากแล้ว ทำไมไม่นอนให้เยอะหน่อยเล่า?"
เมิ่งอู่คิ้วกระตุก พอประโยคนี้หลุดออกมาก็เห็นนางเซี่ยลุกพรวดแล้วจะกระโจนเข้าใส่อินเหิง นางรีบวิ่งไปกอดรัดนางเซี่ย
นางเซี่ยกล่าวอย่างเดือดดาล "หวังสิง เ้ายังไม่ได้คำนับฟ้าดินกับอาอู่ เหตุใดถึงได้ทำเื่เลวทรามเยี่ยงนี้!"
เมิ่งอู่กล่าว "ท่านแม่ ท่านแม่ ใจเย็นก่อน! ใจเย็นก่อนเ้าค่ะ!"
นางเซี่ยกล่าว "ข้าใจเย็นไม่ไหวแล้ว!"
เมิ่งอู่อธิบาย "ไม่ใช่อย่างที่ท่านแม่คิดนะเ้าคะ ข้าแค่งีบหลับกับเขา ไม่มีอันใดทั้งนั้นเ้าค่ะ!"
ภายในลานเรือนกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง อินเหิงหัวเราะอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รอยยิ้มของเขานั้นช่างเจิดจรัสยิ่งกว่าแสงแรกของตะวันยามเช้าจริงๆ... เมิ่งอู่ลุ่มหลงเขาไปชั่วขณะจนลืมแม้แต่สถานการณ์ตรงหน้าของตนเอง
“แค่งีบหลับหรือ... ” ทันใดนั้นนางเซี่ยลุกพรวดอีกครา “อาอู่ เ้าปล่อยข้า! ให้ข้าฆ่าเ้าคนชั่วช้านี่!”
เมิ่งอู่เกือบกัดลิ้นของตนเอง ไยถึงรู้สึกว่าตนเองอธิบายได้ไม่เข้าท่านะ…
เมิ่งอู่กอดรัดท่านแม่ไว้แน่นพลางอธิบายอย่างขมขื่น “ข้าบังเอิญเผลอหลับไปบนเตียงของอาเหิงเท่านั้น แค่นอนจริงๆ ไม่มีเื่อื่นเลยเ้าค่ะ!”
นางเซี่ยเอ่ยถาม “เช่นนั้นไฉนเ้าถึงได้ไปนอนบนเตียงของเขา?”
เมิ่งอู่ “ข้าเหนื่อยเกินไปเ้าค่ะ”
ไม่รอให้นางเซี่ยซักไซ้ต่อ ซวี่เฉินฟางก็ยุยงด้วยเกรงว่าโลกจะวุ่นวายไม่พอ “ญาติผู้น้องอาอู่ ต่อให้เหนื่อยมากเพียงใด ก็สมควรกลับไปนอนที่ห้องของตนเอง ไยถึงไปนอนในห้องของบุรุษเล่า”
เมิ่งอู่มองเขาแล้วบันดาลโทสะ กล่าวว่า “เ้ายังมีหน้ามาพูดอีก หากไม่ใช่เพราะข้าต้องแบกเ้ากลับมาตั้งไกลจนเหนื่อยแทบตาย ข้าจะเผลอหลับไปง่ายๆ แบบนั้นหรือ?”
วันนี้ท่าทางของซวี่เฉินฟางไม่สดใสเช่นทุกวัน อาจเป็เพราะเมื่อคืนสิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป แต่สภาพจิตใจของเขาไม่เลว น่าจะผ่อนคลายลงแล้ว
เขาลุกขึ้นอาบน้ำแต่เช้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ดูสดชื่นแจ่มใส
เมื่อนางเซี่ยได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยถามสองประโยคว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
เมิ่งอู่ไม่พูดอันใดมาก เพียงบอกว่าเมื่อวานซวี่เฉินฟางเมาสุราที่เรือนของลุงใหญ่ นางจึงต้องใช้แรงวัวเก้าตัวพยัคฆ์สองตัว [1] แบกเขากลับมา
อินเหิงกล่าวเสริมในเวลาที่เหมาะเจาะ “ฮูหยิน ข้าเป็เพียงคนพิการ…”
นางเซี่ยจ้องเขาเขม็ง “เ้าไม่ต้องพูด! ทุกครั้งที่เ้าพูด ข้าก็อยากจะสั่งสอนเ้า!”
