สิ่งที่เซียวจ่างเฟิง้าคืออำนาจยิ่งใหญ่ในกำมือ
ดังนั้นเขาจึงทะเลาะกับองค์หญิงใหญ่ไม่ได้
และสิ่งเดียวที่ทำให้องค์หญิงใหญ่ทิ้งเขาไปไม่ได้ก็คืออำนาจ
ให้นางได้ลิ้มรสอำนาจ ให้นางรู้ถึงความสุขในการทำตามอำเภอใจ ความเคยชินเหล่านี้เพียงพอที่จะกัดกร่อนิญญาบริสุทธิ์ของนาง ทำให้นางกลายเป็คนดุร้าย
องค์หญิงใหญ่ได้ลิ้มรสชาติแห่งอำนาจ แน่นอนว่านางย่อมทำใจปล่อยวางไม่ลง ไหวพริบของนางไม่สามารถควบคุมการหลอกลวงกันไปมาในราชสำนักได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพึ่งพาเขาเท่านั้น
แผนการนี้ดำเนินมาสิบกว่าปีแล้ว เซียวจ่างเฟิงเปลี่ยนจากบัณฑิตไร้ชื่อที่ถูกคนอื่นรังแกกลายเป็เสาหลักของตระกูลเซียว เมื่อเอ่ยถึงฉางหนิงแห่งตระกูลเซียว ไม่ใช่สายตาดูถูกอีกต่อไป ทว่าเป็ความเคารพนบนอบ
เพียงแต่เขาได้สูญเสียผู้ที่เป็รักแรกไปเช่นกัน
ทว่าเมื่อเทียบกับอำนาจแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่นับเป็อะไรเลย
องค์หญิงใหญ่ชอบบุรุษและชอบความสนุกบนเตียง เขาทำไม่ได้ ทว่าคนที่เขามอบให้ทำได้
ขณะที่โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน เซียวจ่างเฟิงระงับความรู้สึกเหยียดหยามไว้ที่ก้นบึ้งหัวใจแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อร์ ท่านน่าจะรู้ความลำบากใจของข้า ท่านในตอนนี้ไม่มีความสุขหรือ?”
เหมือนองค์หญิงใหญ่ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ นางหัวเราะเบาๆ “ข้าเต็มใจเดินไปด้วยกันกับเ้าอย่างถูกทำนองคลองธรรมมากกว่าหลบๆ ซ่อนๆ เ้าต้องปลอมตัวก่อนถึงจะกล้าเข้ามาในจวนองค์หญิงของข้า”
คำพูดนี้ไม่ได้พูดจากใจจริง แน่นอนว่าเซียวจ่างเฟิงไม่เชื่อ ทว่าเขาก็ยังพูดเอาใจนาง “ท่านรู้ความคิดในใจข้า หากความรักทั้งสองอยู่ได้ยืนยาว เหตุใดต้องอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน”
องค์หญิงใหญ่หัวเราะเบาๆ ครู่หนึ่งแล้วผละออกจากอ้อมแขนเขา นางใช้สองมือโอบคอเขาเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสานางหนึ่ง “เ้าว่ามา ข้าควรทำอย่างไร? แม่มดเฒ่ารังแกข้า ข้าต้องทนเช่นนี้หรือ? แม้แต่คนของข้าในกรมการคลังก็กล้าย้ายออก”
เซียวจ่างเฟิงลูบเอวนางด้วยแววตาแจ่มชัด “นางทำเช่นนี้เพราะ้าลิดรอนอำนาจในมือท่านมาให้บุตรชายนาง”
“เื่นี้ข้าดูออก ก่อนหน้านี้นางขอร้องข้า นางบอกว่าวันหนึ่งได้ดีมีเกียรติสูงศักดืจะไม่ลืมกันและจะทำให้ข้าได้รับอำนาจ ตอนนี้แตกหักไม่รู้จักกันแล้ว”
เซียวจ่างเฟิงรู้ว่านางชี้นำและบ่นที่ตอนแรกตนเองตัดสินใจช่วยซ่งอี้เฉินต่อกรกับซ่งอี้หาน เขามองสตรีผู้นี้ด้วยแววตาโกรธเคืองในใจ ทว่าที่พูดออกมากลับเป็คำพูดโน้มน้าวแสนไพเราะ “เดิมทีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจก็เป็เช่นนี้ หากตอนแรกท่านไม่ได้ช่วยซ่งอี้เฉินขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด ท่านก็คงเป็แค่องค์หญิงใหญ่แสนธรรมดาคนหนึ่ง นิสัยใจคอคับแคบอย่างซ่งอี้หานไม่มีทางปฏิบัติต่อท่านอย่างดีแน่นอน ชีวิตท่านจะยิ่งแย่ลงไปอีก”
