ท่านหมอเคราแพะเดินออกจากเรือนแห่งนี้ไปพร้อมกล่องยาบนหลัง
ทว่านายท่านใหญ่หลีโฉ่วนั้นไม่ได้เดินตามไป เขายังคงยืนขมวดคิ้วมองเด็กทั้งสามคนในห้อง
เขานั้นไม่ได้ชอบเด็กนัก เพียงแค่อยากจะมีเืเนื้อเชื้อไขของตัวเองไว้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาสักคน
ทว่าวันนี้เขากลับต้องมาพูดประโยคนี้อีกครั้งหนึ่ง “ถ้าชอบนางนักก็อุ้มกลับมาเลี้ยงเสียก็สิ้นเื่ หากพี่ชายนางไม่ยอม ก็ฆ่าทิ้งเสีย”
หญิงงามตรงหน้านายท่านสามที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนเป็คนอ่อนโยน ไม่ว่าเขากล่าวอะไรก็ว่าตาม ทันใดก็เปลี่ยนแปลงไปราวกับพายุเข้า
แจกันที่วางอยู่ตรงหน้าก็ถูกนางปัดทิ้งลงพื้น
“ข้าอยู่ได้อีกไม่นาน นางก็อยู่ได้อีกไม่นาน เอามารวมกันก็เหมาะสมกันดีใช่หรือไม่”
หลัวอู๋เลี่ยงเงยหน้าขึ้นมองหลีโฉ่ว
ดวงตาคู่งามนั้นนองไปด้วยน้ำตา
หยาดน้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นจากดวงตาแล้วพราวเกาะบนแพขนตาคู่งาม จากนั้นจึงค่อยๆ หยาดลงเป็สาย
แม้กระทั่งร้องไห้ นางก็ร้องได้น่ามองนัก
หลีโฉ่วจึงได้แต่ยื่นมือออกมาปาดหยดน้ำตาให้นาง
“ตามใจเ้า”
เมื่อกล่าวไปประโยคหนึ่ง ก็เหลือบมองเ้าเด็กหนุ่มที่ทำท่าทางราวกับกำลังป้องกันภัยรอบด้านนั้น ในอดีตหากเขาเห็นสายตาเช่นนี้ เขาก็คงจะลงมือฆ่าอย่างไม่ลังเล ทว่าวันนี้เขากลับต้องฝืนไว้
จากนั้นจึงหมุนกายจากไปทันที
เมื่อหลีโฉ่วจากไปแล้ว
เสี่ยวอู่เหงื่อโทรมไปทั้งกาย ตอนที่ชายคนเมื่อครู่มองมาที่เขา เขาก็รู้สึกไม่อาจควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นเทาได้
บัดนี้เมื่อหันไปมองแม่นางหลัว ก็รู้สึกว่านางช่างเก่งกาจนักที่กล้าะเิอารมณ์ใส่ชายคนเมื่อครู่
อาสวินผ่อนลมหายใจยาวทีหนึ่ง เขานั้นรู้สึกกลัวยิ่งกว่าเสี่ยวอู่ ด้วยเพราะเขานั้นฉลาดกว่า
ท่านหมอตรวจร่างกายเขาแล้วก็บอกว่าเขานั้นเพียงผอมเกินไป ดูแลตัวเองดีๆ ก็ไม่มีปัญหาใดแล้ว
ทว่าทารกน้อยที่แสนร่าเริงตรงหน้าเขานั้นกลับกำลังจะลาโลกนี้ไปั้แ่ยังเล็กนัก
คนฉลาดเช่นอาสวิน แท้จริงเขาอยากจะคัดค้านคำพูดของท่านหมอนัก ทว่าเขาเองก็รักษาโรคไม่เป็ ซ้ำเมื่อมองท่าทางของท่านหมอ ก็เห็นว่าเขาคงจะไม่ได้พูดเป็แน่
“นี่ก็เป็เพียงสตรีนางหนึ่ง อยู่รอดจนถึงวัยปักปิ่นจะมีอะไรโชคดีกันเล่า ไม่สู้....ไม่สู้....” หลัวอู๋เลี่ยงพูดเองเออเองคนเดียว ทว่าก็ไม่อาจพูดคำนั้นออกมาได้
อาสวินกับเสี่ยวอู่รู้ต่างก็รู้ว่าคำที่นางกำลังจะพูดออกมานั้นคือคำว่า ‘ไม่สู้ตายไปเสีย’
