อาทิตย์อัสดงกลางทุ่งหญ้านั้นงดงามกว่าที่ใด
ให้ความรู้สึกโล่งใจเกินบรรยาย
โดยเฉพาะยามเหมันต์ ขอบฟ้านั้นกระทั่งเมฆสักก้อนยังไม่มีมี
ดวงตะวันดวงกลมเกลี้ยงยามลับขอบฟ้าดูคล้ายกับขนมเปี๊ยะสีทองที่ทั้งโตและกลม กำลังแขวนอยู่ขอบอาณาเขตของทุ่งหญ้า
“พวกเรากลับกันเถิด” หัวหน่วยอากู่กล่าวขึ้น
คนที่ออกไปวันนี้ล้วนกลับกันมาหมดแล้ว เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่
หากยามนี้เขายังไม่กลับมา ก็คาดว่าคงจะไม่กลับมาอีกแล้ว
กระนั้นทุกคนก็ไม่ได้ใจดีพอที่จะเสียสละเวลาของตัวเองเพื่อรอเด็กหนุ่มนานถึงเพียงนั้น
มีเพียงอาโต่วที่ปากมากอยู่เสมอ อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“เ้าเด็กนั่นยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง”
อาสุ่ยที่แต่ไหนแต่ไรก็จ้องแต่จะจิกกัดอาโต่ว ก็รีบกล่าวแทรก “ถึงอย่างไรเสียแม่นางหลัวก็ชอบน้องสาวของเ้าเด็กนั่น เ้าเด็กนั่นไม่กลับมาก็ย่อมเป็เื่ดีแล้ว”
“แคว้ก”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูด เสียงร้องกังวานใสของนกก็ดังขึ้น
หัวหน้าหน่วยอากู่ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงน้าวสายธนู แล้วยิงศรออกไปหนึ่งดอก
ทว่าก็พลาดเป้าไปเสียได้ ธนูดอกนั้นค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น
อากู่เร่งยิงดอกที่สองตามไปติดๆ คราวนี้เหมือนว่าจะโดนปีกมันแล้ว เพราะเ้านกนั้นดูเหมือนจะบินเข้ามาใกล้ขึ้น
เพียงแต่เมื่อมองดูอีกทีก็เห็นลูกศรที่เพิ่งเข้าเป้าไปนั้นกำลังร่วงหล่นลงพื้น ด้วยเพราะโดนเ้านกตัวนั้นปัดลงมา
สีหน้าอากู่พลันแข็งค้าง
เ้านกนี่ไฉนจึงหนังเหนียวนัก
ทว่าเขาก็ยังหยิบลูกศรดอกใหม่ขึ้นมาเล็งด้วยมือสั่นเทา ก่อนจะยิงออกไปอีกครั้ง
บัดนี้เขาเพิ่งจะมองเห็นว่าใบหน้าของเ้านกนั้นดูคล้ายมนุษย์นัก เช่นนี้เ้านกนี่ย่อมต้องเป็อินทรีศักดิ์สิทธิ์เป็แน่!!!
ที่แท้เขาเพิ่งจะได้เห็นอินทรีศักดิ์สิทธิ์ในตำนานหรือนี่
คนอื่นๆ เมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยหยิบธนูออกมาก็นึกอิจฉา
ธนูนั้นเป็อาวุธที่หาได้ยากนัก สามารถฆ่าศัตรูจากระยะไกลได้ ไม่จำเป็ต้องไปประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามจึงทำให้ปลอดภัยมากขึ้น
คนทั่วไปในค่ายย่อมไม่อาจ
ในค่ายนั้นหากมีม้าสักตัวก็ย่อมมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นมากโข ซ้ำหากมีธนูสักคัน ก็ย่อมได้เป็ส่วนหนึ่งของชนชั้นสูงในค่ายทันที
เฉกเช่นหัวหน้าหน่วยของพวกเขา
อากู่มีทั้งม้า มีทั้งธนู ทว่ากลับนำมาใช้ง่ายดายเช่นนี้
ลูกศรนั้นหายากเสียยิ่งกว่ายาก ทว่าเมื่อครู่เขากลับยิงออกไปถึงสามดอก
เมื่อก่อนจะเห็นเขายิงคน อย่างมากก็ยิงแค่สองดอก หากฝ่ายตรงข้ามยังไม่ตาย เขาก็เพียงกระโจนไปตรงหน้าแล้วใช้มีดฟันให้ตายเสีย
เขาตัดใจทิ้งลูกศรที่ยิงพลาดเป้าไปเมื่อครู่ไม่ลง
อากู่จดจ้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะเก็บลูกศรเ่าั้กลับมาด้วยความเสียใจและเสียดาย
เ้านกนั่นเป็ถึงอินทรีศักดิ์สิทธิ์ ถึงอย่างไรเขาก็คงยิงไม่เข้า
เ้านกนั่นเป็ถึงอินทรีศักดิ์สิทธิ์เชียวรึ......
