“เป็จริงดังเ้าว่า” ชายชรากล่าวขึ้นอีกครั้งทว่าน้ำเสียงของเขายังคงนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนไป คล้ายเป็ไทรใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงในพื้นดินอย่างไรอย่างนั้นไม่ว่าสายลมพัด พายุฝนโหมกระหน่ำ หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเช่นไร เขาย่อมมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
หลงเซี่ยงจวินฉายประกายรอยยิ้มบางๆ ขึ้นบนใบหน้าเขาพูดด้วยเสียงแ่เบา “ในเมื่อเป็เช่นนั้น ดูท่าท่านอัครเสนาบดีคงต้องขอบคุณข้าน้อยแล้วละ”
“หืม?” ชายชราเบิกตาขึ้นกะทันหันสีหน้าของเขายังนิ่งเรียบไม่ต่างไปจากผืนน้ำในทะเลสาบ แต่ดวงตาคู่นั้นประกายกระแสแห่งความรู้สึกบางอย่างออกมาแล้ว
แสงในตำหนักไท่เหอดูมืดหม่นลงไปมากสายลมระลอกหนึ่งพัดมาจากที่ใดสักแห่ง และพัดไปที่แห่งไหนก็ไม่อาจทราบแต่ดูเหมือนสายลมเ่าั้จะเน้นไปที่ร่างของหลงเซี่ยงจวินเป็พิเศษ
เส้นผมสีขาวของชายชราต้องลมจนปลิวไสวเช่นเดียวกับชายเสื้อของหลงเซี่ยงจวิน
พวกเขาจ้องกันตาเขม็งสายตาของทั้งคู่ราวกับนักรบบนหลังม้าที่กำลังพุ่งเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร
ตำหนักไท่เหอเงียบสงัดลงยิ่งกว่าเดิมแม้แต่ขันทีและสาวใช้ผู้ยุ่งอยู่กับงานยังสังเกตเห็นความผิดปกติของที่นี่ได้พวกเขาต่างหยุดงานที่ทำอยู่แล้วมองไปยังคนทั้งสองที่เป็ดั่งใจกลางของพายุฝนในครั้งนี้เป็ตาเดียว
“องค์จักรพรรดิเสด็จแล้ว!”
เสียงแหลมๆ ของใครบางคนดังทำลายบรรยากาศแสนเงียบสงัดนี้ลง
คนทั้งสองละสายตาออกจากกันอย่างพร้อมเพรียง
ฝูงชนกลับไปนั่งประจำที่ของตน พวกเขารู้ดีว่าเพียงมีองค์จักรพรรดิอยู่ไม่ว่าอย่างไรความขัดแย้งในครั้งนี้ย่อมยุติลงแน่นอน แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม
ซูฉางอันเองก็กลับไปนั่งประจำที่เช่นกันและบังเอิญเหลือเกินที่ที่นั่งของหลงเซี่ยงจวินกับหรูเยี่ยนอยู่ติดกับเขา
หลงเซี่ยงจวินยังคงกระพือพัดในมือด้วยท่าทีไม่แยแสผู้ใดทางด้านหรูเยี่ยน นางเอาแต่ก้มหน้าลงต่ำและนิ่งเงียบ ไม่อาจทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด ฐานะที่แท้จริงของนางถูกหลงเซี่ยงจวินเปิดเผยออกมากลางตำหนักเช่นนี้ชนชั้นสูงและขุนนางที่ตำหนักชั้นนอกต้องพูดวิพากษ์วิจารณ์นางไปต่างๆ นานาเป็แน่แม้แต่สาวใช้ที่เดินผ่านไปมายังมองเหยียดใส่นาง นั่นทำให้นางรู้สึกตื่นตระหนกและกระวนกระวายเหลือเกินทว่าสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายมากกว่า คือการได้ทราบข่าวที่อัครมหาเสนาบดีท่านนั้นจะให้ลูกสาวแต่งกับเป่ยทงเสวียนนั่นเอง
สำหรับนางแล้ว ข่าวนี้ก็ไม่ต่างไปจากสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างจัง
ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อใจเป่ยทงเสวียนหรอกนะ
แต่ตั้งสิบปี...
