ณ จวนจงหย่งโหว
ระยะนี้เรือนโฉวงจี๋คึกคักยิ่งนัก บ่าวรับใช้ในเรือนโฉวงนี้มีงานล้นมือ ทุกวันต้องตามจับหิ่งห้อย ไล่จับผีเสื้อ ถึงแม้ว่าทั้งจวนโหวนอกจากคนของเรือนโฉวงจี๋แล้ว จะไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้ของเรือนโฉวงจี๋กำลังคิดทำอันใดอยู่ก็ตาม
มีหลายคนที่ประหลาดใจอยากเข้ามาสอบถาม แต่บ่าวรับใช้ในเรือนโฉวงจี๋นั้นปิดปากนิ่งเงียบยิ่ง ต่างกระจ่างแจ้งในจุดยืนของตน ดังนั้นจะให้พวกเขาสอบถามต่ออีก พวกเขาก็ไม่กล้าแล้ว และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าท้าทายเสี่ยวโหวเหฺยด้วย
ดังนั้น ทั้งคนของเรือนว่านโซ่ว เรือนใหญ่ และเรือนที่สามแห่งจวนโหวต่างก็ตกอยู่ในความประหลาดใจ ได้แต่คาดเดาตลอดมา
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่ประหลาดใจ แม้กระทั่งเรือนหยวนเซ่อ หลี่หง และหลี่หลินเองก็ไม่รู้เช่นกัน พวกเขาอยากจะรู้เหมือนกัน แต่หลี่ลั่วบอกว่าเป็ความลับ ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ไปสอบถามจากบ่าวรับใช้ในเรือนโฉวงจี๋ ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่ใช่เป็การทำให้บ่าวรับใช้ลำบากใจหรือไร?
ไม่เพียงแต่จวนจงหย่งโหวที่ยุ่งวุ่นวาย หลายวันนี้มานี้ทั้งเมืองหลวงต่างก็มีงานยุ่งวุ่นวาย ด้วยวันฉลองพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้ใกล้มาถึงแล้ว ย่างเข้าสี่สิบเอ็ดพรรษา ครบรอบสี่สิบปี การฉลองพระชนมพรรษาครบรอบสี่สิบปีนั้นเป็การจัดงานฉลองครั้งใหญ่ ดังนั้นราชสำนักจึงให้ความสำคัญกับการจัดงานครั้งนี้ยิ่ง เนื่องจากเป็การฉลองวันพระราชสมภพอย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกหลังจากที่จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์ และเป็ครั้งแรกของรัชสมัยปัจจุบันที่แคว้นเล็กๆ ต่างมาเมืองหลวงเพื่อร่วมอวยพรวันคล้ายวันพระราชสมภพ
เมื่อถึงปลายเดือนเก้า ทูตจากแคว้นเล็กๆ ต่างเดินทางมาเมืองหลวง ครั้งนี้ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลทูตจากแคว้นต่างๆ คือองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสาม
ที่จริงแล้วกู้จวิ้นเฉินอยู่ในรายชื่อของผู้ที่ต้องทำหน้าที่ต้อนรับทูต แต่เขาปฏิเสธเนื่องจากปัญหาเื่สุขภาพ กู้จวิ้นเฉินนั้นไม่ได้กำลังรักษาสุขภาพแต่อย่างใด แต่ระยะนี้เขากำลังให้หน่วยข่าวกรองไปรวบรวมรายละเอียดของพ่อครัว ในฐานะที่เป็ว่าที่สามีแห่งชาติ กู้จวิ้นเฉินคิดว่าอาหารจานโปรดของว่าที่ภรรยานั้นเขาสมควรที่จะทำให้อย่างเต็มที่ ฝีมือพ่อครัวของห้องเครื่องหลี่ลั่วกินมาแล้วเป็เวลาสี่เดือน น่าจะเบื่อหน่ายแล้วเช่นกัน ดังนั้นงานอดิเรกของกู้จวิ้นเฉินในเวลานี้ก็คือตามหาพ่อครัวที่มีฝีมือเป็เลิศ
และในยามนี้ เขาก็หาได้หนึ่งคนแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้เขาจึงได้ส่งจดหมายให้หลี่ลั่ว เชิญให้เขามาจวนฉีอ๋องเพื่อชิมอาหารของพ่อครัวคนใหม่
ความจริงก็คือเขาเริ่มคิดถึงว่าที่ภรรยาของตนแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมรับ
รถม้าวิ่งไปได้ครึ่งทางแล้วหยุดลงกะทันหัน
“เกิดอันใดขึ้น” หลี่ลั่วที่อยู่ในรถม้าถาม
“ข้างหน้ามีคนล้อมอยู่มากมายขอรับ ดูเหมือนจะมีรถม้าสองคันต่างไม่ยอมหลีกทางให้กัน” หลี่ฉางเฉิงรายงาน
หลี่ลั่วเหงื่อตก ไฉนจึงมักพบเจอเื่เช่นนี้เล่า “เป็คุณชายใหญ่สกุลฉินกับซื่อจื่อเฉิงเอินโหวอีกแล้วหรือไร?”