“พี่กู่ มองเร็ว” อาโต่วะโขึ้นมา
หัวหน้ากองแหงนมองเ้าอินทรีที่บินอยู่เหนือศีรษะตน ขอบตาของเขาก็พลันร้อนผ่าวเมื่อได้ยินอาโต่วร้องโวยวาย เขาอยากจะลงแส้อาโต่วให้สักทีหนึ่ง
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าใของอาโต่ว เขาหันมองตามทิศทางที่อาโต่วมองอยู่
จากนั้นเข้าจึงเห็นว่าตรงเส้นขอบฟ้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขี่ม้ามุ่งมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่ ดวงตะวันสีชาดที่อยู่เื้ัชายหนุ่ม สาดแสงอาบไล้ให้ร่างนั้นกลายเป็สีแดงก่ำเช่นกัน
ชายหนุ่มขี่ม้าอย่างเอ้อระเหยราวกับกำลังชมวิวทุ่งหญ้าอยู่ก็ไม่ปาน
ทว่าไม่นานนักอากู่ก็พอจะมองเห็นว่าชายบนหลังม้านั้นคือใคร
ชายหนุ่มที่กำลังมุ่งหน้ามานั้นก็คือ เ้าเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งจะส่งไปยังต้าเจ๋อเมื่อเช้า
ร่างของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยเื ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ในั้นกลับไม่ใช่เืที่ย้อมกายเด็กหนุ่ม แต่เป็ช่อดอกไม้กลมๆ ตรงหน้าอกของเ้าเด็กหนุ่ม
เมื่อตั้งใจมองก็เห็นว่าช่อดอกไม้นั่นมันคือดอกต้าเจ๋อ
พวกเขาทุกคนในหน่วยนั้นต่างก็รู้ว่าในป่าต้าเจ๋อนั้นมีงูเหลือมั์อาศัยอยู่ และทุกสิ่งในป่านั้นก็ล้วนเป็กรรมสิทธิ์ของเ้างูั์
ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณที่หญ้าต้าเจ๋องอกนั้น แท้จริงแล้วก็คือรังของเ้างูั์
ดังนั้นหญ้าต้าเจ๋อนั้นหากมีใครเด็ดมาได้สักต้นก็นับว่าน่าทึ่งแล้ว ทว่าเ้าเด็กนี่กลับเด็ดมาได้ตั้งช่อหนึ่ง ซ้ำยังเป็ช่อใหญ่เสียจนดูคล้ายกับลูกกลมขาวๆ ลูกหนึ่ง แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความนุ่มของมัน ซ้ำยังรู้สึกว่ามันช่างงดงามนัก
เ้าเด็กนี่ย่อมต้องเข้าไปในป่าต้าเจ๋อมาแล้วอย่างแน่นอน
ทว่าเขากลับไม่ตาย ซ้ำยังเด็ดหญ้าต้าเจ๋อกลับมาได้
แต่ไฉนเ้าเด็กนั่นจึงยืดยาดขนาดนั้นเล่า หรือว่าเ้าเด็กนั้นจะาเ็เสียแล้ว ไม่แน่ก็อาจจะเป็ม้าของเขาที่าเ็เสียแล้ว
แต่ไม่ต้องรอให้ทุกคนเดาไปต่างๆ นานา
