มู่หรงอวี้เม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ในวังมีใยไหมหรือ?”
มู่หรงฉือตอบกลับ “แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว ใยไหมสีธรรมชาติเป็เส้นใยที่มีค่ามาก ที่ส่งเข้ามาทุกปีก็น้อยมาก ปกติแล้วจะเก็บเอาไว้ที่หน่วยลิ่วชาง แต่ว่า การส่งใยไหมธรรมชาติกับใยไหมนี้มันไม่เหมือนกันอยู่สักหน่อย คงจะไม่ใช่รูปแบบเดียวกัน”
เสิ่นจือเหยียนพูดเสียงนุ่มนวล “เอาไปถามร้านผ้าไหมตามถนนดู”
นางพูดอย่างครุ่นคิด “เปิ่นกงรู้สึกว่า คนร้ายคือคนในวัง ฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดา ทั้งยังฉลาด ในเมื่อกล้าใช้ใยไหมธรรมชาติมาวางแผนฆ่าคน แล้วก็ไม่กลัวที่จะถูกสืบพบ ใยไหมธรรมชาตินี้ก็คงจะไม่ใช่ใยไหมธรรมชาติที่ส่งเข้าวังมา”
“ตอนนี้เวลาก็มืดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปถามที่ถนนกัน” แววตาของมู่หรงอวี้มู่หรงอวี้เข้มขึ้ร “ใต้เท้าเสิ่น เ้ากับเตี้ยนเซี่ยช่วยกันสืบหาการตายของเซียวกุ้ยเฟย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นจือเหยียนประสานมือเข้าด้วยกัน
มู่หรงฉือออกไปก่อน แล้วลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ในใจไม่พอใจมาก เหตุใดนางจะต้องมาสืบคดีของเซียวกุ้ยเฟยด้วย?
ความโมโหที่เซียวกุ้ยเฟยทำกับนางเอาไว้ก่อนจะตายยังไม่ทันได้สลายหายไปเลย!
ถึงแม้ว่าการตายของเซียวกุ้ยเฟยจะน่าสงสัยมาก ทั้งยังมีความท้าทายมาก นางเองก็อยากจะสืบหามาก แต่คิดถึงแต่ละอย่างที่เซียวกุ้ยเฟยทำกับนางแต่ก่อน นางก็ไม่พอใจ!
พวกคนที่เข้ามาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงส่วนใหญ่ได้ออกจากวังไปแล้ว เสิ่นจือเหยียนเองก็บอกลากลับไป มู่หรงฉือกลับไปที่วังบูรพาด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเื่คดี
เซียวกุ้ยเฟยได้รับความรักมากที่สุด ปกติแล้วแล้วจะทำตัวยโสโอหัง เคยรังแกเฟยผินจำนวนไม่น้อย เฟยผินที่ตายภายใต้น้ำมือของนางก็ไม่น้อยเลย คนที่ไปมีเื่ด้วยแน่นอนว่าก็ไม่น้อยเช่นกัน
มู่หรงฉือจัดการกับความสัมพันธ์ของเฟยผินในวังหลังกับเซียวกุ้ยเฟยรอบหนึ่ง สุดท้ายก็คิดว่าทุกคนที่มีความแค้นกับกุ้ยเฟยก็ต่างมีความเป็ไปได้ที่จะวางแผนฆ่านาง
ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นางก็นอนไม่หลับ จึงพาฉินรั่วออกไปเดินเล่นในวัง
เื่งานศพของเซียวกุ้ยเฟยได้ถูกสั่งการลงไปแล้ว โดยให้หลิวอันผู้เป็หัวหน้าขันทีมีอำนาจในการจัดงานศพ
ส่วนทางด้านตำหนักชิงหยวน มู่หรงฉือปิดเอาไว้ก่อน คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยไปรายงาน
ที่คิดไม่ถึงก็คือ นางเห็นตรงหน้ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ในความมืด ใบหน้าหล่อเหลานั้นเหมือนกับหิมะที่รวมตัวกันอยู่ใต้แสงจันทร์ เ็าไร้ความรู้สึก และเป็ความสว่างน้อยๆ เดียวในความมืดมิด
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านไป แขนเสื้อสีดำของเขาพลิ้วไสวเหมือนกับลูกไฟลึกลับ เหมือนกับสามารถเผาผลาญความมืดในค่ำคืนได้
นางได้สติขึ้นมาทันที เหตุใดถึงเดินมาถึงหอฉุนโม่ได้?
