หานฉู่ชิวงงงัน “พวกท่านเป็อะไรกัน”
เฟิ่งเฉี่ยนชี้ไปที่หน้าอกของเขา “เ้าดูเองก็แล้วกัน!”
หานฉู่ชิวก้มหน้าลงมอง เขาตะลึงงันทันที “หน้าอกสตรี” ที่ทำให้เขากลัดกลุ้มมาเป็เวลากว่าครึ่งปี หายไปแล้วในที่สุด เขาตื้นตันใจจนแทบจะน้ำตาไหล “ข้าปกติแล้ว ข้าเป็ปกติแล้ว!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองหานไท่ฟู่และหานหลินเยว่ที่น้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติ “ท่านปู่ พี่หญิง ข้าหายดีแล้ว ข้าหายดีแล้วจริงๆ!”
“ชิวเอ๋อร์!”
“เสี่ยวชิว!”
ปู่หลานสามคนกอดศีรษะกันร้องไห้ด้วยความเ็ป
เห็นภาพนี้เข้า ในใจเฟิ่งเฉี่ยนพลันััได้ถึงความรักความอบอุ่น นางแสบจมูกเล็กน้อย พูดจริงๆ แล้วในใจนางรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง ภาพเช่นนี้เป็ภาพที่นางคาดหวังมาตลอดเวลา กระทั่งบัดนี้ยังไม่เคยเป็จริง นางสูดจมูก เกรงว่าตนเองจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ จึงเดินออกไปจากห้องเพียงคนเดียว
เดินมาได้ครู่หนึ่ง หานไท่ฟู่ไล่ตามมาด้านหลัง เขาะโเรียกนางแต่ไกล “แม่นาง เ้ารอก่อน!”
เฟิ่งเฉี่ยนหยุดแล้วหันกลับไปมองเขา “หานไท่ฟู่ ยังมีเื่อะไรอีกหรือ”
หานไท่ฟู่เดินเข้ามา “ขอบคุณที่เ้ารักษาชิวเอ๋อร์จนหายดี รับคารวะจากข้าด้วย!”
พูดแล้วเขาก็โน้มกายลงมา 90 องศา คารวะอย่างเต็มพิธีการ
เฟิ่งเฉี่ยนรีบก้าวเข้ามาห้าม “ไท่ฟู่ ไม่ได้!”
หานไท่ฟู่ลุกขึ้นลูบเคราของตนแล้วกล่าวว่า “ตลอดมา ข้าเป็คนแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน ก่อนหน้านี้เ้าทำลายกระดานหมากล้อมหยกขาวหุนหยวนของข้า ดังนั้นข้าจึงตั้งใจเป็ปรปักษ์กับเ้า จงใจสร้างความลำบากใจให้กับเ้า แต่ตอนนี้เ้ารักษาหลานชายของข้าจนหายดี มีบุญคุณต่อข้า ดังนั้นข้าจำเป็ต้องตอบแทนเ้า!”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดอีกว่า “เ้ามิใช่อยากได้แมวเทพสองหางตัวนั้นหรือ ตอนนี้อาการป่วยของชิวเอ๋อร์หายดีแล้ว เก็บแมวเทพเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ข้าจะมอบมันให้กับเ้า”
อย่าได้ดูว่ายามปกติเขาเป็คนเผด็จการและพาลพาโลอย่างร้าย เป็คนดื้อรั้น หน้าหนา แต่กลับเป็คนมีน้ำใจ และแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน
เฟิ่งเฉี่ยนดีใจออกนอกหน้า นางประสานมือคารวะเขา “เช่นนั้นขอบคุณไท่ฟู่!”
หานไท่ฟู่หัวเราะเบิกบานใจ “แต่ตอนนี้แมวเทพไม่อยู่ในจวน เ้ายังต้องไปชุมนุมเดินหมากกับข้าสักเที่ยว”
หานไท่ฟู่หน้าแดงอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ข้ากังวลว่าเ้าจะพบว่าแมวเทพเป็ตัวปลอมแล้วจะมาคิดบัญชีกับข้า ข้าคิดไปคิดมา จึงนำแมวเทพไปไว้ที่ชุมนุมเดินหมากน่าจะปลอดภัยกว่า”
เฟิ่งเฉี่ยนจนคำพูด
หานไท่ฟู่หัวเราะฮ่าๆ “ช่างเถิด อย่าเสียเวลาอีกเลย! พวกเรารีบไปชุมนุมเดินหมากเถิด ไม่แน่ว่าไปตอนนี้อาจจะไปทันการแข่งขันเดินหมาก!”
