บทที่ 3 คมวาจาในกระโจมเสือ
มุมปากของเธอยกขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆ ที่แฝงไว้ด้วยความขมขื่นและท้าทายโชคชะตาอย่างไม่ยอมจำนน
‘ก็ดีเหมือนกัน’ มู่หลันคิดขณะที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสียงล้อบดกับพื้นดินดังเป็จังหวะสม่ำเสมอ ‘การเข้าใกล้ศูนย์กลางอำนาจเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งหาข้อมูลได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แม่ทัพพิทักษ์อุดร เว่ยหลง อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็มีชื่อคนสำคัญที่ต้องศึกษาแล้ว’
สำหรับเธอแล้ว ทุกวิกฤตคือโอกาส ทุกความมืดมิดย่อมมีแสงสว่างรออยู่ที่ปลายทางเสมอ แม้ตอนนี้แสงสว่างนั้นจะริบหรี่ราวกับแสงหิ่งห้อยก็ตาม
การเดินทางของกองทัพนั้นรวดเร็วและเป็ระเบียบวินัยอย่างยิ่ง ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนจากป่าทึบมาเป็ทุ่งหญ้าสลับเนินเขาเตี้ยๆ มู่หลันมองผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ ของรถม้า เธอเห็นผืนฟ้ากว้างใหญ่กว่าที่เคยเห็นในยุคของเธอ อากาศสดชื่นบริสุทธิ์จนทำให้รู้สึกปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด แม้จะตกอยู่ในสถานะนักโทษก็ตามที
‘ท่านแม่ทัพเว่ยหลงกลับมาแล้ว! ดูสิ องอาจสง่างามเหมือนเช่นเคย เอ๊ะ นั่นใครกันในรถม้าท้ายขบวน? สตรีงั้นหรือ? ์! นางต้องไปทำผิดอันใดมาแน่ๆ ถึงได้ถูกท่านแม่ทัพคุมตัวด้วยตนเอง ช่างน่าสงสารเสียจริง’ ชาวบ้านที่เดินผ่านมาเห็นขบวนทัพผ่านไปต่างมองด้วยความสงสัย
หลังจากเดินทางต่อเนื่องหลายชั่วยาม ในที่สุดกองทัพก็หยุดพักตั้งค่ายเมื่อดวงตะวันคล้อยต่ำลงสู่ทิวเขา แสงสีทองสุดท้ายของวันอาบย้อมทุ่งหญ้าให้กลายเป็สีอำพันงดงามจับตา ค่ายทหารถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วและชำนาญ ทหารทุกคนเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงราวกับเป็อวัยวะส่วนเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนอันหนักหน่วง
มู่หลันถูกคุมตัวลงจากรถม้า บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยห้าวหาญของเหล่าทหาร กลิ่นควันไฟ กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นเหล็กที่ผสมปนเปกันจนกลายเป็กลิ่นอายเฉพาะตัวของกองทัพ
“ตามข้ามา” ทหารยามร่างสูงใหญ่กล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง เขาพาเธอเดินลึกเข้าไปในค่าย ผ่านกระโจมทหารน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน สายตาของทุกคนที่มองมายังเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ระคนไปกับความดูแคลนและไม่ไว้ใจ
ในที่สุด พวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้ากระโจมที่ใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ใจกลางค่าย บนเสาหน้ากระโจมมีธงสีดำปักลายพยัคฆ์ขาวคำรามสะบัดพริ้วตามลมอย่างน่าเกรงขาม นี่คือกระโจมของแม่ทัพเว่ยหลง ถ้ำเสือที่แท้จริง
“ท่านแม่ทัพให้เข้าไปพบ”
มู่หลันสูดหายใจเข้าลึก เตรียมพร้อมรับมือกับการเผชิญหน้าอีกครั้ง เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การเชิญไปดื่มชา แต่เป็การไต่สวนที่จะชี้เป็ชี้ตายอนาคตของเธอในโลกใบนี้