“ข้าน้อยจะไปดูสักครู่ขอรับ” ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ฉางเฉิงก็กลับมารายงาน “โหวเหฺย เป็คุณชายใหญ่สกุลฉินกับซื่อจื่อเฉิงเอินโหวขอรับ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่พวกเขาทั้งสอง แต่เป็พวกเขาทั้งสองทะเลาะกับอีกคนซึ่งมาจากต่างแคว้นขอรับ”
อ้อ? ครานี้หลี่ลั่วประหลาดใจอยู่บ้าง ความบาดหมางระหว่างสกุลฉินและเฉิงเอินโหวนั้นมีต้นเหตุมาจากฮองเฮาและฉินกุ้ยเฟย ดังนั้นทุกครั้งที่คุณชายทั้งสองต้องโคจรมาพบกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยอมเสียเปรียบ ราวกับว่าหากต้องเสียเปรียบแม้เพียงน้อยนิด แม้กระทั่งหน้าตาในวังหลวงก็ไม่มีเหลือ หลี่ลั่วเดินออกมาจากรถม้า “ไป ไปดูเสียหน่อย”
“ทางท่านอ๋องเล่าขอรับ?” หลี่ฉางเฉิงรู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่เป็การดีสักเท่าใด
“ส่งคนนำจดหมายไปบอก” หลายวันนี้ยุ่งอยู่กับการเตรียมของขวัญวันพระราชสมภพของฝ่าา เขาไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นนานแล้ว วันนี้เจอเื่สุก ย่อมตอ้งไปเล่นด้วยสักครู่
หลี่ลั่วและหลี่ฉางเฉิงเดินเข้าในกลุ่มฝูงชน มีผู้คนมากมายล้อมวงดูอยู่ จึงได้สอบถามเื่ราว ที่แท้สองลูกผู้ดีมีเงินแห่งเมืองหลวงก็มาพบว่ามีผู้อื่นลงไม้ลงมือกับหญิงงามนางหนึ่ง จึงเข้าไปช่วยเหลือ อีกฝ่ายมีบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วยเช่นกัน จากนั้นทั้งสามฝ่ายจึงได้ลงไม้ลงมือกัน
“ผ่านมาเห็นความไม่เป็ธรรมรึ?” หลี่ลั่วหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “คนสองคนที่ต่างไม่มีใครยอมหลีกทางให้กัน สามารถร่วมมือกันได้ด้วยรึ?”
คำพูดของหลี่ลั่วนั้นผู้ที่รอชมละครอยู่ต่างได้ยิน ถึงแม้ว่าหลี่ลั่วจะเป็เพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง แต่เื่นี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อการวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรสออกชาติของพวกเขา คนเ่าั้จึงพูดว่า “หากเป็คนอื่นเ้าสองคนนั้นคงไม่มีความสนใจจะข้องเกี่ยวด้วยหรอก แต่นั่นน่ะ เป็ถึงสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง คุณหนูเจียงซูเอ๋อร์เชียวนา”
เจียงซูเอ๋อร์หรือ? หลี่ลั่วตกตะลึง เขายังจำได้ดีถึงรายชื่อที่มารดาของหลี่ฉางเฉิงจดบันทึกเอาไว้ กู้จวิ้นเฉินมีพี่สาวจากญาติฝั่งมารดานามว่าเจียงซูเอ๋อร์ “ท่านตาของเจียงซูเอ๋อร์ผู้นี้คือแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว เมืองหลวงไฉนเลยจะมีเจียงซูเอ๋อร์คนที่สองได้เล่า?”