...เป็เวลาที่ยาวนานเหลือเกิน
โดยเฉพาะกับสตรีอายุยี่สิบกว่าๆ เช่นนางเวลาสิบปีที่ผ่านมา นับเป็่ที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนางก็ว่าได้
ยามนี้ นางไม่ใช่ยอดบุปผาที่ชนชั้นสูงและขุนนางทั้งหลายยอมทุ่มเงินเป็หมื่นตำลึงเพื่อให้ได้ยลโฉมอีกต่อไปแล้ว
นางสูญเสียความงดงามที่เคยมี นางมีรอยตีนกาที่ต่อให้จะใช้เครื่องสำอางกลบขนาดไหนก็ไม่มีทางปกปิดได้อีกมีผมขาวที่ไม่ว่าถอนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดลงเสียที
นอกจากความงามที่เคยมี นางก็ไม่เหลืออะไรให้พึ่งพิงอีกต่อไปนางที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ ก็เป็เพียงสาวโคมเขียวเป็เพียงดอกไม้ที่โรยราเท่านั้น
นางไม่รู้ว่าตนที่เป็ดั่งดอกไม้โรยในยามนี้ จะนำสิ่งใดไปเทียบชั้นกับคุณหนูจากจวนเสนาบดีที่ตนยังไม่เคยพบหน้าผู้นั้น
นางยอมเดิมพันกับความรักด้วยเวลานับสิบปี แต่บัดนี้นางถึงเข้าใจว่าเวลาสิบปีที่ผ่านมาได้ดึงเอาความงามซึ่งเป็ของมีค่าเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถใช้เป็สิ่งเดิมพันออกไปจากร่างของนางจนหมดสิ้นสิ่งเดียวที่นางยังเหลืออยู่มีเพียงชายผู้นั้นมีเพียงความสัมพันธ์อันแสนลึกซึ้งที่พวกเขามีต่อกันเมื่อสิบปีก่อนเท่านั้น
หรูเยี่ยนอยากจะลุกขึ้นยืน หนีออกไปจากที่นี่
นางไม่้าและไม่กล้าเสี่ยงพนันกับใครอีกแล้ว
สิบปีที่ผ่านมา ทำให้เกมพนันของนางพ่ายแพ้ยับเยิน หากตอนนี้ต้องเสียสิ่งล้ำค่าสุดท้ายของชีวิตอาจกล่าวได้ว่านางสูญสิ้นทุกอย่างไป หากเป็เช่นนั้น แม้มีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ต่างไปจากการตายเลย
ทว่ามือหนึ่งกลับยื่นเข้ามากดให้ร่างที่กำลังจะลุกขึ้นยืนของนางกลับลงไปนั่งอีกครั้ง
มือนั้นแลดูเรียวสวย แต่กลับทรงพลังมหาศาลเหลือเกิน นั่นทำให้นางไม่อาจต่อต้านหรือขัดขืนใดๆได้เลย
“ในเมื่อมาแล้ว เ้าไม่มีทางหนีไปไหนได้อีก”เสียงที่อ่อนหวานราวกับสตรีเอ่ยขึ้นเช่นนั้น
หรูเยี่ยนเงยหน้ามองชายรูปงามท่าทางชดช้อยตรงหน้ามองเข้าไปในดวงตาที่หรี่จนกลายเป็เส้นตรงของเขา นางอยู่กับชายผู้นี้มานานเกือบยี่สิบปีจึงรู้ดีว่านางขัดคำสั่งของชายผู้นี้ไม่ได้
นางหันหน้ากลับมาอย่างฝืนใจ แล้วก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง
ซูฉางอันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนเขารู้ดีว่าหรูเยี่ยนกำลังวิตกกังวลกับสิ่งใด เพราะเขาเองก็เป็กังวลไม่ต่างไปจากนาง
แต่ถึงกระนั้น เขายังปักใจเชื่ออย่างดื้อดึงว่าหรูเยี่ยนก็คือซุ่ยอวี้ส่วนเป่ยทงเสวียนก็คือหนานเยวียน
เขาคิดว่า ในเมื่อโลกใบนี้มีนักดาบดั่งมั่วทิงอวี่และฉู่ซีฟง...