เมื่อก้าวเข้าไปในกระโจม สิ่งแรกที่ััได้คือความเรียบง่ายและสมถะที่ขัดกับตำแหน่งอันสูงส่งของเ้าของ ภายในมีเพียงโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ ชั้นวางม้วนตำราและแผนที่การรบ เตียงนอนเล็กๆ ที่พับเก็บอย่างเป็ระเบียบ และตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างริบหรี่ ทุกอย่างสะอาดสะอ้านและจัดวางอย่างมีระเบียบวินัย สะท้อนตัวตนของเ้าของได้อย่างชัดเจน
แม่ทัพเว่ยหลงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เขาสวมเพียงเสื้อตัวในสีดำธรรมดา เผยให้เห็นแผงอกและมัดกล้ามที่แข็งแกร่งจากการฝึกฝน ผมยาวสีนิลของเขาถูกรวบไว้ด้วยเชือกหนังอย่างง่ายๆ แสงตะเกียงที่สั่นไหวขับเน้นเงาบนใบหน้าอันคมคายของเขาให้ดูลึกลับและอันตรายยิ่งขึ้น
เขากำลังจดจ่ออยู่กับการเช็ดดาบยาวในมือ คมดาบสะท้อนแสงไฟวับวาวราวกับมีชีวิต เสียงผ้าลินินเสียดสีกับเนื้อเหล็กเป็เสียงเดียวที่ทำลายความเงียบในกระโจม มันเป็เสียงที่เยือกเย็นและชวนให้ขนลุก
เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอ ราวกับว่าเธอเป็เพียงอากาศธาตุ เป็การแสดงออกถึงอำนาจที่เหนือกว่าอย่างชัดเจนที่สุด
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า... และน่าอึดอัด
มู่หลันยืนนิ่งอยู่กลางกระโจม เธอไม่ยอมเอ่ยปากพูดก่อน นี่คือาจิตวิทยาขนาดย่อม และเธอจะไม่ยอมเป็ฝ่ายเสียเปรียบเด็ดขาด
‘นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว ในเมื่อเขาอยากจะกดดันเรา เราก็ต้องนิ่งให้ยิ่งกว่า’ เธอคิดในใจ ความดื้อรั้นและไม่ยอมคนซึ่งเป็นิสัยติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรกำลังทำงานอย่างเต็มที่
ในที่สุด หลังจากปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันนานเกือบหนึ่งก้านธูป เว่ยหลงก็วางดาบลงบนโต๊ะเสียงดัง แคร้ง!
เขาเงยหน้าขึ้น สบตากับเธอตรงๆ “เ้ายังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ข้าให้คนเตรียมหมั่นโถวกับน้ำแกงไว้ให้แล้ว” เขาชี้ไปยังถาดอาหารเล็กๆ ที่มุมหนึ่งของกระโจม
มู่หลันประหลาดใจเล็กน้อยกับการกระทำที่คาดไม่ถึงนี้ แต่เธอก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “ขอบคุณในความเมตตาของท่านแม่ทัพ แต่ก่อนที่ข้าจะกินอะไร ข้าอยากจะรู้สถานะของตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อน”
เว่ยหลงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายประกายแห่งความสนใจ “สถานะ? สถานะของเ้าตอนนี้คือ ผู้ต้องสงสัย ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คือนักโทษ” มู่หลันกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตามกฎหมายต้าถัง นักโทษสมควรได้รับอาหารไม่ใช่หรือคะ? ความเมตตาส่วนตัวของท่านแม่ทัพ ข้าผู้เป็นักโทษไม่กล้ารับไว้ให้เป็ที่ครหาหรอกเ้าค่ะ”
คมวาจาของเธอทำให้บรรยากาศในกระโจมตึงเครียดขึ้นมาทันที!
เหล่าอู่ซึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูกระโจมถึงกับเหงื่อตก ‘์! สตรีนางนี้บ้าไปแล้วหรือไร! นางกำลังบอกว่าท่านแม่ทัพกำลังทำผิดกฎหมายงั้นรึ! นางไม่กลัวถูกตัดลิ้นรึอย่างไร!’
