เซี่ยโม่พยักหน้า “ก็เป็แบบนี้บ่อยค่ะ ก่อนนี้ตอนขึ้นเขามาเก็บสมุนไพร พอเห็นเห็ด เห็นผลไม้ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บกลับบ้าน”
ซ่งมู่ไป๋ยิ้มชื่นชม “คนที่มีนิสัยรักอิสระมักจะมีความสุขกว่าคนทั่วไป ฉันชอบนะ”
ตอนแรกเธอนึกว่าเธอจะถูกพี่ซ่งตำหนิเสียอีกว่า ในเมื่อตั้งใจขึ้นมาเก็บฟืนทำไมถึงเอาแต่เถลไถลนอกเื่ แต่พอได้ยินเช่นนี้เด็กสาวก็ยิ้มอย่างโล่งอกระคนดีใจ
“พี่ซ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าพี่จะเข้าใจฉัน”
“เข้าใจสิ ความจริงฉันก็อยากไปช่วยเธอเก็บนะ แต่ฉันกลัวว่าถ้าเรากลับไปโดยไม่มีฟืน ผู้ใหญ่ที่บ้านจะว่าเอาได้” บนใบหน้าชายหนุ่มประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“พี่ซ่ง งั้นเราเอาของพวกนี้กลับไปเก็บที่บ้านก่อน ตอนบ่ายค่อยขึ้นมาเก็บเกาลัดต่อ ฉันเห็นตรงนั้นยังมีอีกเยอะเลยค่ะ” เซี่ยโม่รู้สึกดีอย่างมากที่ชายหนุ่มเข้าอกเข้าใจเธอ
นี่คือเกาลัดที่เติบโตตามธรรมชาติ กินเข้าไปแล้วต้องดีต่อสุขภาพมากแน่ๆ
แม้ในโกดังสินค้าของเธอจะมีเกาลัดอยู่ แต่นั่นคือเกาลัดที่มาจากการทาบกิ่งหรือไม่ก็ใช้กรรมวิธีพิเศษเลี้ยงดูมา ประโยชน์เลยไม่มากเท่าเกาลัดที่เติบโตเองตามธรรมชาติ
“พวกเรากลับไปกินข้าวกันก่อนเถอะ กินเสร็จเดี๋ยวฉันมาเก็บเกาลัดเป็เพื่อนเธอ”
“หน้าหนาวเมื่อไรฉันจะทำปิ่งเกาลัดไปให้กินนะคะ รับรองอร่อยแน่นอนค่ะ” เธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ฉันจะรอนะ”
เด็กสาวก้มมองมือตัวเองที่สวมถุงมือก่อนจะเอ่ยออกมา “ฉันจำได้ว่าที่บ้านมีถุงมืออยู่อีกคู่ เดี๋ยวกลับไปถึงบ้านแล้วจะหาให้นะคะ ตอนเก็บเกาลัดหนามจะได้ไม่ทิ่มมือพี่”
ซ่งมู่ไป๋มองไปที่เกาลัดพลางแนะนำ “พวกเราแกะเปลือกออกดีกว่าไหม เอาไปทั้งเปลือกมันเปลืองที่”
“ดีเหมือนกันค่ะ แต่ว่าเราจะแกะยังไงคะ แล้วตอนแกะเปลือกจะไม่กระเด็นไปทั่วเหรอคะ” เธอพยักหน้าเห็นด้วย
“ง่ายมาก ดูฉันก็แล้วกัน” พูดจบซ่งมู่ไป๋ก็เดินถือถุงกระสอบใส่เกาลัดไปวางข้างก้อนหิน จากนั้นมองหาท่อนไม้ พอเจอก็จัดการทุบไปที่กระสอบเกาลัดจนบุบแบนเข้าไป
“ลูกไหนที่เปลือกกระเทาะออกแล้วให้วางไว้ด้านข้าง ส่วนลูกไหนเปลือกยังไม่กระเทาะออกให้ใส่เข้าไปในถุงแล้วทุบอีกรอบ” ชายหนุ่มบอกพลางเทเกาลัดในกระสอบออกมา
เธอมองชายหนุ่มด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “พี่ซ่ง พี่เคยแกะเปลือกเกาลัดมาก่อนเหรอคะ”
“ไม่เคย แต่ทำแบบนี้เปลือกก็จะไม่กระเด็นไปไหน” ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางอธิบายเพิ่มเติม
เซี่ยโม่นึกชื่นชมในใจ ผู้ชายคนนี้ฉลาดไม่เบา อีกทั้งเรี่ยวแรงก็เยอะ ถ้าให้เธอทุบเองไม่มีทางได้ผลลัพธ์แบบนี้แน่นอน
มีคนแรงดีคอยช่วยนี่มันเยี่ยมจริงๆ
ครั้นนึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ เด็กสาวจึงเอ่ยถาม “พี่ซ่ง วิชาวัฒนธรรมพี่เป็ยังไงบ้างคะ”