องค์หญิงใหญ่รู้คำตอบนี้อยู่ในใจ มิฉะนั้นนางคงไม่ช่วยซ่งอี้เฉินั้แ่แรก เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่เต็มใจรับสิ่งที่นางได้รับ และนางก็ไม่เคยวางแผนจะคายมันออกไป
เมื่อนึกถึงไทเฮาที่ยึดสำนักอาลักษณ์กับกรมโยธาไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังจ้องอำนาจของกรมการคลังตาเป็มัน ในใจนางโกรธเคืองเป็อย่างยิ่ง “คนไม่มีหัวนอนปลายเท้ากินไม่เคยเลือก กินตะกละตะกลาม น่าเหลือทนจริงๆ ข้าไม่อยากเป็วิญญูชนแล้ว ก่อนหน้าที่ข้าจะสูญเสียเมืองไป ข้าก็ทนอดกลั้นไม่ไหวจริงๆ เ้าช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อยได้หรือไม่? หากนางเป็เช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะไม่เหลืออำนาจอันใดแล้ว!”
เซียวจ่างเฟิงกลับไม่รีบร้อน เขาเพียงแค่ถามนางกลับว่า “องค์หญิงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับฮ่องเต้เป็อย่างไร?”
องค์หญิงใหญ่นึกถึงน้องชายหุ่นเชิดของตนเองด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ฮ่องเต้หรือ? ก็แค่เศษสวะ อายุยี่สิบเจ็ดแล้วยังฟังไทเฮาทุกอย่าง ไม่มีอำนาจคัดเลือกนางสนมด้วยซ้ำ เสนอตำแหน่งนางสนมยังต้องผ่านความเห็นจากไทเฮา”
เซียวจ่างเฟิงกลับส่ายศีรษะ องค์หญิงใหญ่ตรัสด้วยความแปลกใจ “หรือว่าข้าพูดผิด? แม้ก่อนหน้าข้าจะรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้เป็เช่นนั้น แต่ทุกอย่างที่เขาทำในเวลาต่อมาทำให้ข้ารู้สึกว่าความสงสัยของตนเองช่างน่าขัน”
“บางคนเกิดมาโง่งม บางคนก็ทำตัวโง่งม” เซียวจ่างเฟิงกล่าว
“เ้ามีหลักฐานอันใด?” องค์หญิงใหญ่ถามอย่างไม่เห็นด้วย
“ทุกเื่ใช่ว่าจะมีหลักฐาน สรุปแล้วท่านจดจำไว้ก็พอ”
องค์หญิงใหญ่ค่อนข้างเบื่อหน่ายทุกครั้งที่อีกคนใช้น้ำเสียงเช่นนี้สั่งสอนตนเอง นางผละสองมือออกจากลำคอเขา หมุนกายทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน “เื่พวกนี้เกี่ยวอันใดกับไทเฮา?”
เซียวจ่างเฟิงไม่ได้ถือสาอุปนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ขององค์หญิงใหญ่ เขาชินกับมันนานแล้ว เมื่อได้ยินนางถามเช่นนี้เขาจึงตอบว่า “ไทเฮา้ารวบรวมอำนาจทั้งหมดแล้วส่งต่อให้บุตรชาย ทว่าซ่งอี้เฉินอาจไม่ได้คิดเช่นนี้ ต่อให้คิด เขาก็คงไม่รับรู้ ตอนนี้เขาอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ในเมื่อสามารถเอาชนะซ่งอี้หานและขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็จำเป็ต้องมีความสามารถอย่างอื่น เขาไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว”
“เ้าหมายถึงให้ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างมารดากับบุตรหรือ?” องค์หญิงใหญ่ฟังเข้าใจแล้วคาดเดาทันที
“องค์หญิงใหญ่สามารถส่งฎีกาไปได้ในเวลาจำเป็ ฝ่าาชันษายี่สิบเจ็ดปีแล้ว ถึงเวลาที่จะตัดสินราชกิจได้แล้ว ลองหยั่งเชิงปฏิกิริยาของพวกเขาสองแม่ลูกดูสักหน่อย”
องค์หญิงใหญ่พูดอย่างไม่พอใจ “แค่หยั่งเชิง ไม่ติดตามผลหรือ?”