เว่ยหลงจ้องมองมู่หลันนิ่ง ดวงตาของเขาค่อยๆ หรี่ลงจนกลายเป็เส้นตรง “ปากคอเราะรายไม่เบา”
“คนเรามีปากไว้พูด หากไม่พูดความจริงแล้วจะมีไว้ทำไมล่ะคะ” มู่หลันสวนกลับทันควัน แววตาของเธอทอประกายท้าทายอย่างไม่ปิดบัง “อีกอย่าง ข้ายังไม่ได้ทำผิดอันใด ท่านแม่ทัพคุมตัวข้าไว้เพียงเพราะความสงสัย ท่านไม่คิดว่ามันเป็การใช้อำนาจเกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือ”
“เกินกว่าเหตุ?” เว่ยหลงหัวเราะในลำคอ เป็เสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความขบขัน “เ้าโผล่มากลางป่าชายแดนในสภาพพิสดาร พูดจาด้วยสำเนียงที่ไม่น่าจะมีอยู่ในแผ่นดินนี้ พร้อมกับเื่เล่าที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ เ้าบอกข้าทีสิ ว่าการที่ข้าสงสัยในตัวเ้ามันเกินกว่าเหตุตรงไหน?”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะมายืนอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง กลิ่นอายบุรุษที่แข็งแกร่งผสมกับกลิ่นเหล็กจางๆ ปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอ “หรือข้าควรจะปล่อยเ้าไป แล้วรอให้พวกอนารยชนทางเหนือยกทัพมาตีค่ายข้าในคืนพรุ่งนี้ดีล่ะ?”
“ข้าไม่ใช่สายลับ!” มู่หลันเผลอขึ้นเสียง ก่อนจะรีบปรับน้ำเสียงให้นิ่งดังเดิม “ท่านไม่มีหลักฐาน”
“ข้าไม่จำเป็ต้องมีหลักฐาน” เว่ยหลงกล่าวเสียงเย็น “ที่ชายแดนแห่งนี้ คำพูดของข้าคือกฎหมาย! ชีวิตของเ้าอยู่ในกำมือข้า จะอยู่หรือตายขึ้นอยู่กับคำตอบของเ้าในตอนนี้เท่านั้น บอกความจริงมา เ้าเป็ใครกันแน่?”
แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้าใส่เธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้มู่หลันเตรียมตัวมาดีแล้ว เธอรู้ว่าการโกหกต่อไปคงไม่เป็ผลดีแน่ เธอจึงเลือกที่จะบอกความจริงครึ่งหนึ่ง
“ถ้าข้าบอกว่า ข้ามาจากสถานที่ที่ท่านไม่รู้จัก สถานที่ที่อยู่ไกลแสนไกลเกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้ ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่?” เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา
เว่ยหลงนิ่งไป เขามองเห็นบางสิ่งในแววตาของเธอ ความจริงจัง ความสิ้นหวัง และความสับสนที่ไม่ได้เสแสร้ง
“ลองว่ามา”
“ข้าพลัดหลงมา ด้วยอุบัติเหตุบางอย่างที่ข้าเองก็ยังอธิบายไม่ได้” มู่หลันเว้นจังหวะ “กระจกบานนั้นคือสิ่งเดียวที่อาจจะเชื่อมโยงข้ากับบ้านเกิดได้ นั่นคือเหตุผลที่ข้ายอมตายดีกว่าที่จะเสียมันไป”
“เ้ากำลังจะบอกว่าเ้ามาจากดินแดนเซียนหรืออย่างไร” เว่ยหลงถามเสียงเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยการประเมิน
“ข้าไม่ได้บอกเช่นนั้น” มู่หลันส่ายหน้า “ข้าแค่บอกว่า โลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าที่ท่านคิดนัก ในบ่อน้ำเล็กๆ ไหนเลยจะรู้จักความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรได้ บางทีข้าอาจจะเป็แค่ปลาตัวหนึ่งที่โชคร้ายถูกคลื่นซัดออกมาจากทะเลของตัวเองก็เท่านั้น”
คำเปรียบเปรยของเธอทำให้เว่ยหลงถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
‘นางฉลาดมาก ฉลาดเกินไป การตอบคำถามแบบนี้ไม่เปิดช่องให้จับผิดได้เลยแม้แต่น้อย มันฟังดูเหลวไหล แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็ไปได้บางอย่างซ่อนอยู่ และคำคมที่นางใช้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับลึกซึ้งยิ่งนัก สตรีเช่นนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน’ เว่ยหลงคิดวิเคราะห์
เขากลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม ยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ “เื่เล่าของเ้า น่าสนใจยิ่งนัก แต่ก็ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังตัดสินใจเื่สำคัญ “เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่อเ้าอ้างว่าตัวเองไม่ใช่สายลับและไม่มีพิษมีภัย ก็จงพิสูจน์มันซะ”
“พิสูจน์? พิสูจน์อย่างไรเพคะ?”