“ก็พอได้ แต่น่าเสียดายที่ฉันจบแค่มัธยมต้น ไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย” ซ่งมู่ไป๋ตอบอย่างถ่อมตัว
“พี่ยังมีหนังสือเรียนของชั้นมัธยมปลายอยู่หรือเปล่าคะ”
“ที่เธอพูดเมื่อคราวที่แล้วฉันยังจำได้ ฉันเลยกลับไปหาหนังสือเรียนของชั้นมัธยมปลายจนครบ ว่างๆ ลองเปิดอ่านดู ก็พออ่านรู้เื่อยู่”
“ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจมาถามฉันได้เลยนะคะ” เด็กสาวถามต่ออย่างเอาใจใส่
“ไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งจะเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายหรอกเหรอ” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
“หนังสือเรียนของชั้นมัธยมปลายฉันลองอ่านหมดแล้วค่ะ เวลาเรียนสบายขึ้นเยอะเลย คุณครูก็รู้ระดับของฉันดี ไม่งั้นจะให้ฉันลาหยุดได้หลายวันเหรอคะ” เด็กสาวเชิดหน้าเล็กน้อยขณะตอบ ทั้งดูน่ารักและถือดีในเวลาเดียวกัน
“ได้ ถ้าฉันมีตรงไหนไม่เข้าใจจะมาขอคำชี้แนะจากเธอนะ”
“จะใช้สมุดแบบฝึกหัดด้วยไหมคะ ถ้าจะใช้เอาที่ฉันไปก็ได้”
“ยังดีกว่า ฉันอยากอ่านสักรอบก่อน ไว้เข้าใจจนถ่องแท้ค่อยทำแบบฝึกหัด อย่างไรเสียฉันก็ไม่รีบ”
“ได้ค่ะ” เซี่ยโมพยักหน้ารับรู้
ทั้งสองคนพูดคุยพลางแกะเปลือกเกาลัดไปด้วย จนในที่สุดก็แกะจนหมด
เธอหันไปมองถั่วเหอเถา น่าเสียดายที่เปลือกเขียวๆ ของมันแกะไม่ง่าย ต้องรอให้เปลือกแก่กว่านี้เสียก่อนถึงจะแกะออกได้
เธอรู้ดีว่าเปลือกของถั่วเหอเถานั้นมีพิษ ตอนแกะต้องระมัดระวังให้ดี
“อีกเดี๋ยวเก็บแต่เกาลัดดีกว่า ไม่เก็บถั่วเหอเถาแล้ว”
“ได้” ซ่งมู่ไป๋ใช้รักแร้หนีบถุงกระสอบที่บรรจุถั่วเหอเถา ก่อนจะหาไม้ท่อนยาวและหนา มาสอดใต้เชือกที่ผูกกองฟืนเอาไว้แล้วหาบลงจากเขา
เซี่ยโม่สะพายตะกร้าที่มีเกาลัดอัดแน่นอยู่ประมาณสิบกิโลกว่าเดินลงจากเขาตามไป
พอเห็นชายหนุ่มเดินด้วยฝีเท้าสบายๆ เธอรู้สึกนับถืออย่างยิ่ง
พี่ซ่งแรงดีเหลือเกิน ขนาดเธอออกกำลังกายต่อเนื่องมาตั้งนาน เรี่ยวแรงยังไม่เยอะเท่าอีกฝ่ายเลย
จากเื่นี้ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความแตกต่างทางกายภาพตามธรรมชาติของชายหญิง
แม้จะมีแรงไม่มากเท่าพี่ซ่ง แต่เธอหัวดี ประสาทััทั้งห้าว่องไว ทั้งยังมีโกดังสินค้าตามติดตัวอยู่ทุกที่ทุกเวลา เช่นนั้นแล้วจะต้องไปอิจฉาคนอื่นทำไม เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่จะดีกว่า
พอคิดได้ดังนั้นเธอก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามไป
พากันเดินลงมาถึงตีนเขาแล้ว ทั้งสองคนเดินไปยังรถจักรยาน ก่อนจะวางของไว้บนเบาะรถ
เซี่ยโม่ใช้ไม้เลื้อยแถวนั้นมัดตะกร้าไว้กับรถจักรยาน เมื่อมัดแน่นดีแล้วถึงค่อยขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง
การมีคนคอยช่วยเหลือนี่มันดีจริงๆ
ทันทีที่ทั้งสองคนขี่จักรยานเข้ามาในหมู่บ้าน สายตาของคนในหมู่บ้านต่างมองมาทางพวกเขาอย่างสนอกสนใจ
“โม่โม่ ผู้ชายคนนี้คือ?”