ส่วนเฉินโย่วน้อยนั้นกลับไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งสิ้น
นางเห็นเพียงแต่ว่าเลี่ยงเลี่ยงนั้นกำลังโกรธ จึงหยิบก้อนหินออกมาจากกระเป๋าก้อนหนึ่ง แล้วส่งให้สตรีตรงหน้าอย่างไม่เต็มใจ
หลัวอู๋เลี่ยงมองก้อนหินนั้น ก็เห็นว่าคือหินโมราที่ทารกน้อยดึงมาจากชุดนาง นางจึงได้แต่ทั้งโกรธทั้งขำในเวลาเดียวกัน
“เลี่ยงเลี่ยง ยิ้ม”
หลัวอู๋เลี่ยงมองทารกนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าน้อยระบายยิ้มกว้าง มือนั้นก็ช่างอ้วนท้วนนัก จนนางอดไม่ได้ที่จะคว้าร่างน้อยๆ นั้นมากอด
ทารกน้อยก็ไม่ได้ขัดขืน เพียงใช้มือคู่น้อยตบหลังสตรีที่อุ้มตนอยู่เบาๆ
ในใจหลัวอู๋เลี่ยงจึงค่อยๆ สงบลง
นางจึงอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมกอดแล้วโยกไปโยกมาเบาๆ พร้อมกับฮัมเพลงเป็จังหวะ นางนั้นมิรู้ว่าตนกำลังปลอบโยนเ้าทารกน้อยอยู่ หรือเ้าทารกนี้กำลังปลอบนางอยู่กันแน่
หลัวอู๋เลี่ยงฝืนร่างกายไม่ให้สั่นเทิ้ม
เพียงแต่...นางไม่ยินยอม
นางไม่ยอมให้เื่ราวเป็เช่นนี้
หน่วยลาดตระเวนกลับมาแล้ว
เมื่อก่อนยามที่หน่วยลาดตระเวนกลับมาก็ไม่ได้ทำตัวเอิกเกริกอันใด
ทว่าบัดนี้กลับอึกทึกนัก
พวกเขาครั้งนี้ถึงขั้นแบกงูั์กลับมาด้วยตัวหนึ่ง
ยามวางลงตรงหน้าเขากระดูก ก็ยิ่งทำให้มันดูสะดุดตานัก
คนกลุ่มใหญ่จึงพากันมามุงดู ช่างเป็ภาพที่หาดูได้ยากนัก
เ้างูเหลือมั์นี่น่าจะอายุยาวนานจนน่ามีความคิดเช่นมนุษย์แล้วกระมัง เหตุใดจึงถูกฆ่าตายได้เล่า
อาลู่นั้นไม่ได้ร่วมมุงไปกับคนอื่นด้วย ในมือเขายังถือช่อดอกไม้สีขาวอยู่อีกช่อหนึ่ง
ทั้งช่อรวมดอกไม้สีขาวเป็ช่อหนึ่ง ้าดูฟูนุ่ม ยามดอกไม้ช่อใหญ่นี้อยู่ในมือเด็กหนุ่มก็ยิ่งดูงดงามนัก
เพราะเด็กหนุ่มขี่ม้ามาไกลจึงทำให้ใบหน้านั้นเริ่มซับสีเืระเรื่อ ยามถือช่อดอกไม้ขาวไว้ในมือ ทั้งสองสีเมื่ออยู่ด้วยกันจึงดูตัดกันชัดเจน
หลัวอู๋เลี่ยงเมื่อได้ยินข่าวก็อุ้มเฉินโย่วน้อยออกมา เมื่อมาถึงก็เห็นภาพชายฉกรรจ์กำลังรวมตัวกัน
เด็กหนุ่มบนหลังม้าขาว ในมือถือดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ พร้อมกับรอยยิ้มหวานบนใบหน้า
เด็กน้อยในอ้อมกอดนางพลันอยู่ไม่นิ่ง
รีบยื่นมือทั้งสองโผไปหาพี่ชาย
อาลู่ลงจากม้า แล้ววิ่งเหยาะๆ มาตรงหน้าน้องสาว รับทารกน้อยที่โผเข้ามาหาตนมาไว้ในอ้อมกอด
“พี่ขายให้เ้า ชอบหรือไม่”
เฉินโย่วน้อยพยักหน้า จากนั้นก็หอมแก้มพี่ชายฟอดใหญ่ จนแก้มของอาลู่นั้นเปรอะด้วยน้ำลาย ทั้งชื้นและอุ่นนัก