ดวงตาของเว่ยหลงทอประกายคมปลาบ “ในกองทัพของข้า ไม่มีที่ว่างสำหรับคนที่ไร้ประโยชน์ พรุ่งนี้ข้าจะให้เ้าทำงานในโรงครัวและค่ายพยาบาล เ้าต้องแสดงให้ข้าเห็นว่าเ้ามีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่ และได้รับอาหารจากกองทัพของข้า”
นี่มัน เปลี่ยนสถานะจากนักโทษมาเป็ทาสรับใช้ชัดๆ!
มู่หลันกำหมัดแน่น ความรู้สึกถูกดูิ่แล่นวาบขึ้นมาในอก นางกลัวอย่างนั้นหรือ? หึ! ไม่มีทาง! ในโลกของนาง งานแพทย์ฝึกหัดที่ผ่านมานับไม่ถ้วนล้วนหนักหนากว่านี้ทั้งสิ้น ทั้งค่ายพยาบาลในพื้นที่กันดาร หรือแม้แต่งานโรงครัวในสนามจริง นางก็เคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น
“ตกลง”
นางเอ่ยตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจมองข้ามได้
“ดี” เว่ยหลงกล่าว “ตอนนี้ไปกินข้าวได้แล้ว แล้วก็ไปพักผ่อนซะ เหล่าอู่จะจัดกระโจมเล็กๆ ให้เ้า และจำไว้ให้ดี อย่าคิดหนีเด็ดขาด เพราะถ้าเ้าหนี ไม่ว่าเ้าจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะตามล่าเ้ากลับมาให้ได้”
คำขู่สุดท้ายของเขาเย็นเยียบจนถึงขั้วหัวใจ
มู่หลันโค้งคำนับให้เขาเล็กน้อยตามธรรมเนียมที่พอจะนึกออก แล้วจึงเดินไปหยิบถาดอาหารและเดินออกจากกระโจมไปอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อร่างของเธอหายไปจากสายตา เว่ยหลงก็ถอนหายใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
“ท่านแม่ทัพ ท่านเชื่อเื่เล่าของนางหรือขอรับ?” เหล่าอู่ที่เดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย
เว่ยหลงส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เชื่อ แต่ข้าก็ไม่เห็นจิตสังหารในตัวนางแม้แต่น้อย มีแต่จิติญญาของการต่อสู้ที่ไม่ยอมแพ้ มันน่าสนใจ” เขาหยิบพู่กันขึ้นมา จุ่มหมึก แล้วเขียนบางอย่างลงบนแผ่นกระดาษ “ส่งสารนี้ไปเมืองหลวง ให้คนของเราสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสตรีประหลาด ที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นที่อื่น และจับตาดูนางไว้ทุกฝีก้าว อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”
“ขอรับ!”
ด้านนอกกระโจม...
มู่หลันนั่งลงบนขอนไม้ ห่างจากความวุ่นวายของค่ายทหาร เธอมองหมั่นโถวในมือด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นี่คืออาหารมื้อแรกของเธอในโลกใบใหม่ อาหารที่ต้องแลกมาด้วยการต่อรอง
เธอกัดหมั่นโถวเข้าไปคำใหญ่ มันแข็งและจืดชืด แต่ในวินาทีนั้นเอง น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลรินลงมาอาบแก้มของเธออย่างห้ามไม่อยู่
มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความอ่อนแอ แต่มันคือน้ำตาแห่งความตื้นตันที่เธอยังมีชีวิตรอดมาได้อีกหนึ่งวัน
คืนนี้ คือคืนแรกของเธอในราชวงศ์ถัง และการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดที่แท้จริง เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น