เห็นเขาเดินออกมาจากประตูของหอฉุนโม่ นางก็หมุนตัวจะเดินออกไป ฉินรั่วเองก็รีบตามมา
มู่หรงอวี้รีบเดินไปด้านหน้า ดึงนางเอาไว้ “ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดถึงยังจะเดินกลับไปล่ะ?”
ฉินรั่วถอนหลังให้ห่างออกไป่หนึ่ง แล้วหันข้างไม่กล้ามอง
“เปิ่นกงก็แค่เดินสุ่มมาเรื่อยๆ...” มู่หรงฉือรู้สึกว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรง จึงไม่พูดแล้ว ใช้แรงสะบัดมือออก “เ้าปล่อยมือข้า เปิ่นกงจะกลับไปนอน”
“ชู่....” เขายกแขนขึ้นมาโอบนาง มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นมาประคองใบหน้าเล็กของนาง พูดเสียงเบา “ทางนั้นมีข้าหลวงอยู่หลายคน เ้าไม่ต้องหันไปมอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็เห็นเ้าแล้ว”
นางคิดว่าเป็จริง จึงห่อตัวก้มหน้าลง ปล่อยให้เขาโอบเดินไปครู่หนึ่งถึงจะหยุดลง นางเงยหน้าขึ้น เห็นตัวเองอยู่ในหอฉุนโม่ จึงอดที่จะถลึงตาใส่เขาไม่ได้ “เ้าพาเปิ่นกงเข้ามาที่ทำอะไร?”
นางผลักเขาออกด้วยความหงุดหงิด หันหน้าแล้วเดินไป
มู่หรงอวี้ก้าวมาหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นจับแล้วดึงนางกลับเข้ามาในอ้อมกอด พูดเสียงแหบต่ำ “ที่นี่ปลอดภัยที่สุด”
มู่หรงฉือขัดขืนไม่เป็ผลจึงยอมแพ้ “เหตุใดเ้าถึงยังไม่ออกจากวังแล้วกลับจวนไปซะ?”
“ในวังไม่สงบ เปิ่นหวังไม่วางใจ” เขาอุ้มนางขึ้นไปวางบนโต๊ะ สองแขนจับบ่าทั้งสองข้างของนางเอาไว้ สาวตาที่มองนางค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น
“มีอะไรให้ไม่วางใจ?” นางพูดอ้อมแอ้มเสียงเบส
“ไม่ถามเปิ่นหวังว่าไม่วางใจอะไรหรือ?”
“ไม่อยากรู้”
“ยังหึงอยู่หรือ?”
“เปิ่นกงเปล่า!”
“นางตายไปแล้ว เ้าจะไปหึงคนตายคนหนึ่งนี่มันได้หรือ?”
มู่หรงฉือโกรธจนเ็ปหัวใจม้ามปอดไปหมด ยิ้มเย็นอย่างหมดคำพูด “คิดเองเออเอง”
มู่หรงอวี้หัวเราะเบาๆ “เปิ่นหวังคิดเองเออเอง เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยคืออะไรหรือ? แอบเก็บความรู้สึกเอาไว้เงียบๆ ไม่พูดหรือว่าปากไม่ตรงกับใจ ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับ?”
นางออกแรงผลักเขา “เ้าค่อยๆ คิดไป เปิ่นกงไม่ยุ่งด้วย! ถอยไป!”
มุมปากของเขายกยิ้มเผยความร้ายกาจออกมา “เข้าไปในหอฉุนโม่แล้วจะต้องทิ้งของเอาไว้ถึงจะไปได้”
นางปล่อยหมัดออกไปหนึ่งทีเข้าไปที่ท้องของเขส
เขาไม่โจมตีกลับ สองมือจับใบหน้าเล็กของนางก็จะก้มลงมาจูบ แล้วรับหมัดนั้นเข้าไปเต็มๆ จนร้องอุกออกมา
“เ้าบ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงไม่หลับ?”