เดิมทีเขาตั้งใจไว้แต่เช้าว่าจะไปดูการแข่งขันเดินหมาก ทว่าอาการป่วยของหลานชายกำเริบ ทำให้เสียเวลา ตอนนี้อาการป่วยของหลานชายหายดีแล้ว เขานึกถึงเื่แข่งขันเดินหมากขึ้นมาได้ จึงแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะไปดูการแข่งขัน
เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง คนทั้งสองมาถึงชุมนุมเดินหมากเทียนหยวน เวลานี้ผู้คนมากมายมารวมตัวอยู่ในชุมนุมเดินหมาก การแข่งขันดำเนินมาถึง่ที่ดุเดือดที่สุด สมาธิของคนทั้งหมดล้วนจดจ่ออยู่ที่กระดานหมากใหญ่ เสียงวิจารณ์ดังขึ้นเป็พักๆ บรรยากาศเข้มข้น
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในชุมนุมเดินหมาก หานไท่ฟู่ก็ถามคนที่นั่นด้วยความร้อนใจ “เป็อย่างไรบ้าง เป็อย่างไรบ้าง ตอนนี้แพ้หรือชนะ”
มีคนจำเขาและเฟิ่งเฉี่ยนได้ จึงเกิดเสียงฮือฮาเล็กๆ ขึ้น
“ท่านาุโหาน เหตุใดท่านจึงเพิ่งมา การแข่งขันกำลังจะสิ้นสุดแล้ว!”
“แม่นางเฟิงก็มาด้วยหรือ ท่านทั้งสองมิใช่ไม่ถูกกันหรือ เหตุใดวันนี้จึงมาด้วยกันได้”
“แม่นางเฟิง ท่านมาท้าประลองซือคงเซิ่งเจี๋ยด้วยหรือ”
“จ้าวฉี นักเดินหมากระดับเก้า ติงไห่เจี้ยนและพวกเขาพ่ายแพ้หลุดลุ่ย ตอนนี้เหลือเพียงฟางเสีย ทว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีนัก ความเป็ไปได้ที่จะพ่ายแพ้มีมากกว่าครึ่งหนึ่ง”
“พวกท่านดูสิ ผู้ที่เดินหมากขาวก็คือ ฟางเสีย!”
เฟิ่งเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นมองกระดานหมากใหญ่ปราดหนึ่ง ปรากฏว่าหมากขาวกำลังตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด คนที่อยู่ในวงการเดินหมากมองปราดเดียวก็กระจ่างแจ้ง ที่จริงหมากขาวพ่ายแพ้แล้ว
แต่ที่ทำให้เฟิ่งเฉี่ยนประหลาดใจยิ่งกว่าคือ การเดินหมากของหมากดำพิเศษอย่างยิ่ง เป็วิธีการเดินหมากที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หากต้องใช้คำคำหนึ่งมาบรรยายความพิเศษของมัน นั่นก็คือคำว่า “ศิลปะ!”
ถูกต้อง!
วิธีการเดินหมากของหมากดำ เป็ศิลปะอันงดงาม!
โดยส่วนใหญ่การเดินหมากล้อมล้วนเป็การห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดระหว่างนักเดินหมากทั้งสองฝ่าย แต่หากดูจากหมากกระดานนี้แล้ว นางกลับััได้ถึงศิลปะที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็คำพูดได้!
ไม่ว่าจะเป็การสังหารหรือการวางกลลวง ล้วนเป็ศิลปะ! ทำให้คนได้แต่ทอดถอนใจ
นางถึงกับรู้สึกได้เลยว่าผู้ที่เดินหมากดำไม่ได้เห็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เขาควบคุมเกมั้แ่เริ่มจนจบ หมากทั้งหมดล้วนเดินตามทิศทางที่เขาเป็ฝ่ายกำหนด ล้วนเดินไปตามกลลวงที่เขาได้วางเอาไว้
ดูจากสถานการณ์บนกระดานหมากแล้ว นางอ่านได้ว่า “ช้าๆ” สองคำ ไม่สิ เป็ “ช้าๆ อย่างยิ่ง”!
คู่ต่อสู้เช่นนี้ น่ากลัวจริงๆ!
หานไท่ฟู่เห็นแล้วร้อนใจ “มิใช่เก็บตัวมาเป็เวลาสามปีหรอกหรือ เหตุใดยังพ่ายแพ้หลุดลุ่ยเช่นนี้”
“ท่านาุโหาน ฝีมือการเดินหมากของนักเดินหมากของพวกเราก้าวหน้าขึ้น คู่ต่อสู้ย่อมก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน!”
“ข้าเคยดูการแข่งขันเมื่อสามปีก่อน ฝีมือการเดินหมากของซือคงเซิ่งเจี๋ยพัฒนาไปจากเมื่อสามปีก่อนไม่รู้ตั้งเท่าใด เขาเป็อัจฉริยะอย่างแท้จริง!”
