บทที่ 57 สหายลู่จิ่งซานที่เผด็จการ
ระหว่างทางกลับบ้าน ลู่จิ่งซานดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนสวี่จือจือในห้วงภวังค์ยังคงจดจ่ออยู่กับภาพตอนกินอาหารเมื่อกี้ ที่เขาพับผ้าเช็ดหน้าผืนที่เธอใช้แล้วอย่างประณีต
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ
ทันใดนั้นลู่จิ่งซานก็ใช้เท้าข้างหนึ่งยันพื้นแล้วหยุดรถ สวี่จือจือเสียหลักกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของเขา
เธอนวดจมูกแล้วถาม “เป็อะไรไปเหรอ?”
“รอผมแป๊บนึงนะ” ลู่จิ่งซานบอก
สวี่จือจือกะพริบตาปริบๆ ถ้าเธอไม่ได้ตาฝาด ใบหูของเขาดูเหมือนจะแดงขึ้นมา
จากนั้นก็เห็นลู่จิ่งซานก้าวขายาวๆ ไปยังทุ่งนา เด็ดดอกไม้ป่าสีชมพูอ่อนช่อหนึ่งจากพงหญ้า
เป็ดอกไม้เล็กๆ ที่สวยงามมาก
สวี่จือจือที่นั่งอยู่ด้านหลังมองไม่เห็น แต่ลู่จิ่งซานที่ขี่รถอยู่เห็น ไม่เพียงแต่เห็นเท่านั้น เขายังเด็ดมันมาให้เธอด้วย
มองดูชายหนุ่มเดินมาจากทุ่งนา ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน สวี่จือจือก็รู้สึกประหม่ามากขึ้น ราวกับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง
หรือว่าเขาจะเอาดอกไม้มาให้เธอกันนะ?
ในวินาทีต่อมา แขนเรียวยาวของชายหนุ่มก็ยื่นมา ดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่สวยงามถูกส่งมาตรงหน้าเธอ “ให้คุณ”
“อ้อ” สวี่จือจือหน้าแดงก่ำ ยิ่งเขาเข้ามาใกล้ หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นแรงขึ้น
“สวี่จือจือ” ชายหนุ่มเรียกเธอจากบนรถ “ขึ้นรถกลับกันได้แล้ว”
สวี่จือจือ “...”
เธอคิดมากไปเองจริงๆ แต่ในใจก็ยังคงมีความสุขอยู่ดี เพราะนี่เป็ครั้งแรกในชีวิตของเธอทั้งสองชาติที่ได้รับดอกไม้ช่อเล็กๆ
ตลอดทางทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ลู่จิ่งซานััได้ว่าเด็กสาวที่นั่งอยู่หลังรถอารมณ์ดีมาก ก็อดขำไม่ได้
แค่ดอกไม้ป่าเล็กๆ น้อยๆ เธอก็ดีใจได้นานขนาดนี้ ภรรยาคนนี้ช่างเอาใจง่ายเสียจริง
“สวี่จือจือ” อารมณ์ของลู่จิ่งซานดูเหมือนจะดีขึ้นตามไปด้วย “เสียงดังกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
สวี่จือจือเพิ่งสังเกตว่าตัวเองกำลังฮัมเพลงอยู่ แต่ยังดีที่เป็เพลงเด็ก ในยุคนี้ก็มีเหมือนกัน เธอจึงฮัมเพลงออกมา
เสียงของเธอนุ่มนวลน่าฟังมาก ลู่จิ่งซานรู้สึกว่ามันเป็เพลงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เขาเคยฟังมาในชีวิตนี้ อดไม่ได้ที่จะฮัมตามไปด้วย
“สวี่จือจือ” เขาเรียกเธอจากด้านหน้า
“อะไรเหรอ?” เธอตอบกลับมาจากด้านหลัง
“ไม่มีอะไร” เขาหัวเราะอย่างไร้เสียง “แค่... เสียงของคุณเพราะมาก เหมือนนักร้องเลย”
นักร้อง? ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเธอมาก่อน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหอมหวานในใจ “ขอบคุณนะ”
ทันทีที่พูดจบ รถก็กระเด้งขึ้นเล็กน้อย เธอรีบคว้าชายเสื้อตรงเอวของเขา
“ขอโทษที” ลู่จิ่งซานบอก “เมื่อกี้ไม่ได้มองทาง” เผลอขี่รถเข้าไปในหลุมเล็กๆ รถเกือบจะล้ม
“ไม่เป็ไร” สวี่จือจือพูดเสียงเบาจากด้านหลัง
รถหยุดลงตามเสียงของเธอ สวี่จือจือยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ขาเรียวยาวของลู่จิ่งซานก็ก้าวลงจากรถ มือข้างหนึ่งจับรถไว้ เธอจับเบาะรถไว้ด้วยความประหม่า
“คุณเป็อะไรไปเหรอ?”