มู่หรงฉือใ เขาจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ไม่ยอมหลบ ทั้งยังรับหมัดเข้าไปเต็มๆ เพียงเพื่อจะจูบนาง
มู่หรงอวี้พูดเสียงแหบพร่าที่มุมปากของนาง “เ้าหงุดหงิดมาทั้งวันแล้ว ให้เ้าได้ระบาย แต่ว่าเปิ่นหวังไม่ได้ถูกต่อยเปล่าๆ นะ จะต้องได้อะไรกลับมา”
ริมฝีปากอุ่นร้อนปะทะลงมา นางบุกตรงเข้าไปโจมตีรุกรานที่ของนาง…
นางหายใจหอบ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะผลักเขาออกไปได้ ในใจหงุดหงิด เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็แบบนี้ไปได้?
“หอมมาก…”
ดวงตาสีดำของเขาร้อยรัดไปด้วยความรู้สึก จูบลงไปที่แก้มของนางอย่างไม่อยากจะละออก
ในใจของนางหงุดหงิด เปิ่นกงไม่ได้ใช้น้ำหอมนะ?
“กุ้ยเฟยสิ้นแล้ว ท่านอ๋องเสียดายมากและก็โกรธมากสินะ”
นี่ไม่เรียกหึงเรียกว่าอะไร?” มู่หรงอวี้ปล่อยนางออก เลิกคิ้วขึ้น
“เซียวกุ้ยเฟยเป็หมากที่เ้าวางเอาไว้ในวัง หมากดีขนาดนี้ตายไป เ้าไม่มีทางที่จะไม่เสียใจ” มู่หรงฉือลอบถอนหายใจ ในที่สุดก็เบนความสนใจของเขาได้
“ก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น” มู่หรงอวี้พูดเสียงเรียบ
“เ้ากล้าพูดว่าเ้ามาได้มีความสัมพันธ์กับนาง? บุรุษบนโลกใบนี้มันช่างโหดร้าย” นางกล่าว ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดสี
“หากเปิ่นหวังมีความสัมพันธ์กับนาง เตี้ยนเซี่ยกับเปิ่นหวังไม่มีความสัมพันธ์กันแบบเต็มๆ มากกว่าหรือ?” เอียงตัวพิงโต๊ะหนังสือ แสงไฟสีเหลืองสลัวส่องใบหน้าขาวของเขาจนเกิดแสงระยิบระยับ
“เ้าอย่ามาเอาเปิ่นกงเข้าไปเกี่ยวด้วย” นางพูดอย่างโมโห
มู่หรงอวี้จับคางของนางไว้ แล้วจ้องนางนิ่ง “อาฉือ อยากจะเป็สตรีของเปิ่นหวังน่ะ นางยังไม่เหมาะสม”
มู่หรงฉือเกือบจะปากถามออกไป “เช่นนั้นใครถึงจะเหมาะสม?”
แต่ว่าที่พูดออกไปกลับเป็ “เปิ่นกงเคยพูดเอาไว้แล้วว่าอย่ามาเรียกชื่อของเปิ่นกง”
ใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยเสน่ห์เหลือร้าย “เปิ่นหวังจะเรียก อาฉือ อาฉือ อาฉือ...ต่อไปเปิ่นหวังจะเรียกแค่ชื่อของเ้า”
นางกัดฟัน “เ้ากล้า?”
เขาเลิกคิ้ว “เ้าก็ดูว่าเปิ่นหวังกล้าหรือไม่กล้า?”
นางจับมือของเขาขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกัดลงไปแรงๆ คันฟันมากเกินไปแล้ว จะต้องกัดแรงๆ สักครั้งถึงจะสามารถแก้ความเกลียดนี้ได้
มู่หรงอวี้ปล่อยให้นางกัด ไม่ร้องออกมาสักแอะ แต่กลับโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพูดเนิบๆ “อีกเดี๋ยวถึงตาเปิ่นหวังกัด เปิ่นหวังจะกัดตรงไหนดีนะ?”