“เป็ผู้ที่ถูกอีกฝ่ายกอดอยู่ในอ้อมแขนนั่นน่ะหรือ?” หลี่ลั่วถามอีก
“ถูกต้อง แม่นางที่งดงามเช่นนี้ กอดสักกี่ครั้งก็สบายใจ”
“ฉางเฉิง ช่วยคน” เจียงซูเอ๋อร์คือพี่สาวของกู้จวิ้นเฉิน จะให้มาถูกชายอื่นโอบกอดอยู่ในอ้อมอกได้อย่างไรกัน? ฉินเยวี่ยเหวินและถังลิ่งรวมไปถึงบ่าวที่ติดตามมานั้นเป็วรยุทธ์เพียงตื้นเขิน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบ่าวผู้ติดตามของชายผู้นั้น เื่นี้หากยังคงดำเนินต่อไป ผู้ที่เสียหน้าที่สุดก็คือเจียงซูเอ๋อร์ และยังมีสกุลอวี๋ จากนั้นก็เป็กู้จวิ้นเฉิน พี่สาวของฉีอ๋องถูกผู้อื่นลบหลู่กลางธารกำนัล การตบหน้าเช่นนี้ไม่เบาเลย
“ขอรับ”
การปรากฏตัวของหลี่ฉางเฉิงเป็จุดสนใจของคนทั้งสามฝ่าย
“นั่นเป็ใครกันน่ะ?” ฉินเยวี่ยเหวินหรี่ตา เ้าคนผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า ผู้ที่ชมชอบน้องเจียงมีมากมายนัก” ถังลิ่งตอบ
“เ้าคนโง่เง่า” ฉินเยวี่ยเหวินด่าไปหนึ่งประโยค ในใจตกตะลึงยิ่งนัก อีกฝ่ายออกมาจากทางไหนเขากลับไม่ทันได้สังเกต
และในเวลาเดียวกันก็มีคนจำหลี่ฉางเฉิงได้ “ท่านพี่ฉางเฉิง รีบมาช่วยข้าด้วยเ้าค่ะ” เจียงซูเอ๋อร์ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม นางรู้จักหลี่ฉางเฉิง เมื่อยามที่ไปบ้านของท่านตานางเคยพบเขากับผู้ชายสกุลอวี๋ฝึกยุทธ์อยู่ด้วยกัน ยามนี้พบเขาปรากฏตัว ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ และชายหนุ่มตรงหน้านางก็คือวีรบุรุษในใจของนาง “ท่านพี่ฉางเฉิง”
แม้หลี่ฉางเฉิงจะคาดไม่ถึงเล็กน้อยที่คุณหนูเจียงจำตนได้ แต่การต่อสู้ของเขาไม่ได้ช้าลงเลย และคนข้างกายของชายผู้นั้นมีเพียงสี่คน ถูกคนของฉินเยวี่ยเหวินและถังลิ่งควบคุมตัวเอาไว้ ดังนั้นหลี่ฉางเฉิงจึงเข้าไปประมือกับชายผู้นั้นอย่างชายชาติทหาร แต่มือข้างหนึ่งของเขากอดเจียงซูเอ๋อร์เอาไว้ อีกมือหนึ่งต่อสู้กับหลี่ฉางเฉิง เขาจึงไม่ได้เป็ฝ่ายได้เปรียบแต่อย่างใด
การโจมตีของหลี่ฉางเฉิงนั้นไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป โดยทั่วไปของผู้ฝึกยุทธ์นั้นฝึกเพื่อปกป้องตนเองหรือเพื่อสุขภาพ แม้หลี่ฉางเฉิงจะอายุยังน้อย แต่ประสบการณ์ที่ต่อสู้กับศัตรูนั้นมีมาก วรยุทธ์ของเขานั้นหนักแน่นมั่นคงยิ่ง
เจียงซูเอ๋อร์ดึงปิ่นปักผมของตนออกมาแล้วแทงลงไปบนแขนของชายหนุ่มผู้นั้น ชายหนุ่มผู้นั้นเจ็บแขนจึงได้ปล่อยตัวนาง และในเวลาเดียวกันเจียงซูเอ๋อร์ก็โผเข้ามาในอ้อมกอดของหลี่ฉางเฉิง “ท่านพี่ฉางเฉิง” ร่างของนางสั่นสะท้าน หวาดกลัวยิ่งนัก
“อย่ากลัวไปเลย” หลี่ฉางเฉิงปกป้องนางพลางลูบไหล่ของนางเบาๆ
แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “พวกเ้าช่างขวัญกล้านัก พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร?” เขาคำรามดังก้อง ผู้ติดตามของเขารีบกลับมายืนข้างกาย