...เช่นนั้นย่อมมีเป่ยทงเสวียนที่เป็เหมือนหนานเยวียนในหนังสือเช่นกัน
ช่างเป็ความคิดที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยแต่ซูฉางอันก็ยังคิดว่าโลกใบนี้น่าจะเป็เช่นนั้นอยู่ดี
ดังนั้น เขาจึงพูดกับหรูเยี่ยนอีกครั้ง “พี่หรูเยี่ยนวางใจเถอะ พี่เป่ยทงเสวียนไม่มีทางตกลงแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแน่”
ทันใดนั้น คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนัก
หรือพูดให้ถูกก็คือคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายใต้การห้อมล้อมของขันทีและสาวใช้นั่นเอง
เขาเป็บุรุษที่มีอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่ง
ชายเ้าของคิ้วคมประดุจคมดาบ ดวงตาเป็ประกายราวดวงดารา อยู่ในชุดผ้าไหมสีทองเดินเข้ามาในตำหนักด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและทรงพลังเส้นผมของเขาปลิวไสวไปในอากาศดุจดั่งพญาราชสีห์ แม้จะไม่ได้โกรธ แต่รังสีแห่งความดุดันชวนให้รู้สึกขนหัวลุกกลับกระจายไปทั่วบริเวณราวเป็สิ่งที่จับต้องได้เช่นนั้น ทุกแห่งหนที่เขาก้าวผ่าน ไม่ว่าจะเป็สาวใช้ขันที ขุนนาง หรือแม้แต่อ๋องโหวต่างพากันก้มกราบลงอย่างพร้อมเพรียง
เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าบัลลังก์ทองคำอันแสนยิ่งใหญ่
จากนั้นจึงหมุนกาย พร้อมกับสะบัดชายเสื้อไปทางด้านหลังแล้วนั่งลงบนบัลลังก์อย่างทรงพลัง
“ทุกท่าน ลุกขึ้นเถิด”เสียงที่หนาและกึกก้องราวกับระฆังฟ้าดังขึ้น
“ขอบพระทัยฝ่าา” ผู้คนภายในตำหนักไท่เหอพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากนั้นจึงยืดตัวขึ้น แล้วกลับมานั่งประจำที่ของตนอีกครั้ง
“ข้าถือกำเนิดด้วยตำแหน่งต่ำต้อยคลุกคลีอยู่กับทหารและชนชั้นรากหญ้า เกิดในยุคสมัยอันแสนวุ่นวาย ราชวงศ์ฮั่นชั่วช้าทำให้ประชาชนทุกข์ทรมาน เพราะไร้คนกล้า คนชั่วจึงได้ดี ข้าจึงลุกฮือขึ้นเพื่อช่วยให้ประชาชนพ้นจากความยากลำบาก และทำทุกอย่างให้ดียิ่งขึ้น”
“ข้าเที่ยวทำาไปทั่วมานานถึงแปดสิบปี ข้าสงบเจียงตงยึดสู่ตี้ และผนึกแผ่นดินต้าเว่ยจนกลายเป็หนึ่งในที่สุด”
“หลังพัฒนาและบริหารอยู่นานถึงร้อยปีแผ่นดินต้าเว่ยถึงได้เจริญรุ่งเรืองดั่งเช่นในตอนนี้!”
“ฝ่าาทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก!”ขุนนางทั้งหลายก้มกราบและะโขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“วันนี้เป็วันเกิดปีที่สองร้อยสิบเอ็ดของข้า แก้วแรก...”
“ข้าขอดื่มให้จอมพยัคฆ์แห่งเจียงตง นภาหมอง ฉู่เซียวหาน! ”ชายผู้นั้นยกแก้วแล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าเสียงของเขาฟังดูลึกล้ำทว่าก็เก่าแก่เหลือเกินราวกับว่าเสียงนั้นเดินทางข้ามผ่านกาลเวลามานานนับหมื่นปีกว่าจะเข้ามากระทบหูของคนในงานอย่างไรอย่างนั้น
“ดื่มให้ฉู่เซียวหาน!”ขุนนางภายในตำหนักยกแก้วขึ้น แล้วแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องนภาอย่างพร้อมเพรียง
เสียงของพวกเขาดังกระหึ่ม กึกก้องไปในอากาศ
สุราในแก้วถูกกระดกจนหมดในรวดเดียว
“แก้วที่สอง!”ชายคนนั้นชูแก้วแล้วมองขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง
“ข้าขอดื่มให้ัแห่งสู่ตี้ นภาหม่น อวี้จั่วเฉิง!”
“ดื่มให้อวี้จั่วเฉิง!”
ทุกคนกระดกของเหลวในแก้วจนหมดภายในรวดเดียวอีกครั้ง
“แก้วที่สาม ข้าขอดื่มให้สองวีรบุรุษจากเทียนหลานเทียนซูและเทียนเฉียน!”