“ผมมีเื่จะคุยด้วย”
ระหว่างทางกลับมา เขาเอาแต่คิดถึงเื่ที่หญิงชราพูดกับเขาเมื่อเช้านี้ ท่านบอกว่า ‘จือจือเป็เด็กดีนะ ถ้าแกพลาดเธอไปจะต้องเสียใจแน่ๆ’
หญิงชรายังบอกอีกว่า ‘เ้าหลานโง่ ทำตามหัวใจตัวเองสิ’
ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าหัวใจตัวเอง้าอะไร แต่เมื่อกี้นี้ตอนรับโทรศัพท์แล้วได้ยินว่ากองทัพแจ้งให้เขากลับไปเร็วหน่อย เป็ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ลู่จิ่งซานรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ตอนได้ยินเสียงของสวี่จือจือร้องเพลง เมื่อครู่ที่เขาส่งดอกไม้ให้เธอแล้วหน้าเธอแดง
ลู่จิ่งซานถามตัวเอง ถ้าเธอร้องเพลงให้คนอื่นฟังบ้าง เขาจะเป็ยังไง?
เสียงหนึ่งในใจบอกเขาว่า เขาจะต้องคลั่ง
ในเวลานี้เองที่ลู่จิ่งซานรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็คนเห็นแก่ตัว
กระทั่งตอนที่เห็นเธอสวมชุดกระโปรงตัวสวยปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน เขาก็มีความคิดวูบหนึ่ง อยากจะสั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า
ใช่แล้ว สั่ง เขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นเธอในสภาพนั้น
ทำไมถึงไม่อยาก? ก่อนหน้านี้ลู่จิ่งซานไม่รู้ แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว
“สวี่จือจือ” ลู่จิ่งซานพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่า ในใจคุณไม่มีใคร”
สวี่จือจือพยักหน้าด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหยุดรถแล้วถามเื่นี้ขึ้นมา
“วันที่ผ่านริมแม่น้ำ ผมก็อยากจะพูดคำนี้เหมือนกัน” ลู่จิ่งซานวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของเธอ มองเธออย่างจริงจัง “ผมเองก็อยากจะพูด”
ฝ่ามือใหญ่ของเขาอบอุ่นมาก ความสนใจทั้งหมดของสวี่จือจือรวมอยู่ที่มือที่วางอยู่บนไหล่ของเธอ อีกทั้งตอนนี้ระยะห่างระหว่างเขากับเธอใกล้กันมาก กลิ่นอายฮอร์โมนที่พุ่งเข้ามาทำให้เธอใจสั่นเล็กน้อย
สวี่จือจือไม่รู้ว่าความใจสั่นนี้เกิดจากอะไร แต่ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้นี้ทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวาย
“คุณปล่อยฉันได้ไหม?” เธอกะพริบดวงตาผลซิ่งมองเขาอย่างอ่อนแอ
“ไม่ได้” ลู่จิ่งซานพูดอย่างจริงจัง
สวี่จือจือ “...” เผด็จการเหลือเกิน!
“สวี่จือจือ” เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ในใจของผมไม่มีใคร”
สวี่จือจือตกตะลึง
ไม่มีใคร? เป็อย่างที่เธอเข้าใจใช่ไหม?