เสียงคำรามนั้นดังก้องทำให้ทุกคนต่างก็ใ ส่วนร่างของเจียงซูเอ๋อร์นั้นพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“เ้าเป็ใครไม่สำคัญ” ทันใดนั้นก็มีเสียงใสกังวานของเด็กน้อยลอยออกมาจากกลุ่มฝูงชน
ทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงเด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่ง ์ เด็กน้อยผู้นี้มาทำอันใดที่นี่? หากไม่ระวังแล้วพลาดพลั้งทำให้าเ็จนถึงชีวิตจะทำเช่นใด
ชายหนุ่มผู้นั้นตวัดสายตามองหลี่ลั่วครั้งหนึ่ง “ไสหัวไปซะ เปิ่นหวางไม่มีอารมณ์จะคุยกับเด็ก”
“เปิ่นโหวเองก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับสายลับจากแคว้นอื่นเช่นกัน” หลี่ลั่วกล่าว
“เ้าพูดอันใดกัน?” ชายหนุ่มผู้นั้นก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว
เวลานี้เอง หลี่ฉางเฉิงมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่ลั่วทันที และองครักษ์อีกสี่นายของหลี่ลั่วก็มาถึงเบื้องหน้าหลี่ลั่วในเวลาเดียวกัน ขวางทางของชายหนุ่มผู้นั้น
ชายผู้นั้นแค่นเสียงฮึ “ส่งตัวแม่นางผู้นี้ออกมา ไม่เช่นนั้นจะสังหารพวกเ้าซะ”
“ช่างพูดจาสามหาวนัก” หลี่ลั่วพูดอย่างดูิ่ “ท่านใต้เท้าจวนว่าการ ท่านดูละครพอแล้ว”
ท่านใต้เท้าจวนว่าการมาแล้วหรือ?
ใต้เท้าจวนว่าการขื่นขมยิ่ง ทุกครั้งที่ได้พบกับหลี่เสี่ยวโหวเหฺย มักจะเคราะห์ร้ายอยู่เสมอ “ผู้น้อยคารวะเสี่ยวโหวเหฺย”
เสี่ยวโหวเหฺย ผู้ใดกัน? ทุกคนไม่รู้จัก
“การกระทำเช่นนักโทษในแว่นแคว้นของเรา ล่วงเกินธิดาขุนนางใต้แผ่นดินของโอรส์ จะให้หน้าตาของแคว้นข้าและขุนนางของแคว้นข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” หลี่ลั่วถามขึ้นเสียงเย็น “ท่านใต้เท้าจวนว่าการรู้หรือไม่ว่าควรทำเช่นไร?”
“โบยสามสิบไม้ขอรับ” ใต้เท้าจวนว่าการตอบ
“เปิ่นโหวสงสัยว่าเขาจะเป็สายลับจากแคว้นอื่น โบยสามสิบไม้พอเสียที่ไหนเล่า พาตัวไปสอบสวนให้ละเอียด” หลี่ลั่วกล่าว
“นี่...” ใต้เท้าจวนว่าการไม่กล้า
“มีเื่อันใดเปิ่นโหวรับผิดชอบเอง อีกสักครู่เปิ่นโหวจะเข้าวังกราบทูลฝ่าา เื่ในวันนี้ท่านต้องปกป้องรักษาหน้าตาของแคว้นเรา มีเพียงถูกต้อง ไม่มีผิด” น้ำเสียงที่ยืนกรานหนักแน่นยังคงเป็น้ำเสียงของเด็กน้อย แต่ที่ใต้เท้าจวนว่าการเห็นบนสีหน้าของหลี่ลั่วนั้นคือใบหน้าของเทพเซียน
เสียงปรบมือ ‘แปะๆๆ’ จากคนรอบข้างดังขึ้น
“คนเช่นนี้ต้องลงโทษ”
“ใช่แล้ว เสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้พูดถูก แคว้นของพวกเราเป็แคว้นใหญ่ จะมาให้แคว้นอื่นดูิ่ได้เช่นใดกัน”
“ใต้เท้าจวนว่าการ จับตัวเขาไปซะ”
“พวกเ้าบังอาจนัก พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร ข้าคือองค์ชายแห่งแคว้นฉวี่หลง แคว้นฉวี่หลงของพวกเรา...”
