ห่าวทงเคยพบชายหนุ่มหล่อเหลามากความสามารถมาแล้วมากมาย ทว่าผู้ที่มีรูปโฉมโดดเด่นไม่ธรรมดาเฉกเช่นเจียงชิงอวิ๋นกลับมีไม่มาก เมื่อได้รับคำทักทายเช่นนี้พานให้รู้สึกสบายไปทั้งกายใจ และทำให้รู้สึกประทับใจเจียงชิงอวิ๋นมากยิ่งขึ้น
หลังจากทักทายปราศรัยกันเรียบร้อย เจียงชิงอวิ๋นก็ชวนทุกคนรับประทานอาหาร จ้าวอี้ไหนเลยจะกล้ารบกวน ขณะที่คิดจะปฏิเสธก็มีบ่าวในจวนเดินเข้ามารายงานว่า “นายท่าน ท่านเสี้ยนกงมาขอรับ นำของขวัญมาด้วยสองคันรถ”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวเสียงเบา “รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า” หากดูตามฐานะาุโเขาไม่จำเป็ต้องออกไปต้อนรับด้วยตนเอง
จ้าวอี้ดีใจยิ่งนัก รีบลุกขึ้นกล่าวกับเจียงชิงอวิ๋นว่า “นายน้อย ข้าจะออกไปต้อนรับท่านเสี้ยนกงเองขอรับ”
ห่าวทงนึกไม่ถึงว่าจะได้พบผู้สูงศักดิ์ที่นี่ ถึงกับแสดงสีหน้ายินดีออกมา “ท่านเสี้ยนกงมาเช่นนี้ข้าจะออกไปต้อนรับกับท่านเองขอรับ”
ไม่นานโจวโม่เสวียนผู้สวมใส่อาภรณ์สีม่วง ใบหน้ายังคงเจือแววอ่อนเยาว์ก็เดินทอดน่องเข้ามา ด้านหลังมีจ้าวอี้และคนอื่นๆ ติดตามมาด้วยท่าทีนอบน้อม “ท่านอา ท่านย่าให้ข้ามาดูว่าท่านอยู่ที่นี่สะดวกดีหรือไม่”
เจียงชิงอวิ๋นลุกขึ้นเดินเข้าไปต้อนรับ “ข้าอยู่ที่นี่จนคุ้นชินดีแล้ว”
โจวโม่เสวียนมิได้มาครั้งแรก แต่ยังคงมองไปรอบด้าน สุดท้ายก็เงยหน้ามองไปยังหลังคา “วันนี้ฝนตกหนัก เรือนนี้มีส่วนใดรั่วหรือไม่”
“ไม่รั่ว” ฝนเพียงเท่านี้ยังเรียกว่าตกหนักอีกหรือ เมื่อเทียบกับฝนที่บ้านเดิมของตระกูลเจียงแล้วยังนับว่าเบากว่ามาก อีกทั้งยังตกเพียงครึ่งวันเท่านั้น หากเป็ที่บ้านเดิมจะมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันหลายคืน ตกคราหนึ่งก็ทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็น้ำหลากน้ำท่วมได้เลย
โจวโม่เสวียนฉีกยิ้ม “ท่านย่ากลัวเ้าเปียกและกลัวเ้าหนาวจนอดรนทนไม่ไหว เร่งให้ข้านำถ่านหนึ่งคันรถและผ้าห่มสำหรับฤดูหนาวอีกหนึ่งคันรถมาให้ท่าน”
“ขอบคุณท่านป้าที่เป็ห่วง ข้าสบายดีทุกอย่าง” เจียงชิงอวิ๋นปรายตามองโจวโม่เสวียนครู่หนึ่ง “เหตุใดวันนี้เ้าไม่ไปที่กองทัพ?”
โจวโม่เสวียนเลิกคิ้วเข้มๆ ของตนก่อนกระซิบเสียงแ่ “ข้าชนะการประลองยุทธ์เมื่อวาน วันนี้จึงได้พัก”
จ้าวอี้กล่าวชมเชยเสียงใส “ท่านเสี้ยนกงเก่งกาจวรยุทธ์จริงๆ ขอรับ!”
ห่าวทงกล่าวเสียงดังกังวาน “ั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบันมีวีรบุรุษมากมาย ทว่าท่านเสี้ยนกงยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ยอดเยี่ยมเพียงนี้แล้ว”
เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยถามอย่างฉงนสงสัย “เ้าชนะผู้ใดมา!?”
โจวโม่เสวียนกล่าวอย่างลำพองใจ “แม่ทัพหลายคนที่เป็ผู้ใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อ”
เจียงชิงอวิ๋นทราบดีว่า โจวโม่เสวียนมีฝีมือทางด้านวรยุทธ์เหนือชั้นมาั้แ่ยังเยาว์ แต่ไม่ทราบว่าฝีมือด้านยุทธวิธีของเขาเป็เช่นไร “แข่งอะไรกัน?”
“ยิงธนู ประลองหอก ขี่ม้า”
หากเป็ผู้าุโคนอื่นจะต้องชมเชยก่อนตามด้วยกล่าวให้กำลังใจ เพียงแต่เมื่อเป็เจียงชิงอวิ๋นกลับมีท่าทีฉงนสงสัย “ไม่ใช่ว่าพวกเขายอมให้เ้าหรอกหรือ”
โจวโม่เสวียนนึกถึงคำชมเชยของเสด็จพ่อเมื่อวานนี้รวมไปถึงสีหน้าอึมครึมของเหล่าน้องชาย อีกทั้งเหล่าทหารก็กล่าวยินดีด้วยความเคารพจากใจ สุดท้ายก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “การประลองแข่งม้าพวกเขายอมให้ข้า พอแพ้กันหมดก็ถูกเสด็จพ่อตำหนิ ต่อมาจึงไม่กล้ายอมอีก ผลก็คือแพ้ให้ข้าทั้งหมด”
แววตาของเจียงชิงอวิ๋นเจือไปด้วยความลังเลเล็กน้อย “เ้าชนะเช่นนี้แล้วคิดอยากจะเข้าร่วมกองทัพหรือไม่”
“ก็ไม่เลว ข้าเคยพูดเื่เข้าร่วมกองทัพกับเสด็จพ่อแล้ว แต่เสด็จพ่อไม่เห็นด้วย”
“ดังนั้นเ้าจึงมาหาข้าที่นี่ คิดให้ข้าโน้มน้าวญาติผู้พี่ให้หรือ” เจียงชิงอวิ๋นส่ายหน้า ในแววตาเจือไปด้วยความสงสัย “หรือไม่ เ้าก็คงอยากให้ข้าไปกล่าวโน้มน้าวกับท่านป้า แล้วให้ท่านป้าไปโน้มน้าวญาติผู้พี่ของข้า”
“ผู้ที่รู้ใจข้าที่สุดก็คือท่านอาของข้านี่เอง” โจวโม่เสวียนหัวเราะออกมา ดวงตาเปล่งประกายแวววาว กล่าวด้วยน้ำเสียงร้องขอ “ท่านก็ช่วยเหลือหลานผู้นี้หน่อยเถิด”
เจียงชิงอวิ๋นมองไปยังโจวโม่เสวียนที่รูปร่างสูงกว่าตน กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า “ช่วยก็ช่วยได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ข้าว่ารอให้ผ่านฤดูหนาวไปก่อน รอให้ผ่าน่ฉลองปีใหม่ไปก่อนค่อยพูดเื่นี้กับท่านป้าตอนที่นางอารมณ์ดี นางอาจจะเห็นด้วย”
โจวโม่เสวียนกล่าวอย่างผิดหวัง “ต้องให้ข้ารออีกหนึ่งฤดูหนาวเชียวหรือ”
“การเข้าร่วมกองทัพมิใช่การละเล่นของเด็กน้อย เวลาหนึ่งฤดูหนาวคงเพียงพอให้เ้าใคร่ครวญจนแน่ใจแล้ว” เจียงชิงอวิ๋นนั่งลง กล่าวด้วยเหตุผลว่า “กองทัพเยี่ยนของญาติผู้พี่มิใช่กองทัพธรรมดา แต่เป็กองทัพที่คอยป้องกันผู้รุกรานที่ชายแดนทางเหนือของแคว้นต้าโจว”