“ดังนั้นทุกคนต่างขนานนามเรียกเขาว่า เซียนหมากผมเงิน!”
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ นางอดที่จะประหลาดใจต่อเซียนหมากผมเงินผู้นี้ไม่ได้ แต่ต่อให้ประหลาดใจอย่างไรก็สู้แมวเทพไม่ได้ ตอนนี้นางคิดเพียง้านำตัวแมวเทพกลับไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น!
“ไท่ฟู่ แมวเทพอยู่ที่ใด”
“เ้ารอสักครู่ ข้าให้คนไปเอาตัวแมวเทพมาที่นี่” หานไท่ฟู่หันไปกวักมือให้ชายหนุ่มในชุมนุมเดินหมากคนหนึ่ง แล้วสั่งให้เขาไปนำแมวเทพมา
ชายหนุ่มคนนั้นกลับมาในเวลาไม่นานนัก ในมือของเขาหิ้วกรงมาใบหนึ่งที่มีผ้าดำคลุมเอาไว้เหมือนกรงใบก่อนที่เฟิ่งเฉี่ยนเคยมารับก่อนหน้านี้
หานไท่ฟู่รับมาแล้วมอบกรงใบนั้นให้เฟิ่งเฉี่ยนกับมือ “แม่นางเฟิง รับไว้เถิด!”
เฟิ่งเฉี่ยนรับมาอย่างตื่นเต้น “หานไท่ฟู่ ครั้งนี้แน่ใจว่าเป็ของจริงกระมัง”
หานไท่ฟู่ตบหน้าอกของตน “วางใจ ครั้งนี้เป็ของจริงแน่นอน!”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มแย้มเบิกบานใจ นางเลิกผ้าคลุมขึ้นมามุมหนึ่งหมายจะมองเข้าไปในด้านใน พลันมีเสียงดังเฮโลขึ้นมา คนทั้งหมดลุกขึ้นยืนด้วยความผิดหวัง
“เฮ้อ แพ้อีกแล้ว!”
“กระทั่งฟางเสียก็แพ้ หรือชุมนุมเดินหมากแคว้นเป่ยเยียนของพวกเราไม่มีคนแล้ว”
“แข่งหกครั้งแพ้หกครั้ง ช่างน่าอับอาย!”
“หรือจะไม่มีใครเอาชนะซือคงเซิ่งเจี๋ยได้”
มีคนบางส่วนเป็ผู้คลั่งไคล้หมากล้อมจากแคว้นหนานเยียน พวกเขาส่งเสียงดัง
“ฮ่าๆ ชนะแล้ว ชนะอีกแล้ว!”
“องค์ชายสามสุดยอดจริงๆ! สามปีให้หลังกลับมากวาดชุมนุมเดินหมากเป่ยเยียนราบคาบอีกครั้ง ไม่เสียแรงที่ข้าเดินทางมาเป็พันลี้เพื่อมาดูการแข่งขัน ช่างคุ้มค่า!”
“นักเดินหมากของแคว้นเป่ยเยียนอ่อนหัดเกินไป องค์ชายสามใช้กำลังเพียงแค่หนึ่งส่วนก็สามารถสังหารนักเดินหมากระดับเก้าทั้งหกคนลงได้อย่างง่ายดาย แคว้นเป่ยเยียนช่างน่าขายหน้านัก!”
“องค์ชายสามทรงพระเจริญหมื่นปี!”
“องค์ชายสามทรงพระเจริญหมื่นปี!”
อย่าได้เห็นว่าพวกเขาเป็คนกลุ่มเล็กๆ ที่มาจากแคว้นหนานเยียน ทว่าเสียงกลับดังยิ่งนัก ส่งผลให้ผู้คลั่งไคล้ในหมากล้อมของแคว้นเป่ยเยียนโมโหแต่ทำอะไรพวกเขาไม่ได้!
เพราะความจริงได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า พวกเขาพ่ายแพ้ นักเดินหมากล้อมระดับเก้าทั้งหกคนที่พวกเขาคิดว่ามีฝีมือร้ายกาจที่สุดล้วนพ่ายแพ้ พวกเขาไม่มีกำลังใจที่จะตอบโต้ นี่เป็เื่ที่ทำให้พวกเขาทุกข์ใจที่สุด!
ท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวายนี้ นักเดินหมากระดับเก้านำโดยฟางเสียเดินลงมาจากชั้นสอง แต่ละคนก้มหน้าเดินลงมาไหล่ห่อคอตก
บรรดาผู้ชื่นชอบหมากล้อมมองพวกเขา ในใจเต็มไปด้วยความเ็ป ไม่รู้ว่าควรปลอบโยนหรือกล่าวโทษ เพราะคู่ต่อสู้ฝีมือร้ายกาจเหลือเกิน