“ถ้าอย่างนั้น คุณบอกว่าในใจของคุณไม่มีใคร” เขาพูดถึงตรงนี้ก็กำไหล่เธอแน่นขึ้นด้วยความประหม่า “แล้วพวกเรา...มาลองคบกันดูได้ไหม?”
แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงบอกว่าจะหย่ากับเธอล่ะ?
“ได้...ได้ไหม?” ลู่จิ่งซานถาม แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้เขาพูดด้วยความระมัดระวัง
“แล้วคุณจะปล่อยไหล่ฉันได้ไหม?” เขาบีบจนเธอเจ็บไปหมดแล้ว
“ขอโทษที” ลู่จิ่งซานหน้าแดง
สวี่จือจือส่ายหน้า
“เมื่อกี้เพิ่งได้รับแจ้งมา” เขาถอนหายใจ “อย่างช้าที่สุด บ่ายพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปแล้ว”
“จือจือ” เขาเรียก “เบี้ยเลี้ยงของผมเดือนละหนึ่งร้อยสามสิบห้าหยวน ผมใช้สามสิบหยวนให้ครอบครัวของเพื่อนร่วมรบที่เสียสละไปแล้วสองคน ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามเงินเดือน”
เพียงแต่เงินสามสิบหยวนนี้เขาไม่เคยบอกคนในครอบครัว
“ตอนแยกบ้านให้คุณย่ากับคุณพ่อส่วนหนึ่ง ดังนั้นที่เหลือก็ประมาณห้าสิบกว่าหยวน ผมไม่ค่อยใช้เงินในกองทัพ ถ้าคุณตกลง หลังจากนี้เงินพวกนี้ผมจะให้คุณทั้งหมด เพียงแต่ว่าเสี่ยวอวี่ยังไม่ได้แต่งงาน ผมก็ต้องดูแลเหล่อนด้วย”
“ผมไม่มีงานอดิเรกไม่ดี ไม่สูบบุหรี่ นอกจากไปสังสรรค์ก็จะไม่ดื่มเหล้า”
“อยู่กับผม ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้คุณมีความสุข หลังจากนี้ถ้าคุณอยากย้ายตามผมไป ผมกลับไปแล้วจะยื่นเื่”
สวี่จือจือเบิกตากว้างมองเขาด้วยความตกตะลึงกับคำพูดของเขา
นี่คงเป็คำพูดที่ยาวที่สุดที่ลู่จิ่งซานเคยพูดมาในชีวิตนี้แล้ว
“แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากคบกับผมไหม”
“ดังนั้น” เขามองเธอตาไม่กะพริบ “คุณเต็มใจคบกับผมดูไหม? คุณไม่ต้องรีบตอบก็ได้” เขาบอก
สวี่จือจือเพิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็ได้ยินเขาพูดต่อว่า “แต่ก่อนที่ผมจะไป ช่วยบอกคำตอบที่แน่นอนให้ผมทีได้ไหม?”
ตอนที่ชายหนุ่มพูดประโยคนี้ ร่างกายของเขาเกร็งไปหมด มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังประหม่ามากแค่ไหน จากนั้นก็เห็นเด็กสาวตรงหน้าเม้มปาก เริ่มเบิกตากว้าง แล้วดวงตาผลซิ่งที่สวยงามก็หยีโค้งมองเขา
เธอบอก “ลู่จิ่งซาน ที่คุณพูดมาทั้งหมดเป็เื่จริงใช่ไหม?”
“ผมรับประกันด้วยอาชีพของผม”
“ถ้าอย่างนั้น” ริมฝีปากเล็กๆ สีเชอร์รีของเธอแย้มยิ้มหวาน พูดคำพยากรณ์ที่ไพเราะที่สุดที่ลู่จิ่งซานเคยได้ยินมาในชีวิตนี้ “ฉันคิดว่าฉันเต็มใจ”
“ดังนั้นสหายลู่จิ่งซาน”
เด็กสาวยื่นมือเรียวเล็กขาวนวลของเธอออกไป “พวกเรามาลองคบกันเถอะ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้