มู่หรงฉือคายมือออก โยนมือของเขาทิ้งแล้วะโลงไปพร้อมสาวเท้าไวๆ ออกไป
เขากอดนางจากด้านหลัง พูดเสียงแหบพร่า “เปิ่นหวังมักจะคิดถึงคืนนั้นที่บ้านชาวบ้านบ่อยๆ เ้ากับข้าเนื้อตัวเปลือยเปล่าหัวหน้าชนกัน อยู่ใกล้กันมากขนาดนั้น จนหลิมร่างเป็ร่างเดียวกัน รวมเป็ิญญาเดียวกัน…คิดขึ้นมสแล้วเปิ่นหวังก็ยากที่จะนอนหลับ คืนนี้อยู่กับข้าได้หรือไม่?”
“อะไรคือหลอมรวมเป็ร่างเดียวกัน? ไม่ได้ทำเสียหน่อย!”
นางพูดประโยคนี้ทิ้งเอาไว้ก่อนจะวิ่งหนีออกมาด้วยความหวาดกลัว
มองนางหนีไปแล้ว มู่หรงอวี้ก็ยิ้มขมขื่น อาฉือ เ้าจะหนีไปถึงเมื่อไหร่?
มู่หรงฉือแทบจะวิ่งพุ่งกลับไปที่วังบูรพา นอนอยู่บนเตียงถึงได้สติกลับมา เขากำลับขอความรัก?
.....
หลังอาหารเช้าวันต่อมา มู่หรงฉือไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักชิงหยวน มู่หรงฉางกำลังทานอาหารเป็เพื่อมู่หรงเฉิง พูดคุยกันสนุกสนาน
มู่หรงฉางยิ้มอ่อน “เสด็จพี่ทานอาหารเช้าหรือยังเพคะ? ทานด้วยกันสิเพคะ”
“เปิ่นกงทานมาแล้ว” มู่หรงฉือยิ้มพูด “เสด็จพ่อ หลายวันมานี้สบายดีหรือไม่เคะ?”
“เจิ้นสบายดี พวกเ้าอย่าเอาแต่มองว่าเจิ้นเป็คนป่วย” มู่หรงเฉิงหัวเราะแล้วพูด “ใช่แล้ว เมื่อวานไม่ใช่วันเกิดของเซียวกุ้ยเฟยหรือ? เหตุใดต่อมาถึงได้ยกเลิกไปล่ะ? เจิ้นถามนางกำนัลแล้ว นางกำนัลพูดไม่ชัดเจน มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?”
“เสด็จพ่อ มีเื่ที่ลูกอยากจะรายงานท่าน” รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หายไป
“เสด็จพ่ออย่าเพิ่งใจร้อน ทานอาหารเช้าให้เสร็จก่อน อีกเดี๋ยวค่อยๆ ถามนะเพคะ” มู่หรงฉางยิ้ม แล้วก็ตักโจ๊กครึ่งถ้วยส่งไปให้เสด็จพ่อ “เสด็จพ่อลองทานโจ๊กดูสิเพคะ วิธีการทำไม่เหมือนกับแต่ก่อน รสชาติเฉพาะตัวมากเพคะ”
“ได้ได้ได้” เขายกถ้วยขึ้นมาทาน
นางมองไปทางมู่หรงฉือ แล้วส่งสายตามาให้ “เสด็จพี่ น้องไม่ได้ไปงานเลี้ยงวันเกิดกุ้ยเฟย แต่ว่าได้ยินมาว่ากุ้ยเฟยไม่ค่อยาบายก็เลยยกเลิกงานเลี้ยงไปก่อน เป็เช่นนั้นใช่หรือไม่เพคะ? กุ้ยเฟยป่วยใช่หรือไม่เพคะ?”
มู่หรงเฉิงใ ถามด้วยความร้อนใจ “กุ้ยเฟยร่างกายไม่แข็งแรงหรือ? เรียกหมอหลวงมาหรือยัง? ป่วยเป็อะไรหรือ?”
มู่หรงฉือตอบหน้านิ่ง “เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงมารักษาไปแล้ว เซียวกุ้ยเฟยไม่สบายจริงๆ แต่ว่าเป็แค่ไข้หวัดธรรมดาเล็กน้อย วันนี้ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว กุ้ยเฟยไม่อยากจะมารบกวนการพักฟื้นของเสด็จพ่อจึงไม่ได้ให้คนมารายงานเสด็จพ่ออย่างละเอียด”
ได้ยินดังนั้นเขาก็วางใจ “เจิ้งอยากจะไปเยี่ยมกุ้ยเฟย”
“เสด็จพ่อไม่เชื่อฟังอีกแล้วใช่หรือไม่เพคะ? หมอเทวดาเสวียพูดแล้ว เสด็จพ่อจะต้องพักรักษาตัว อย่าร้อนใจกังวลใจ จะออกไปด้านนอกตามใจชอบไม่ได้” มู่หรงฉางยกยู่ปากน่ารักแล้วพูด “เสด็จพ่อเป็เช่นนี้อีก ต่อไปลูกจะไม่มาอยู่กับเสด็จพ่อบ่อยๆ แล้ว”
“ได้ได้ได้ ฟังคำลูกสาวของเ้า” เขาหัวเราะเหอะๆ พูดอย่างเอ็นดู “เ้าน่ะยิ่งทำตัวออกนอกกรอบไปเรื่อยแล้ว ถึงได้มาควบคุมพ่อแล้ว”
“หากเสด็จพ่อเชื่อฟัง ลูกจะเป็เด็กไม่เรียบร้อยออกนอกกรอบได้อย่างไรเล่าเพคะ? เสด็จพ่อเหมือนกับเด็กเจ็ดขวบ เอาแต่ใจ แน่นอนว่าลูกจะต้องควบคุมเสด็จพ่อ ไม่ให้เสด็จพ่อดื้อ” นางพูดด้วยท่าทางจริงจัง
มู่หรงเฉิงหัวเราะลั่น
มู่หรงฉือเองก็หัวเราะ “เช่นนั้นภารกิจยิ่งใหญ่ในการจับตาดูเสด็จพ่อก็มอบให้น้องสาวแล้ว”
ทั้งสามคนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะสนุกสนานดังออกไปด้านนอก
ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว “สองพี่น้อง” ก็กล่าวลา มู่หรงฉางถอนหายใจ “เสด็จพี่ น้องรู้สึกว่าการตายของเซียวกุ้ยเฟยอย่าเพิ่งบอกเสด็จพ่อก่อน ท่านเองก็รู้ว่าเสด็จพ่อรักเซียวกุ้ยเฟยที่สุด นางมาตายตอนอายุยังน้อยเช่นนี้ เสด็จพ่อจะต้องปวดใจ ดีรับการกระทบกระเทือนจิตใจมากแน่นอน หากเสด็จพ่อล้มป่วยไปเพราะเื่นี้ เช่นนั้นการพักรักษาตัวมาหลายเดือนนี้ไม่ใช่ว่าเสียเปล่าหรือ?”
มู่หรงฉือพยักหน้า “เป็เปิ่งกงที่คิดไม่รอบคอบเอง เป็น้องที่คิดได้รอบคอบ”
“เซียวกุ้ยเฟยตายไปเช่นนี้ ชีวิตคนเรานี่ไม่แน่นอนจริงๆ” มู่หรงฉางมองออกไปยังท้องฟ้างาม ดวงอาทิตย์ส่องแสง ถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า
“น้องสาว เ้าคิดได้แล้วหรือ?”
“น้องคิดได้แล้ว เป็เพราะการตายของเซียวกุ้ยเฟยทำให้นางเข้าใจในทันที ได้สติขึ้นมา” มู่หรงฉางเม้มปากยิ้มบริสุทธิ์ “เมื่อเทียบกับความเป็ตายแล้ว น้องถูกทำร้ายเล็กน้อยจะไปเทียบอะไรได้? ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่ไม่ดี มีชีวิตอยู่อย่างน้อยยังมีความหวัง ตายไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่ใช่หรือ?”
“เ้าสามารถคิดได้เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว” มู่หรงฉือรู้สึกชื่นชม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้