ด้วยหน่วยลาดตระเวนนั้นฉลาดนัก เพียงครู่เดียวก็ปะติดปะต่อภาพเหตุการณ์ได้มากมายว่าเ้าเด็กใหม่ท่าทางเซ่อซ่านั่น คงจะทำตามที่หัวหน้าหน่วยสั่งว่าให้ไปเด็ดหญ้าต้าเจ๋อมา แม้จะมีโอกาสตายถึงเก้าในสิบส่วนก็ยังทำตามคำสั่งไปอย่างซื่อๆ อยู่ดี
ทว่าเ้าเด็กใหม่นี่ก็ช่างดวงดีนัก เขาก็คงจะเข้าไปเด็ดหญ้าต้าเจ๋อ แล้วคงถูกเ้างูเหลือมั์ไล่ล่า แล้วจากนั้นก็คงจะหนีรอดมาจากคมเขี้ยวของเ้างูนั่นได้
แน่นอนว่าชาวหน่วยลาดตระเวนเช่นพวกเขา ย่อมต้องเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้เห็นและได้ยิน
เพราะสุดท้ายพวกเขาก็มีหน้าที่เพียงส่งข่าวที่ตัวเองรู้มาเท่านั้น จากนั้นก็รอให้นายท่านใหญ่เป็คนพิจารณา
เ้าม้าที่กำลังเดินมานั้นสาเหตุที่มันช่างเอื่อยเฉื่อยนัก ก็เพราะมันยังต้องลากศพของเ้างูเหลือมั์มาด้วย
เ้างูเหลือมั์นั้นตัวหนาพอๆ กับเอวของเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ยามที่ลากมันผ่านพื้นหญ้า ผ่านทราย และก้อนกรวดนั้นก็มีเสียง “ตึงตัง ตึงตัง” “ครืดๆๆ” ดังขึ้นไม่ขาดสาย ลำตัวยาวเฟื้อยนั้นบนหัวยังมีเชือกเส้นหนึ่งร้อยไว้ ส่วนอีกครึ่งของร่างมันนั้นก็ถูกผูกติดไว้กับลำตัวเ้าม้า
เ้างูเหลือมนั้นตัวหนักนัก
จึงไม่แปลกว่าเหตุใดเ้าม้าจึงได้เดินช้า
“หัวหน้า ข้ากลับมาแล้ว เพียงแต่ข้านั้นไม่พบพ่อค้าเลยสักคน” อาลู่เห็นสมาชิกคนอื่นๆ ในหน่วยก็อยู่ด้วยเช่นกัน เขาจึงโบกมือให้แล้วะโรายงาน
ใบหน้าของอากู่พลันสั่นระริก
คนช่างพูดอย่าอาโต่วเองก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรเช่นกัน
คนที่ชอบจิกกัดอาโต่วอย่างอาสุ่ยก็เปลี่ยนเป็เงียบงันเช่นกัน
คนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกันนัก มองเด็กหนุ่มตรงหน้าตนราวกับมองปีศาจก็ไม่ปาน
ต่างพากันทบทวนว่าเ้าเด็กนี่มีนามว่ากระไร คิดๆ แล้วก็เหมือนจะมีนามว่าอาลู่ เพียงแต่เหตุใดเ้าเด็กเวรนี่ถึงได้ร้ายกาจเพียงนี้
ในใจของเหล่าชายฉกรรจ์พลันรู้สึกยุ่งเหยิง
หัวหน้าหน่วยก็ใช้เวลานานสองนานกว่าสติจะกลับมา เขาพยายามฝืนข่มความใแล้วเอ่ยถามเด็กหนุ่ม “เ้าทำได้อย่างไร”
“ข้าแค่จะไปเก็บดอกไม้ ก็พบว่าข้างพุ่มดอกไม้นั้นมีเ้างูั์นอนอยู่ตัวหนึ่ง ข้าเห็นว่ามันเนื้อเยอะดีจึงได้ลากมันกลับมา” อาลู่ยิ้มพร้อมทั้งตอบออกมาซื่อๆ
คนอื่นเมื่อได้ยินดังนั้นก็พากัน......