เซียวจ่างเฟิงพยักหน้า “หยั่งเชิงสักครั้ง ไม่ต้องเคลื่อนไหวอย่างอื่น หากพวกเขามีช่องว่างระหว่างกันย่อมทะเลาะกัน เรารอซ้ำเติมยามเปลี้ยก็พอแล้ว”
“ไทเฮาไม่คืนอำนาจง่ายดายเพียงนั้นแน่! ในราชสำนักก็ไม่มีคนสนับสนุนฝ่าา เราจำเป็ต้องยื่นมือด้วยหรือ?”
เซียวจ่างเฟิงส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ไม่ต้อง! ท่านกับข้าต่างก็ไม่รู้ว่าในราชสำนักมีคนของฮ่องเต้หรือไม่ ต้องลองดูถึงจะรู้ หากไม่มี เช่นนั้นฮ่องเต้ก็คงมองท่าทีของไทเฮาออก แน่นอนว่าจะมีความไม่พอใจอื่นๆ เกิดขึ้นอีก”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าแล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “หากเป็เช่นนั้นจริงๆ ก็จะมีเื่สนุกให้ดูแน่นอน”
เซียวจ่างเฟิงกลับไม่ค่อยวางใจนัก เขาเอ่ยเตือนอีกครั้ง “จำไว้ว่าไม่ต้องเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีก”
“ไทเฮา้าทำความสะอาดกรมการคลังและขับไล่คนของเราทั้งหมด ข้าก็ไม่ต้องเคลื่อนไหวนั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่ถามย้ำอีกครั้ง
เซียวจ่างเฟิงพูดอย่างหนักแน่น “โรคระบาดที่เหอเป่ยเป็ปัญหาใหญ่ ตอนนี้ไฟลามไปถึงศีรษะแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลนัก ตอนนี้ไทเฮายังคงทำอันใดไม่ได้”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า นางพลิกกายยื่นมือไปคล้องคอเขาอีกครั้งด้วยสายตาหยาดเยิ้มแล้วหายใจเบาๆ “เซียวหลางคิดรอบคอบยิ่งนัก เ้าคิดเผื่อข้าเช่นนี้ จะให้ข้าตอบแทนเช่นไรดี?”
นางพูดพลางยื่นหน้าเข้าประชิดเขา
เซียวจ่างเฟิงถูกนางคล้องคอเช่นนี้ร่างกายครึ่งหนึ่งกลิ้งลงบนเตียง นางยกมือขึ้นเล็กน้อย ชุดผ้าแพรฤดูใบไม้ผลิตัวนอกร่นลงไปกว่าครึ่งเผยให้เห็นเนื้อขาวเนียน ตู้โตว (*เสื้อในในสมัยโบราณ)สีแดงสดใสบนหน้าอกปกปิดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
เขาจิตใจเตลิดเปิดเปิงเล็กน้อยและคิดจะผลักนางออกไป ทว่าร่างกายกลับเข้าไปใกล้อย่างซื่อตรง
ตอนนี้องค์หญิงใหญ่อายุสามสิบแล้ว ทว่ากลับบำรุงจนเหมือนสตรีวัยยี่สิบต้นๆ นางมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งกว่าภรรยาเอกและอนุในจวนของเขา อีกทั้งฝึกฝีมือลงสนามจริงมานับครั้งไม่ถ้วน มีวิธียั่วยวนเป็ของตนเอง ต่อให้เซียวจ่างเฟิง้าควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างไรก็มิอาจต้านทานเสน่ห์เย้ายวนเขานางได้ ในไม่ช้าเขาก็ยอมจำนนและกลายเป็เชลยศึกของนาง
หญิงสาวป้ายแดงของเรือนโกวหลานประหนึ่งริมฝีปากแดงชาดหมื่นคนลิ้มรสมิใช่หรือ? เพียงแค่เื่ราวก็เป็เช่นนี้เท่านั้นเอง
ในความพร่าเลือนมัวเมา ความคิดแวบผ่านในจิตใจเซียวจ่างเฟิง เขาจึงเพิกเฉยและปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับบทระเริงรักอันเร่าร้อน