หอตำราจะมีผู้ดูแลสี่คน แบ่งออกเป็สี่ฝ่ายคือ ฝ่ายสว่าง ฝ่ายมืด ฝ่ายใน และฝ่ายนอก
ผู้ดูแลฝ่ายสว่างคอยรักษากฎระเบียบทั้งภายในและภายนอกของหอตำรา ผู้ดูแลฝ่ายสว่างก็คือลี่อวิ๋น ส่วนผู้ดูแลฝ่ายมืดคอยดูแลการผลัดเปลี่ยนแลกสิ่งของในหอร้อยสมบัติ ผู้ดูแลฝ่ายในรับผิดชอบการจัดการตำราของหอตำรา รวมถึงรับผิดชอบการคัดแยก ลงทะเบียนและตรวจสอบตัวตนของศิษย์ทุกคน และผู้ดูแลฝ่ายนอกจะทำหน้าที่เป็ตัวแทนของสำนักยุทธ์ว่านจ้งในการรวบรวมตำราโบราณแต่ละแห่ง
“ผู้ดูแลลี่ ไม่ทราบว่าข้าพอจะสามารถสรรหาศิษย์สักคนหนึ่งมาช่วยข้าจัดการเื่เหล่านี้ได้หรือไม่?” ฉินอวี่เดินไปและถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง เขา้าเพียงสถานะของผู้ดูแลฝ่ายในนี้ก็จริง แต่เขาเองก็ไม่้าจะเสียเวลากับการเป็ผู้ดูแลเช่นนี้
“จะว่าไปมันก็ได้อยู่หรอก แต่ในฐานะที่เ้าเป็ผู้ดูแล อย่างมากก็คงจะยกภาระงานอย่างการลงทะเบียน และการยืนยันตัวตนของศิษย์ให้กับคนอื่นช่วยทำแทนได้ แต่เื่การจัดการตำราในหอตำรา เ้าคงต้องทำด้วยตนเอง” ลี่อวิ๋นมองฉินอวี่ด้วยความแปลกใจ
ตำแหน่งผู้ดูแลฝ่ายในมีขอบเขตอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เทียบได้กับการอยู่ต่อหน้าประมุข สามารถเข้าถึงห้าชั้นแรกของหอตำราได้อย่างไม่มีสิ่งกีดขวาง!
หากจะยึดตามเกณฑ์แบ่งที่ให้ศิษย์ทั่วไปเข้าถึงชั้นที่หนึ่ง ศิษย์รุ่นห้าเข้าไปได้ถึงชั้นที่สอง คนที่จะเข้าถึงชั้นที่ห้าได้ก็ต้องมีสถานะเป็ศิษย์รุ่นสอง และศิษย์รุ่นสองโดยทั่วไปแล้วล้วนแต่เป็ผู้แข็งแกร่งในระดับาุโของสายชีพจรต่างๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้น ั้แ่ศิษย์รุ่นสองลงมา เกือบจะทุกคนต่าง้าจะเป็ผู้ดูแลฝ่ายใน เพื่อให้สามารถเข้าถึงชั้นที่ห้าได้ อย่างไรก็ตาม สำนักยุทธ์ว่านจ้งมีการสืบทอดมายาวนานั้แ่ยุคไท่กู่ หอตำราของที่นี่จึงรวบรวมตำราของทักษะยุทธ์ วิชาเต๋า ใบปรุงยา รวมถึงบันทึกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเอาไว้เป็จำนวนมาก
ผู้ดูแลซวีอู๋คนนี้ ดูเหมือนจะ้าเพียงตำแหน่งของผู้ดูแลเท่านั้น แต่มิได้มีความสนใจในหอตำรา เช่นนี้จะไม่ให้ลี่อวิ๋นแปลกใจได้อย่างไร ทว่าคำถามต่อมาของฉินอวี่กลับทำให้เขาต้องละความคิดนี้ทิ้งไปทันที
“ข้าสามารถเข้าหอตำราได้ถึงชั้นไหนหรือ?” ฉินอวี่ถามต่อไป
“ห้าชั้นแรกเข้าได้ทั้งหมดไม่มีปัญหา”
“แสดงว่าชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ด ข้าเข้าไม่ได้แล้วหรือ?” ฉินอวี่ดูไม่ค่อยเต็มใจเล็กน้อย
ลี่อวิ๋นหันมองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ และพูดขึ้น “ชั้นที่หก มีเพียงศิษย์รุ่นแรกเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ ส่วนชั้นที่เจ็ด มีเพียงไม่กี่คนในสำนักเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปได้”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่จึงพูดขึ้น “ขอบพระคุณผู้ดูแลลี่ที่ชี้แนะ เพียงแต่ เื่สถานะของข้า ขอผู้ดูแลลี่โปรดช่วยเก็บเป็ความลับด้วย” พูดจบฉินอวี่ก็ถอดหน้ากากออก
ผู้ดูแลลี่หันกลับมาด้วยความสับสน เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉินอวี่ สีหน้าที่ดูนิ่งขรึมของลี่อวิ๋นก็ตกตะลึงในทันที ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง จ้องไปไปยังฉินอวี่ด้วยความใ “เ้าเองหรือ?”
จิตใจของฉินอวี่ไม่ได้อยู่ในหอตำรา อีกทั้ง เมื่อได้เป็ผู้ดูแลก็จะกลายเป็จุดสนใจของคนได้ง่ายดาย หากผ่านไปเป็เวลานาน ตัวตนของเขาก็ง่ายที่จะถูกเปิดเผย อย่างน้อยที่สุด เขาก็คงจะยากที่จะปิดบังมันกับลี่อวิ๋น สู้ให้ลี่อวิ๋นได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเสียก่อนจะดีกว่า เช่นนี้ก็พอจะช่วยป้องกันความวุ่นวายที่จะตามมาได้ไม่น้อย
ฉินอวี่แสยะยิ้ม ผู้ดูแลลี่ยังคงอยู่ในความใ เพียงแค่ลองคิดดูว่า ศิษย์ใหม่คนหนึ่งที่กำลังเป็คนใกล้ตาย กลับได้เป็ผู้ดูแล จะไม่ให้ใได้อย่างไร
“มิน่าล่ะ ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็เช่นนี้! เ้ามาเข้าร่วมทดสอบผู้ดูแล เพราะเดิมพันไว้กับจางอี้เหวินใช่หรือไม่? แต่เื่บนป้ายศิลานั่นมันคืออะไรกัน?” ลี่อวิ๋นกล่าวด้วยความใ และเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ฉินอวี่ตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาพยายามหาเหตุผลมาพูดเลี่ยงลี่อวิ๋น แต่เมื่อลี่อวิ๋นกล่าวเช่นนี้ นับว่าสามารถช่วยฉินอวี่ไปได้ไม่น้อย หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็พูดขึ้น “นี่เป็ความลับของข้า มีเพียงสี่คนคือ ท่าน ข้า ท่านประมุข และผู้าุโหวงถิงแห่งสายชีพจรดินเท่านั้นที่รู้ หวังว่าผู้ดูแลลี่คงจะช่วยข้าปกปิดมันไว้”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ลี่อวิ๋นถึงกับสะดุ้ง
ความลับ?
มีเ้า มีข้า มีท่านประมุข และ... และมีอาจารย์... อาจารย์หวงถิง?
หรือว่า... เ้า... เ้าคนใกล้ตายผู้นี้จะเป็ศิษย์ของท่านประมุข? แม้แต่ท่านอาจารย์เขาก็ยังรู้จัก?
ทันทีที่ลี่อวิ๋นพยายามเชื่อมโยงเื่เหล่านี้ เขาก็หวนนึกถึงความนิ่งสงบตอนที่ฉินอวี่เผชิญหน้ากับจ้าวเจิ้นหย่วน และนึกถึงเหตุการณ์ในหอตำราชั้นที่หนึ่ง ลี่อวิ๋นก็อยากจะถามออกมาทันทีว่าฉินอวี่คือศิษย์ของท่านประมุขหรือไม่...
เมื่อได้เห็นสายตาที่ดูใของลี่อวิ๋น ฉินอวี่ก็ถอนหายใจได้อย่างโล่งอก
อันที่จริง คำพูดของฉินอวี่มีความคลุมเครืออย่างมาก และอาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย เดิมทีฉินอวี่เพียง้าจะดึงตัวประมุขออกมาให้ได้เท่านั้น แต่กลับนึกไม่ถึงว่าประมุขคนนี้จะสามารถล่วงรู้ตัวตนของเขาได้ ส่วนอาจารย์หวงถิงนั้น ฉินอวี่ได้ถือโอกาสนี้ยกขึ้นมาด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้าุโคนนี้ก็มีตำแหน่งที่สูงพอควร
แต่ฉินอวี่นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าลี่อวิ๋นที่สำรวมกิริยาอยู่เบื้องหน้าเขาจะเป็ศิษย์ใหญ่ของผู้าุโที่ทำตัวไม่น่าเคารพคนนั้นด้วย และนับว่าเป็ศิษย์พี่ใหญ่ของตนเอง
เื่นี้ฉินอวี่แปลกใจยิ่งนัก ถึงอย่างไร เป็เพราะหวงถิงจากไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่เคยบอกฉินอวี่ว่ามีศิษย์คนอื่นๆ ดังนั้น ฉินอวี่จึงไม่เคยนึกถึงเื่นี้ ทำให้เขาไม่เคยนึกถามฉู่เยว่ฉานมาก่อน
“ผู้ดูแลลี่ มีบางเื่ที่อาจต้องรบกวนท่านแล้ว ข้าจำเป็ต้องเตรียมตัวเข้าร่วมคัดเลือกศิษย์ในอีกสองปีข้างหน้า” พูดจบ ฉินอวี่ก็ถอดชุดคลุมสีดำ และเดินเข้าไปยังหอตำราอย่างเปิดเผย
ส่วนเื่ราวทั้งหมดนี้จะถูกเปิดเผยหรือไม่ ฉินอวี่ไม่เป็กังวล ลี่อวิ๋นไม่มีทางกลับไปถามประมุขแน่นอน และท่านอาจารย์... อย่าว่าแต่ยังไม่กลับมาเลย แม้ว่าเขากลับมา นั่นก็ยังนับเป็เื่ดีมิใช่หรือ? หากมีเขาอยู่ ตนเองจะยังต้องคิดอะไรมากอีกหรือ?