โจวโม่เสวียนนั่งอยู่ข้างๆ เจียงชิงอวิ๋นด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย และกล่าวว่า “ข้าย่อมรู้ดี”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “หากเ้า้าเข้าร่วมกองทัพเยี่ยนก็ต้องทนรับความลำบากให้ได้”
“ผู้ที่อดทนกับความทุกข์แสนสาหัสได้จึงจะเป็คนเหนือคน หลานชายของท่านผู้นี้เป็ผู้มีฝีมือทางวรยุทธ์ หากไม่รู้จักทนทุกข์จะได้มาอย่างไร” การฝึกวรยุทธ์เป็สิ่งที่ลำบากที่สุดแล้ว โจวโม่เสวียนฝึกวรยุทธ์มาั้แ่อายุสามขวบ เขาเป็ผู้มีพร์สูงส่ง อายุเก้าขวบก็ตากแดดอาบเหงื่อมาจนนับไม่ถ้วน กระทั่งมีฝีมือทางยุทธ์เป็เลิศ ย่อมทนรับความลำบากในค่ายทหารได้แน่นอน
ห่าวทงนึกไปถึงท่าทีของโจวโม่เสวียนยามอยู่ที่ศาลาพักม้าของตำบลจินจี เมื่อเห็นการแต่งกายของเขาในวันนี้อีกครั้งกลับแอบคิดในใจว่า ท่านเสี้ยนกงคงไม่อาจทนรับความลำบากในกองทัพได้แน่
เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยถามเสียงดังว่า “ข้าถามเ้าหน่อยเถิด เช้านี้เ้ากินอะไร”
โจวโม่เสวียนกรอกตาคิดครู่หนึ่ง คำพูดจุกอยู่ตรงลำคอ ไม่นานก็ต้องเก็บกลืนลงไป
จ้าวอี้ทราบดีว่าโจวโม่เสวียนอยู่สบายจนคุ้นชินแล้ว ใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันเป็ที่สุด เพียงแค่อาหารเช้าของทุกวันก็ถูกจัดมาเต็มโต๊ะแล้ว
“เ้าส่งคนไปถามคนในกองทัพเยี่ยนเสียหน่อยว่า วันนี้ทหารกินอะไรเป็อาหารเช้า” เจียงชิงอวิ๋นมองโจวโม่เสวียนโดยไม่ละสายตา กล่าวต่อไปว่า “หากเ้าเข้าร่วมกองทัพเยี่ยน หนึ่งวันกินสองมื้อ อาหารเช้าเป็ขนมปังหยาบ หรือไม่ก็หมั่นโถวแป้งหยาบ หากเข้าร่วมาบางครั้งกระทั่งข้าวก็ไม่ได้กิน เ้ารับได้หรือไม่”
โจวโม่เสวียนะโลั่น “เป็ไปไม่ได้ ตอนเข้าร่วมาต้องมีข้าวให้กิน เสด็จพ่อเคยบอกข้าว่า ห้ามปล่อยให้ทหารหิ้วท้องออกไปสู้รบเป็อันขาด”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวเสียงเข้ม “บริเวณชายแดนที่กองทัพเยี่ยนต้องปกปักรักษาเป็พื้นที่ที่มีอากาศหนาว พืชผลทางการเกษตรน้อยยิ่งกว่าน้อย ่เพิ่งย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็เต็มไปด้วยแผ่นดินสีเหลืองแล้ว พอมาถึงฤดูหนาวผืนดินก็เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน ไม่มีกระทั่งต้นหญ้าสักต้น ยามเดินทัพทุกคนต้องแบกธัญญาหารหนักยี่สิบชั่งไปด้วย เมื่อกินธัญญาหารหมดก็ไม่มีอะไรให้กินอีก เพื่อจะมีชีวิตรอด มีอะไรให้กินก็ต้องกิน กระทั่งเนื้อม้าก็ต้องกิน แม้แต่เนืุ้์เนื้อศัตรูก็ต้องกิน เ้ากินได้หรือไม่”
เมื่อโจวโม่เสวียนได้ยินคำว่า เนืุ้์ พลันรู้สึกมวนท้อง อยากอาเจียนขึ้นมาทันที
ดวงตาของจ้าวอี้เต็มไปด้วยความสงสัย “นายน้อยเคยไปที่ชายแดนหรือขอรับ?”