เด็กหนุ่มอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขน ทารกน้อยจึงชูช่อดอกไม้กลมๆ ขึ้น หลัวอู๋เลี่ยงเห็นภาพนั้นก็รู้สึกว่าช่างน่ามองนัก จนนางรู้สึกอิจฉาเ้าทารกน้อย
“รบกวนแม่นางหลัวแล้ว วันนี้น้องสาวคงไม่ซนใช่ไหม”
“ไม่เลย นางว่าง่ายนัก” หลัวอู๋เลี่ยงอยากพูดอะไรบางสิ่ง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
มองทารกน้อยถือดอกไม้ในมือเล่น จากนั้นก็โถมหน้าน้อยๆ ซุกลงไปในช่อดอกไม้นั้น แล้วจึงอ้าปากกัดเข้าคำหนึ่ง แต่อาจเป็เพราะดอกไม้นี้ไม่อร่อย ซ้ำยังมีขนเยอะเกินไป ใบหน้าน้อยนั้นจึงทำหน้ายู่ยี่ขึ้นมา จากนั้นจึงทำท่าถุยดอกไม้ในปากออกมาเสียหลายครั้ง
หลัวอู๋เลี่ยงเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้น
เสี่ยวอู่ที่แบกอาสวินไว้บนหลังนั้นยังไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ ด้วยตรงนั้นมีโจรูเาอยู่กันเยอะเกินไป จึงได้แต่ยืนมองอยู่ไกลๆ
ได้ยินคนในกลุ่มนั้นพูดกันว่า เ้างูั์ตัวนั้นอาลู่เป็คนจับมาได้
พี่ลู่ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
ใบหน้าของเสี่ยวอู่พลันเต็มไปด้วยความเลื่อมใสในตัวอาลู่
ไม่นานนักอาสวินบนหลังอาลู่ก็ตื่นขึ้น เห็นเด็กหนุ่มพร้อมใบหน้ายิ้มแต่กำลังอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมอก สีหน้าของเขานั้นช่างดูมีความสุขเหลือเกิน
แววตาของอาสวินพลันมีแววยุ่งยาก
เขานั้นเกิดมาพร้อมสติปัญญาเป็เลิศเหนือใคร
สิ่งที่เขาเคยเห็นผ่านสายตานั้น เขาล้วนจำได้ไม่ลืมเลือน
ทว่าบัดนี้เขาอยากลืมรอยยิ้มเต็มใบหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้านัก
เสี่ยวอู่นั้นแทบทนไม่ไหว
รอจนอาลู่เดินเข้ามาหา เขาก็วิ่งไปตรงหน้าทันที พร้อมถามอาลู่ด้วยใบหน้าตื่นเต้น “พี่ลู่ เ้างูตัวนี้พี่เป็คนเก็บกลับมาจริงหรือ ท่านช่างร้ายกาจนัก”
อาลู่มองเห็นอาสวินกับเสี่ยวอู่จากไกลๆ
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาหา เขาก็ถามออกไปด้วยความใ “พวกเ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ข้ายังไม่ได้คุยกับนายท่านสามเลย”
“พี่ลู่ เมื่อวานท่านบอกให้พวกข้าช่วยท่านดูแลน้องสาวให้ดี แต่แม่นางคนนั้นกลับมาอุ้มนางไป พวกข้าเลยตามนางมา”
อาลู่พยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นเสี่ยวอู่แบกอาสวินมาด้วยจึงเอ่ยปากถาม “ร่างกายน้องชายเ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ดีขึ้นมากแล้ว ข้าป้อนอาหารให้เขากิน ไม่นานก็น่าจะดีขึ้นแล้ว เพียงแต่...” เสี่ยวอู่อยากจะพูดเื่น้องสาว ทว่ากลับถกอาสวินสะกิดหลังเบาๆ เขาจึงไม่ได้พูดต่อ