.....
ครึ่งชั่วยามต่อมา คนในงานดื่มไปมากกว่าร้อยจอกแล้ว
องค์จักรพรรดิก็กล่าวชื่อออกมามากกว่าร้อยชื่อแล้วเช่นกัน
คนเหล่านี้บ้างก็เป็ศัตรู บ้างก็เป็มิตรสหายของพระองค์แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีร่วมกัน คือทั้งหมดต่างเป็นักรบแห่งดาราจักรที่มอดดับไปแล้วทั้งสิ้นเป็นักรบแห่งดาราจักรเผ่ามนุษย์ผู้สละชีพเพื่อให้เผ่ามนุษย์หลุดพ้นจากยุคอันแสนวุ่นวายก้าวเข้าสู่ยุคที่เจริญรุ่งเรืองเฉกเช่นทุกวันนี้ คนเหล่านี้มีเื่ราวและตำนานเป็ของตัวเอง ตำนานที่ควรค่าแก่การจดจำและจารึกเอาไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์
แต่คนเหล่านี้ต่างตายลงแล้วเช่นกัน
ทว่าองค์จักรพรรดิกลับยังมีชีวิตอยู่
อาจเพราะฤทธิ์สุราทำให้จักรพรรดิเซวียนเต๋อหวู่เวยแห่งแผ่นดินต้าเว่ยสติหลุดลอยไปชั่วขณะ เขาทอดมองไปทั่วตำหนักในนี้มีขุนนางและข้าราชบริพารนั่งเรียงรายอยู่มากมายแต่กลับไม่มีมิตรสหายของพระองค์อยู่เลยสักคน
“พวกเขาตายไปหมดแล้ว”เขาพึมพำด้วยเสียงที่มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เขามีชีวิตอยู่มานานเกินไป นานจนคนที่เคยรักและเกลียดต่างตายจากไปจนหมดสิ้น
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเดียวดายขึ้นมาอย่างประหลาด
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆชื่อของใครคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ผุดขึ้นในหัวคนที่แก่จนคนที่เคยรู้จักจากไปจนหมดเช่นเดียวกันกับเขาในตอนนี้
“อวี้เหิงละ? ข้าอยากดื่มกับอวี้เหิงสักจอก!”เขาพูดขึ้นเช่นนั้น
แต่กลับไม่มีใครตอบคำถาม
“ข้ากำลังถามพวกเ้าอยู่นะ อวี้เหิงละ!?” เขามองไปยังขุนนางทั้งหลาย ถามขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนภายในตำหนักต่างดูออกว่าองค์จักรพรรดิเริ่มเมาแล้วขุนนางทั้งหลายจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ายั่วโมโหหรือทำอะไรที่เป็การหาเื่ใส่ตัวในเวลาเช่นนี้
“ฝ่าา ท่านอวี้เหิงไม่สบายจึงไม่อาจมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีซือหม่าสวี่ลุกยืนประสานมือเข้าด้วยกันเป็การทำความเคารพ แล้วก้มหน้ากล่าว
“แต่ศิษย์หลานของเขาลูกศิษย์ของยอดนักดาบมั่วทิงอวี่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ศิษย์หลานอย่างนั้นรึ?” องค์จักรพรรดิชะงักนิ่งไปราวกำลังพยายามหวนคิดว่าตนเคยรู้จักคนผู้นั้นมาก่อนหรือไม่
“ฝ่าาลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์ยังเคยบอกกับกระหม่อมว่าจะประทานรางวัลแก่เขาและเทพนักรบ จิตแห่งต้าเว่ยเื่ของเมืองหลานหลิงในวันนี้”ซือหม่าสวี่ยังคงก้มหน้าลงต่ำ แล้วกล่าวเตือนความจำต่อไป
“จริงสิ!” องค์จักรพรรดิตบโต๊ะตรงหน้าหนึ่งครั้ง ราวเพิ่งนึกเื่ที่สำคัญเป็อย่างมากขึ้นมาได้“รีบเรียกพวกเขาออกมาเร็วเข้า!”
หลังได้รับคำสั่ง ขันทีที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ กระแอมเพื่อปรับเสียงแล้วพูดด้วยเสียงแหลมปรี๊ดอันเป็เอกลักษณ์
“เชิญศิษย์จากสำนักเทียนหลาน ท่านหนานเจว๋แห่งแผ่นดินต้าเว่ยซูฉางอัน และบุตรแห่งเทพาของต้าเว่ย ตู้หงฉางเข้าเฝ้าฝ่าา!”
ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เดิมที เขาเพียง้าช่วยเหลือศิษย์พี่เท่าที่ทำได้เท่านั้นคิดไม่ถึงเลยว่ายังต้องเข้าเฝ้าฝ่าาเช่นนี้ด้วย
เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ รีบวางแก้วสุราในมือลงแล้ววิ่งไปยังกลางโถงทันที... เขารู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยจึงเร่งย่ำเท้าเข้าไปหาอย่างรีบร้อน แต่ดูจากการเดินแล้ว ราวว่าเขาไม่มีอาการมึนเมาแม้แต่น้อยซูไท่ บิดาของเขารักการดื่มเป็ชีวิตจิตใจ แต่เขากลับเกลียดสุราเข้าไส้ ดังนั้น ในยามที่เหล่าขุนนางกระดกเหล้าเข้าปากเขาจึงแกล้งทำท่าทำทางไปตามเพียงเท่านั้น ไม่ได้ดื่มมันจริงๆ
เมื่อเดินมาหยุดอยู่กลางตำหนักตู้หงฉางก็คุกเข่าและก้มหน้าอยู่ก่อนแล้ว ซูฉางอันไม่รู้กฎระเบียบภายในวังสักเท่าไรจึงคุกเข่าลง แล้วทำตามตู้หงฉาง
“พวกเ้าทั้งสองคน ใครเป็ศิษย์หลานของอวี้เหิงจงเงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อย!” คนบนบัลลังก์พูดขึ้นกะทันหัน
ซูฉางอันััได้ว่าขณะพูด องค์จักรพรรดิไม่ได้ใช้พลังิญญาช่วยขยายเสียงแม้แต่น้อยแต่เขากลับมีความรู้สึกอยากจะกราบไหว้และยอมศิโรราบต่อเ้าของเสียงขึ้นอย่างประหลาดเขากัดฟันกรอด รีบสลัดความคิดประหลาดเ่าั้ออกไปจากสมองแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองชายบนบัลลังก์ มององค์จักรพรรดิที่ครองบัลลังก์มานานนับร้อยปีตรงหน้า
“เ้าชื่ออะไร?” คนบนบัลลังก์ถามอย่างสงสัย
“ซูฉางอันพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบกลับไปตามจริง
“ซูฉางอัน? ” องค์จักรพรรดิทวนชื่อนั้นอีกครั้ง “ฉางอันฉางอันแปลว่าปกครองแผ่นดินให้สงบสุขไปได้นานเท่านาน เป็ชื่อที่ดี!”
ดูเหมือนฝ่าาจะทรงมีความสุขมากแต่ซูฉางอันกลับรู้สึกประหลาดเหลือเกิน เมืองฉางอันมีชื่อประหลาด หายากอยู่ตั้งมากมาย ไม่มีใครในบรมวงศานุวงศ์แห่งแผ่นดินต้าเว่ยที่ชื่อฉางอันหรืออย่างไร
“เ้าน่ะรึ ศิษย์ที่มั่วทิงอวี่รับตอนไปแผ่นดินทางเหนือ?” องค์จักรพรรดิถามดังนั้น
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้า
“แบบนี้ก็แสดงว่า เ้าเห็นตอนมั่วทิงอวี่สังหารหยิงโฮ่ด้วยสินะ? ” ขณะกล่าวถาม จู่ๆ เสียงขององค์จักรพรรดิก็แปลกไปจากเดิม ไม่รู้ว่าเป็เพราะฤทธิ์สุราหรือเป็เพราะเหตุผลอื่นกันแน่
ซูฉางอันมีเหงื่อซึมออกมาท่วมหน้าผากเพราะคำถามที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ทันใดนั้น เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าในเมื่อการตายของอาจารย์หญิงปิดอาจารย์อวี้เหิงไม่ได้ ย่อมต้องปิดชายตรงหน้าไม่ได้ด้วยเป็แน่
แต่หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยังทำใจดีสู้เสือแล้วตอบกลับไปเช่นนี้
“ขอรับข้าเห็นด้วยตาของตัวเองว่าอาจารย์ทำลายชีพดาราของหยิงโฮ่ด้วยดาบเดียว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้