“ใช่ ตอนที่ข้าเดินทางหาความรู้ข้าเคยไปที่นั่น ทั้งยังได้พูดคุยกับเหล่าทหารของกองทัพเยี่ยนมาแล้วด้วย พวกเขาบอกว่า เคยกินเนื้อม้าและเนื้อ…” เจียงชิงอวิ๋นไม่ได้กล่าวคำสุดท้ายออกมา แต่โจวโม่เสวียนก็ยังลุกขึ้นวิ่งแล่นออกไปจากห้องโถง ไปยืนอาเจียนอยู่ที่ลานด้านนอก
“ท่านเสี้ยนกงอาเจียนเสียแล้ว” ห่าวทงวิ่งตามออกไปดูด้วยความกังวล
โจวโม่เสวียนอาเจียนจนเ็ปท้องไปหมด เมื่อเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งตามมาด้านหลัง แต่ละคนล้วนมองมาที่เขาด้วยสายตาเป็ห่วงเป็ใย พลันคิดในใจว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมาถูกทำลายลงจนย่อยยับแล้ว เมื่อมองผ่านทุกคนไปก็พบเจียงชิงอวิ๋นยืนอยู่ตรงประตูห้องโถงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านอาตัวดี หลานมาเยี่ยมท่านด้วยความจริงใจ แต่ท่านกลับทำให้หลานตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้”
“เ้าอาเจียนอยู่ที่นี่ดีกว่าไปอาเจียนที่ค่ายทหาร” เจียงชิงอวิ๋นเดินเข้ามาหาด้วยฝีเท้าเบาพลิ้ว ดวงตาเปล่งประกายแวววาว “เมื่อครู่ข้าพูดถึงเพียงอาหารการกินเ้าก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว ยังต้องให้ข้าพูดถึงเื่อาภรณ์ ที่อยู่อาศัย และการเดินทางของกองทัพเยี่ยนอีกหรือไม่”
โจวโม่เสวียนหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตนขึ้นมาเช็ดที่มุมปาก ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง กล่าวด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดว่า “ก็แค่อาภรณ์ ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง ไม่ใช่หรือ หึ... ข้าสวมใส่ชุดเกราะหนักสี่สิบชั่งได้ ข้าอยู่กระท่อมเก่าผุพังได้ วิชาขี่ม้าของข้าก็ยอดเยี่ยม”
“ฤดูร้อนที่ชายแดน ยามดวงอาทิตย์แขวนลอยอยู่กลางฟ้าอากาศจะร้อนระอุมาก เมื่อสวมชุดเกราะจะถูกแสงแดดแผดเผาจนแทบไหม้เกรียม ยามฤดูหนาวที่ชายแดน จะมีพายุหิมะพัดเต็มท้องฟ้า หนาวเย็นจับขั้วหัวใจ เมื่อสวมใส่ชุดเกราะจะถูกลมพายุฤดูหนาวอันเย็นเยียบแช่แข็ง”
“......”
“สิ่งที่ชายแดนภาคเหนือขาดแคลนที่สุดก็คือ น้ำ เมื่อออกเดินทัพ หากมีน้ำให้ดื่มไม่หิวน้ำตายได้ก็นับว่าเป็วาสนาแล้ว แต่ไม่มีน้ำสำหรับอาบแน่นอน แต่ละคนไม่อาบน้ำกันนานหลายเดือน ั้แ่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยแมลงกินเืมนุษย์ จะคันไปทั้งตัว” คำพูดของเจียงชิงอวิ๋นมิใช่การเปรียบเปรย
“แมลง!?” ใบหน้าที่หล่อเหลาของโจวโม่เสวียนแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เมื่อได้ยินว่าเ้าสิ่งนั้นดูดเืมนุษย์ก็หวาดกลัวยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าหากเข้าร่วมกองทัพแล้วจะต้องกินอยู่อย่างลำบากเพียงนี้ นี่เป็เพียงเื่อาหารกับการอยู่อาศัยเท่านั้น หรือจะยอมทิ้งความคิดเื่การเข้าร่วมกองทัพไปดี?
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้