แม้ยามนี้ร่างกายอินเหิงไม่สมบูรณ์แข็งแรงชั่วคราว แต่นางเซี่ยก็รู้มาบ้างว่าเขาคิดไม่ซื่อ
ถึงแม้เวลานี้อินเหิงกับอาอู่ของนางจะเป็คู่หมั้นคู่หมายกัน แต่สุดท้ายแล้วจะยกบุตรีให้อินเหิงแน่หรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป
ตราบใดที่ยังไม่ได้คำนับฟ้าดินหนึ่งวัน ก็ห้ามนอนร่วมเตียงกันหนึ่งวัน นี่คือหลักการของนางเซี่ย
ซวี่เฉินฟางแอบยุยงอยู่ด้านข้างอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส “ท่านป้า ข้าเห็นว่าเขาน่ะสมควรโดนสั่งสอน”
นางเซี่ยยังคงโกรธเคืองอยู่ จึงจ้องซวี่เฉินฟางผาดหนึ่ง “ยังมีเ้า! ภายภาคหน้าหากไม่มีอันใดก็อย่าแล่นไปที่เรือนของพวกเขา!”
สุดท้ายนางเซี่ยก็ลากเมิ่งอู่กลับห้อง แล้วดึงหูเข้ามากระซิบกระซาบสั่งสอนปลูกฝังแนวความคิดใหม่อย่างต่อเนื่องยาวนานถึงสองชั่วยาม
พูดทำนองว่าสตรีต้องรักษาความบริสุทธิ์ยิ่งชีพ ก่อนแต่งงานต้องรักนวลสงวนตัว ห้ามบุรุษแตะต้อง ต้องเป็คืนเข้าหอหลังเข้าพิธีสมรสอย่างถูกต้องตามประเพณีแล้วเท่านั้น จึงจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุรุษได้
เมิ่งอู่ฟังจนหูชา
นางเซี่ยบิดหูบุตรีพร้อมยัดเยียดความคิดเ่าั้ให้นาง นางจึงได้แต่พยักหน้ารับปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เ้าค่ะๆๆ นางจะไม่แตะต้องอาเหิงเด็ดขาดจนกว่าจะแต่งงาน!
ในลานเรือน อินเหิงกำลังให้อาหารไก่ ซวี่เฉินฟางถอนหายใจอย่างเกียจคร้าน “เวลาดีทิวทัศน์งาม ตระกองกอดโฉมสะคราญ ช่างเป็ความรื่นรมย์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ แต่น่าเสียดาย” เขาชำเลืองมองสองขาของอินเหิงอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยวาจาเหน็บแนม “น่าเสียดายที่สองขานี่ของเ้ามีใจแต่ไม่มีแรง ต่อให้เพลิงปรารถนาแผดเผาใจก็เกรงว่าคงนอนไม่หลับทั้งคืนกระมัง จุๆ ดูขอบตาดำคล้ำของเ้าสิ เกือบถึงคางแล้ว”
อินเหิงเลิกคิ้ว กล่าวว่า “นั่นก็ยังดีกว่าคนบางคนที่ทำตัวเสเพล รักหยกถนอมบุปผา [2] แต่กลับถูกวางยาในหมู่บ้านนี้ เกือบถูกคนบังคับย่ำยี หากเื่นี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองว่า คุณชายซวี่ใกลัวทั้งคืน เกือบสูญเสียความบริสุทธิ์ เกรงว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะดังๆ เป็แน่” อินเหิงเหลือบตาขึ้น แสงอรุณสาดส่องจนั์ตาของเขากลายเป็สีทองอ่อน ดูคล้ายจ้องมองซวี่เฉินฟางอย่างเย้ยหยันนิดๆ “สุดท้ายยังต้องให้คนแบกกลับมา ถึงกับจนตรอก ต้องใช้เข็มเงินช่วยจึงจะแก้พิษได้ ข้าคงจำสภาพน่าสมเพชของเ้าในเวลานั้นไปอีกนาน บางครั้งบางคราวค่อยรำลึกถึงก็ทำให้อารมณ์ดีทีเดียว”
……….
[1] หมายถึง พละกำลังมหาศาล
[2] หมายถึง ผู้ชายที่ดูแลทะนุถนอมผู้หญิงเป็อย่างดี