แม้เซี่ยโม่จะไม่ชอบตกเป็หัวข้อสนทนาของผู้คน แต่ก็ยังตอบออกไปตามตรง “เป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตน้องชายของฉันค่ะ คุณตาคุณยายรับเขาเป็หลานบุญธรรมแล้วด้วย”
“อ๋อ”
แล้วเธอก็นึกออก ต้องเป็เพราะสาวใหญ่ข้างบ้านที่เจอเมื่อเช้าเป็แน่ อีกฝ่ายคงเอาเื่นี้ไปพูดให้คนอื่นฟัง พอเธอกับพี่ซ่งกลับมาจากบนเขา ทุกคนถึงได้มองอย่างไม่วางตา
ซ่งมู่ไป๋ส่งยิ้มแสดงความเป็มิตรให้แก่ทุกคน โดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าคนอื่นจะมองตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์อย่างไร
ในสายตาทุกคนในที่นี้เห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาไม่เลว นิสัยก็ดี ทั้งยังได้ยินว่าทำงานที่สถานีรถไฟอีกด้วย ชายหนุ่มที่คุณสมบัติดีแบบนี้ไม่รู้ว่ามีคนรักหรือหมั้นหมายแล้วหรือยัง
“พ่อหนุ่ม เรามีญาติอยู่ในหมู่บ้านนี้ใช่ไหม ฉันจำได้ว่าเธอชื่อซ่งอะไรนี่แหละ” คุณปู่หลี่เอ่ยถาม เขาจำได้ว่าเคยเจอชายหนุ่มคนนี้เมื่อคราวที่มีคนจะมาลักพาตัวเซี่ยโม่ และคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน
ซ่งมู่ไป๋พยักหน้าก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ผมชื่อซ่งมู่ไป๋ ป้าของผมอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ผมเคยมาเยี่ยมท่านสี่ห้าครั้งครับ”
เซี่ยโม่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ทำไมวันนี้ตอนเธอกลับลงจากเขาถึงเจอผู้คนมากมายกว่าปกติ หรือคนเหล่านี้ตั้งใจมารอพวกเธอ?
คนพวกนี้อยากรู้อยากเห็นเกินไปแล้ว
มีคนเข้ามาทักทายถามไถ่ตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้าน
คุณตาคุณยายกลับมาบ้านแล้ว แม้แต่คุณปู่จ้าวก็กลับมาแล้วเช่นกัน ทั้งสามคนมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี เหมือนไปเจอเื่ไม่ดีอะไรมา
พอทุกคนเห็นกองฟืนสองกองใหญ่ เกาลัดผึ่งตากเอาไว้ และด้านข้างยังมีถั่วเหอเถากับลูกท้อก็พากันเอ่ยชม “โม่โม่นี่เก่งจริงๆ”
”ฟืนสองกองนั้นเป็ฝีมือพี่ซ่งค่ะ ส่วนเกาลัดที่แกะเปลือกเรียบร้อยแล้วก็เป็ฝีมือพี่ซ่งเหมือนกัน” เซี่ยโม่ยิ้มพร้อมแจกแจง ยกความดีความชอบให้ซ่งมู่ไป๋ครึ่งหนึ่ง
“เสี่ยวซ่ง ไม่เลวเลย” ผู้ใหญ่ทั้งสามคนยกนิ้วโป้งชมเชย
“ทุกคนกินเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูเอาข้าวไปส่งให้เฉินเฟิงแล้วก็จะอยู่กินกับน้องด้วยเลย” เซี่ยโม่บอกกับทุกคนหลังจากทำอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ
ซ่งมู่ไป๋ได้ฟังก็ถามอย่างเป็ห่วง “โม่โม่ เธอเอาข้าวกลางวันไปส่งให้น้องชายทุกเที่ยงเลยเหรอ”
เด็กสาวพยักหน้า “ใช่ค่ะ โชคดีที่ฉันมีรถจักรยาน ไม่อย่างนั้นคงเอาข้าวไปส่งให้น้องชายแล้วกลับไปเรียนไม่ทันแน่ๆ”
“ลำบากเธอแย่เลย แล้วถ้าถึงฤดูหนาวจะทำยังไง”
“ฉันว่าจะเช่าบ้านสักหลัง ส่วนเื่อาหารคุณอาเหมยฮวาจะเป็คนดูแลค่ะ”
ซ่งมู่ไป๋พยักหน้าอย่างโล่งอก เขากลัวว่าหากเด็กสาวขี่จักรยานไปกลับ วันไหนมีหิมะตกเกิดลื่นล้มขึ้นมาจะทำอย่างไร
ระหว่างกินข้าวคุณตาที่หน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอด ลองถามหยั่งเชิงซ่งมู่ไป๋ “วันนี้ตอนฉันต้อนวัวเสร็จกำลังกลับบ้าน มีคนในหมู่บ้านหลายคนถามฉันใหญ่เลยว่า ชายหนุ่มที่มานอนค้างบ้านเมื่อคืนเป็ใคร คำพูดคนนี่น่ากลัวจริงๆ ไม่งั้นสู้หมั้นกันไว้ก่อนดีไหม”