“อุดปากเขาเอาไว้ คนผู้นี้แอบอ้างฐานะขององค์ชายแคว้นฉวี่หลงมาทำสิ่งเลวร้ายในแคว้นของเรา มีแผนการมาทำให้แคว้นฉวี่หลงมัวหมอง กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ท่านใต้เท้าได้ยินแล้วหรือไม่” หลี่ลั่วขัดคำพูดของเขา
“ขอรับ เ้าหน้าที่ เข้าไปจับกุม” ใต้เท้าจวนว่าการรีบสั่งการ
ศาลจวนว่าการมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวง วรยุทธ์ของเ้าหน้าที่ย่อมไม่อ่อนด้อย แต่คนอีกสี่คนที่อีกฝ่ายนำมาด้วยนั้นฝีมือไม่ธรรมดาสามัญ ชั่วพริบตาการต่อสู้ยากจะแยกได้ว่าใครแพ้ใครชนะ
“หลี่ฉางเฉิง ไป” การประมือในสถานการณ์เช่นนี้ แคว้นเราแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหน้าตาของแคว้นเราจะเอาไปไว้ที่ใดเล่า
“ขอรับ” หลี่ฉางเฉิงปล่อยเจียงซูเอ๋อร์ แต่ด้วยความที่เจียงซูเอ๋อร์หวาดกลัวเกินไป จึงกอดเขาไว้อย่างแ่า ไม่ให้โอกาสเขาได้ปลีกตัวออกมา
ชายหนุ่มผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด วรยุทธ์ของหลี่ฉางเฉิงนั้นอยู่ในขั้นดีเลิศอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถูกเจียงซูเอ๋อร์รั้งเอาไว้ และเด็กน้อยผู้นั้น...ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเย็น จากปฏิกิริยาของท่านใต้เท้าจวนว่าการนั่น ฐานะของเด็กน้อยผู้นี้สูงส่งยิ่งนัก แต่ต่อให้สูงส่งกว่านี้แล้วจะอย่างไรเล่า? ตนนั้นเป็ท่านอ๋อง แคว้นจีน้าเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉวี่หลงของพวกเขา และการมาครั้งนี้ก็มาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ถึงครอบครัวของเด็กน้อยจะสูงส่งยิ่งกว่านี้ จะเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร?
องครักษ์สี่นายข้างกายเด็กน้อยนั้นมีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่วรยุทธ์ไม่สูงนัก สำคัญที่สุดคือผู้ที่ถูกรั้งตัวเอาไว้ การจับกุมเด็กน้อยนั้นเป็เื่ง่ายดาย พริบตาเดียวชายหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนไหว เป้าหมายคือหลี่ลั่ว
แต่เขาเพียงเพิ่งจะมาถึงเบื้องหน้าหลี่ลั่ว พลันปรากฏองครักษ์สองนายขึ้นมาขวางหน้าเขาเอาไว้อย่างแปลกประหลาด อีกทั้งเขายังสามารถรับรู้ได้ถึงความเยียบเย็นและลึกลับจากร่างของคนทั้งสอง
องครักษ์เงา
“เชิญเสี่ยวโหวเหฺยถอยไปที่ที่ปลอดภัยก่อนเถิดขอรับ ที่นี่ยกให้ผู้น้อยจัดการ” อั้นจินกล่าว
“พวกเ้า...เขาให้พวกเ้ามาหรือไร?” หลี่ลั่วตะลึง เขารู้จักอั้นจินและอั้นมู่ ครั้งนั้นกู้จวิ้นเฉินและจวิ้นอีพร้อมกับองครักษ์ทั้งห้าไปรับเขา สองคนนี้คือสองในเหล่าองครักษ์ทั้งห้า เพียงแต่เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงองครักษ์ทั้งห้าก็หายตัวไป คาดไม่ถึงว่าสองคนนี้กลับอยู่ข้างกายตน