ลี่อวิ๋นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และไม่รู้สึกตัวอยู่เป็เวลานาน มองไปยังแผ่นหลังของฉินอวี่ที่เดินไกลออกไป เขาสูดลมหายใจอย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง และเชื่อมโยงคำพูดทั้งหมดของฉินอวี่เข้าด้วยกันเพื่อสรุปเื่ราวอีกครั้ง มีความเป็ไปได้ว่าซวีอู๋ผู้นี้เป็ศิษย์ของท่านประมุข หรือว่าท่านอาจารย์จะกลับมาจากแคว้นอู่แล้ว? และอยู่้าด้วย?
เดี๋ยวนะ... การคัดเลือกศิษย์? ตอนนี้เขามีระดับการฝึกฝนในขั้นปราณเสถียรระดับต้น จะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์หรือ?
ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องเป็ศิษย์ของท่านประมุขแน่ๆ ท่านประมุขมีความลึกลับมาตลอด เขาคงไม่้าจะเปิดเผยเื่การรับศิษย์ออกไป
หากเป็เช่นนี้ นี่นับเป็การพบกันครั้งแรกที่ฉินอวี่ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่อย่างตนเองต้องตกตะลึง
...
หลังจากออกมาจากหอตำรา ฉินอวี่ก็ยังไม่ได้ตรงไปอ่านตำราโบราณโดยทันที แต่เดินทางกลับไปที่พำนักเพื่อทำการฝึกฝน
เวลากำลังบีบคั้นเข้ามา ฉินอวี่มีเวลาหนึ่งปีในการเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ย ซึ่งนี่นับเป็ความท้าทายอันใหญ่หลวงของฉินอวี่
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่นึกไม่ถึงเลยก็คือ ขณะที่เขากำลังกลับไป เงาร่างหนึ่งได้ยืนอยู่หน้าที่พำนักของเขา เมื่อเพ่งมองเข้าไป จึงพบว่าเป็จางอี้เหวิน
จางอี้เหวินอาจจะเริ่มเคลื่อนไหวเข้ามา ทำให้ฉินอวี่รู้สึกประหลาดใจและแอบระมัดระวังตัวเอาไว้
“เ้าสมรู้ร่วมคิดกับคนที่ชื่อซวีอู๋ใช่หรือไม่?” จางอี้เหวินจ้องฉินอวี่ และเดินเข้ามาด้วยความโกรธ พลางะโขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ฉินอวี่หรี่ตามองจางอี้เหวินอย่างเ็า และพูดขึ้น “ข้าเป็แค่ศิษย์ทั่วไป เ้าคิดว่าข้าจะรู้จักกับซวีอู๋หรือ?”
จางอี้เหวินผงะ ความคาดหวังสุดท้ายในใจของเขาสลายไปทันที ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องตรงมาทางฉินอวี่ ในดวงตาของเขาบางครั้งก็ดูเหมือนฉายประกายของความโกรธ แต่บางครั้งก็ดูเหมือนกำลังดิ้นรน
ฉินอวี่เฝ้าดูจางอี้เหวินอย่างเงียบๆ เสียงฟ้าร้องได้ไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของเขาแล้ว
“เสนอราคามาสิ” ดูเหมือนว่าสติของเขาจะเอาชนะความโกรธได้ จางอี้เหวินจึงกัดฟันพูดขึ้นทันที
“เสนอราคา? ไม่ทราบว่าเ้ากำลังหมายถึงราคาอะไร? ตอนอยู่ที่หอตำราข้ายังไม่ได้ตอบรับเดิมพันเลย ข้าไว้หน้าเ้าก็น่าจะเพียงพอแล้วมิใช่หรือ?” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
ใบหน้าของจางอี้เหวินกระตุกทันที เป็เพราะฉินอวี่ไม่ได้พูดถึงเื่การเดิมพันตอนอยู่ที่หอตำรา ความโกรธของจางอี้เหวินจึงลดลงไปอย่างมาก จึงวิ่งมาถึงที่นี่ได้
“จะให้ข้าเป็บริวารของเ้า คงเป็ไปไม่ได้! ข้าจะยอมให้แต้มสนับสนุนกับเ้าสามสิบแต้ม เื่นี้ก็เป็อันจบกัน ว่าอย่างไร?” จางอี้เหวินถาม
“หากเ้าไม่้าจะเดิมพัน เ้าก็กลับไปดีกว่า แต้มสนับสนุนนั่นเ้าก็เก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ” ฉินอวี่พูดอย่างเรียบเฉย หากจางอี้เหวินจะยอมมาเป็บริวาร ก็ทำตามคำพูดของจางอี้เหวิน แต่ถึงอย่างไรในใจของเขาก็ไม่้าให้จางอี้เหวินมาเป็บริวารของเขาจริงๆ
เมื่อพูดจบ ฉินอวี่ก็ผลักประตูออก และเดินเข้าไปด้านใน ขณะที่เขากำลังจะปิดประตู กลับได้ยินเสียงกัดฟันพูดของจางอี้เหวิน “ได้! ข้าจะยอมเป็บริวารของเ้า แต่เ้าต้องไม่พูดออกไป ไม่เช่นนั้น... ไม่เช่นนั้นข้า...”
ฉินอวี่ทำเป็ไม่ได้ยิน และปิดประตูใส่ทันที
จางอี้เหวินมองไปทางประตูที่เพิ่งถูกปิดลง สีหน้าของเขาก็ดูมืดมนลงทันที หากไม่ใช่เพราะในตอนนั้นมีฉู่เยว่ฉานและศิษย์คนอื่นอยู่ร่วมด้วย ตอนนี้เขาคงหันหลังกลับออกไปอย่างไม่สนใจแล้ว แต่ในเมื่อพวกเขาทุกคนต่างได้ยินเื่นี้ หากไม่ทำตามเดิมพัน เขาจะเงยหน้ามองคนในสำนักได้อย่างไร
แน่นอนว่าในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือจางอี้เหวินต้องปลอบใจตนเอง ฉินอวี่ผู้นี้เป็แค่คนใกล้ตายมิใช่หรือ? จากสามปี ตอนนี้ก็เหลือเพียงสองปีกว่าแล้ว ขอเพียงแค่เขาเงียบเอาไว้ไม่พูดออกไป การเป็บริวารให้เขาสักสองปีจะเป็อะไรไป?
“ไปสืบมาว่า่นี้จ้าวเจิ้นหย่วนกำลังทำอะไรอยู่ แล้วค่อยกลับมาพิทักษ์ข้า ข้าขอเก็บตัวฝึกสักระยะหนึ่ง” ฉินอวี่ส่งเสียงดังออกมาจากในห้อง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางอี้เหวินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะหันหลังกลับออกไป
ฉินอวี่ที่อยู่ในห้องยิ้มขึ้นมาทันที
เป็อีกหนึ่งคนที่คิดว่าเขาเป็คนใกล้ตาย? ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านสามปีนี้ไป คนพวกนี้จะมีท่าทีเช่นไรกัน?
สำหรับจ้าวเจิ้นหย่วน เขาเป็คนที่เก็บไปแค้นได้แม้เื่เล็กน้อย และนี่ก็เป็เหตุผลของการกระทำทั้งหมด ใน่เวลาที่ฉินอวี่เก็บตัวฝึกฝน เพื่อไม่ให้ถูกรบกวน ฉินอวี่จึงให้จางอี้เหวินไปสืบข่าวมาเสียก่อน
เพียงแต่ฉินอวี่ยังไม่รู้ว่า หากคิดจะหลบหลีกจ้าวเจิ้นหย่วนในตอนนี้ก็อาจสายไปเสียแล้ว เขาจะกล้าสร้างความวุ่นวายอะไรได้? เมื่อเขาได้ยินว่าเลี่ยเอ๋าให้คำชี้แนะกับฉินอวี่ เขาก็ใกลัวมากจนไม่กล้าออกจากประตูแล้ว
จากนั้น ฉินอวี่ก็นั่งขัดสมาธิลง และสร้างค่ายกลสามชนิดขึ้นมาในห้อง ค่ายกลรวมิญญาหนึ่ง ค่ายกลป้องกันหนึ่ง ค่ายกลกันเสียงอีกหนึ่งจากนั้นจึงเรียกใช้วิชาเซียนมรรคา์ของปีศาจคลั่งา