อาลู่เองก็ไม่ได้สนใจต่อ
“เย็นนี้พวกเรากินเนื้องูกัน ท่านอาปาฝีมือดีนัก เนื้อนี่เอามาทำน้ำแกงได้ น้ำแกงก็เหมาะสำหรับบำรุงร่างกายน้องชายเ้าพอดี”
“อืม”
เ้างูั์หน้าูเากระดูกไม่นานนักก็ถูกแบ่งเนื้อกันจนเรียบร้อย ส่วนอาลู่นั้นได้รับเนื้องูครึ่งตัวแต่เพียงผู้เดียว ทว่าอาลู่ก็แบ่งเป็สี่ส่วนเช่นกัน จากนั้นก็คิดว่าจะเอาไปมอบให้นายท่านสามและแม่นางหลัว
ส่วนที่เหลือนั้นก็เก็บไว้ให้ตัวเอง
อาลู่อุ้มน้องสาว เสี่ยวอู่ก็แบกอาสวิน เ้าก้างคอยเดินนำทางอยู่ด้านหน้า ทั้งหมดจึงค่อยๆ เดินตามกันเข้าไปในถ้ำ
ในถ้ำนั้นมืดสนิท
เฉินโย่วน้อยผล็อยหลับไปอีกครั้ง ทว่าในมือก็ยังคงถือช่อดอกไม้ พร้อมทั้งซุกไซร้ในอ้อมกอดของอาลู่อย่างมีความสุข
“เสี่ยวอู่ เมื่อครู่เ้าอยากจะกล่าวอะไร” อาลู่อยู่ดีๆ ก็เอ่ยปากถามขึ้น
เสี่ยวอู่พลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอึกๆ อักๆ ไม่รู้จะกล่าวอะไร
ทันใดน้ำเสียงเย็นเยียบของเด็กหนุ่มบนหลังเสี่ยวอู่ก็ดังขึ้น
“แม่นางหลัวให้ท่านหมอมาตรวจร่างกายให้เฉินโย่ว ท่านหมอบอกว่าร่างกายนางอ่อนแอโดยกำเนิด อีกทั้งนางอาจจะอยู่ไม่ถึงวัยปักปิ่น”
เสี่ยวอู่รู้สึกใไม่เบา อาสวินยามพูดนั้นไม่เคยเอ่ยปากยืดยาวถึงเพียงนี้
ทว่าบัดนี้สิ่งที่เขาใกลับไม่ใช่เื่ที่อาสวินยอมพูด แต่เป็สิ่งที่อาสวินนั้นพูดออกมา
เสี่ยวอู่ไม่เข้าใจนักว่าวัยปักปิ่นแท้จริงแล้วมีความหมายว่าอะไร แต่ก็พอเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดว่า น้องสาวของพี่ลู่นั้นคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน
อาลู่ที่อุ้มน้องสาวอยู่ก็ยังคงก้าวต่อไม่ได้ชะลอฝีเท้าแต่อย่างใด ทั้งยังเร่งเดินตามหลังเ้าม้าดังเดิม
ทั้งสองด้านของถ้ำก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
“ไม่มีทางหรอก ข้านั้นดวงดีนัก นายท่านสามก็เคยกล่าวว่าข้านั้นเป็คนดวงดี” อาลู่ตอบเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ทว่าคนเลินเล่อเช่นเสี่ยวอู่ที่กำลังเดินตามหลังอยู่ กลับคิดว่าเสียงของพี่ลู่นั้นแฝงแววสะอื้นในนั้น
เ้าช่อดอกไม้ปุกปุยนั้นเมื่อััเข้ากับแก้มของทารกน้อย นางก็ยู่หน้าขึ้นทีหนึ่ง
อาลู่จึงดึงดอกไม้ออกมาเบาๆ จากนั้นจึงลูบแก้มน้องสาวตน รู้สึกว่าน้องสาวตนนั้นช่างงดงามนัก