ในใจพลันเกิดคำถามว่าเื่มันมีเพียงเท่านี้รึ
ทว่ายามมองเ้างูเหลือมตัวมโหฬาร แล้วบอกว่าเ้าเด็กหนุ่มตรงหน้าพวกเขาเป็คนฆ่านั้นก็ย่อมเป็ไปไม่ได้ มิเช่นนั้นหากเื่มันง่ายดายถึงเพียงนี้ ป่าแห่งนั้นไหนเลยจะกลายมาเป็เขตหวงห้าม
ทว่าหากไม่ใช่เ้าเด็กหนุ่มนี่เป็คนลงมือฆ่าเอง เ้าเด็กนี่ก็ดูจะโชคหล่นทับไปหน่อยแล้วกระมัง ไม่เพียงแต่จะเข้าไปในป่าต้าเจ๋อแล้วไม่ตาย ยังลากเ้างูั์กลับมาได้อีกตัว
“แล้วเืบนร่างเ้ามันมาได้อย่างไร” หัวหน้าหน่วยถามขึ้น
“เืมันเลอะมาตอนที่ข้าเอาเชือกร้อยหัวเ้างูั์” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้สิ่งใดเคลือบแฝง
ทุกคนเมื่อได้ยินอาลู่พูดเช่นนั้นก็รู้สึกว่าเื่นี้ดูปกติขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรหากมองด้วยสายตาก็รู้สึกว่ายากจะเชื่ออยู่ดีว่า เ้าเด็กนี่จะฆ่าเ้างูเหลือมที่ฉลาดเป็กรดตัวนี้ได้
ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาเพื่อดูเ้างูเหลือมั์นี่
ดวงตาทั้งสองข้างของมันหายไป ดีงูที่มีพิษก็หายไปด้วยเช่นกัน ดูแล้วร่างมันยังมีรอยถูกมีดแทงลึกยาวเจ็ดชุ่น และรอยมีดนี้ก็น่าจะเป็สาเหตุการตายของมันด้วยเช่นกัน
สำหรับพวกเขาชาวหน่วยลาดตระเวนนั้น สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการเก็บข้อมูล
เมื่อเก็บข้อมูลกันไปรอบหนึ่ง อากู่ก็รู้สึกวางใจลง
“น่าจะเป็บุคคลลึกลับมากฝีมือเป็คนลงมือ เช่นนั้นจึงไม่ได้สนใจเนื้อของมัน”
ส่วนคนอื่นๆ นั้นก็ไม่ได้มีความเห็นแตกต่างจากอากู่
สุดท้ายจึงตัดสินใจร่วมมือร่วมแรงกันแบกเ้างูั์กลับขึ้นเขาไป
หน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนนั้นเมื่อเทียบกับหน่วยอื่นแล้วจะนับว่าเบากว่าเสียหน่อย ทว่าค่าน้ำร้อนน้ำชาและส่วนแบ่งก็น้อยกว่าหน่วยอื่นๆ เช่นกัน ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็ครั้งแรกที่พวกเขาได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป
ท่าทีของเหล่าชายหนุ่มจึงไม่นิ่งเงียบดังยามลงจากเขา ขากลับขึ้นไปนั้นล้วนเต็มไปด้วยความครื้นเครง
เด็กใหม่อย่างอาลู่นั้นก็ช่างรู้ความนัก
เขายินยอมแบ่งเนื้องูครึ่งตัวให้ทุกคนไปแบ่งปันกัน ส่วนเขานั้นขอเพียงครึ่งตัวที่เหลือ เพื่อไปจ่ายค่าเช่าให้นายท่านสาม
บัดนั้นทุกคนจึงเพิ่งได้รู้ว่าอาลู่นั้นก็เป็ลูกหนี้ของนายท่านสามเช่นกัน เพียงครู่เดียวความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดูแแ่ขึ้นเป็กอง ด้วยในหน่วยลาดตระเวนนั้นนอกจากหัวหน้าหน่วยแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็ลูกหนี้ของนายท่านสาม
“อาลู่ เ้านี่ดวงดีเสียจริง” อาโต่วกล่าวด้วยความอิจฉา
“โชคดีไปก็เพียงเท่านั้น ครั้งหน้าอาจจะไม่โชคดีเช่นนี้อีก” อาสุ่ยพูดขัด
“อาลู่ เ้างูตัวนี้นั้นดีนัก เ้าสามารถเอาหนังมันมาทำเสื้อเกราะได้ หนังมันกันคมหอกคมดาบดีนักแล” อาโต่วนั้นคร้านจะต่อปากต่อคำกับอาสุ่ย จึงกล่าวต่อกับอาลู่อย่างกระตือรือร้น
อาลู่คิดไปคิดมาจึงกล่าวต่อ “อืม ข้าอยากเอาหนังงูกลับไปทำเสื้อเกราะให้น้องสาวสักตัว หนังที่เหลือก็เอาไปทำกระเป๋าให้นางสักใบ”