ณ เรือนเฉินเซียง
“ท่านแม่”
อวี๋ซื่อเอนกายงีบหลับอยู่บนเตียงกุ้ยเฟย [1] เมื่อนางได้ยินเสียงเรียกนี้ก็ฉีกยิ้มกว้างในบัดดล
ผู้ที่ปรากฏตรงหน้าประตูก็คือไป๋ชิงโหรวนั่นเอง หลานสาวของบุตรชายคนโตตระกูลไป๋ นางสวมเสื้อสีเขียวมรกต กระโปรงจีบพลิ้วแต้มลายดอกไม้ใบหญ้า คลุมกายด้วยผ้าแพรบางสีหยก รูปร่างงามงอนสมส่วนกำลังดี ผิวพรรณขาวเนียนอบอวลด้วยกลิ่นหอมกรุ่น เสน่ห์นวลนางงามล้ำจับใจยิ่ง
“โหรวเอ๋อร์ มานี่เร็ว” อวี๋ซื่อจับมือบุตรสาวสุดที่รักด้วยความเอ็นดู
“ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าท่านปู่กับท่านอาสามจะกลับมา อีกทั้งเ้าคนนอกคอกนั่นก็จะกลับมาพร้อมกันด้วย เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรเล่า” ไป๋ชิงโหรวเอ่ยถามทันทีที่นั่งลง
แค่ท่านปู่กับท่านอาสามพวกนางก็รับมือลำบากมากพอแล้ว ดันมีไป๋จื่อจิน พี่ชายของไป๋เซียงจู๋อีกคน ั้แ่ยังเด็กเขาก็เป็ตัวยุ่งยาก ทุกครั้งที่นางหาเื่รังแกไป๋เซียงจู๋ นางมักถูกไป๋จื่อจินโต้กลับเสมอ เป็เช่นนี้ั้แ่วัยเยาว์ เ้าคนหัวรั้นนั่นอุตส่าห์ติดตามท่านปู่กับท่านอาสามออกเดินทางไปแล้ว บัดนี้เขากำลังจะกลับมา และด้วยนิสัยของเขา จะให้เขาเอะอะสร้างเื่ราวโกลาหลไม่ได้เด็ดขาด
อวี๋ซื่อถลึงตาเตือนไป๋ชิงโหรว จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้แม่เฒ่าตู้ที่อยู่ข้างๆ แม่เฒ่าตู้รับทราบ รีบสั่งเหล่าบ่าวรับใช้ให้ออกไป
“พี่สาวลูกตกหน้าผาไม่พบแม้แต่ร่าง พวกเขากลับจวนก็ถือเป็เื่ธรรมดา” พูดแล้วอวี๋ซื่อก็ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบขาวขึ้นมาเขี่ยดอกกุ้ยฮวาที่ลอยอยู่้าเบาๆ ก่อนจะจิบชาดอกไม้หอมในถ้วย
“แต่เดี๋ยวนี้ไป๋จื่อจินเป็ที่โปรดปรานของท่านปู่กับท่านอาสามเสียขนาดนั้น ตอนนี้เกิดเหตุร้ายกับน้องสาวเขา คงยากที่เขาจะคิดว่าเื่นี้ไม่ได้พัวพันกับพวกเรา แค่นึกว่าสองพี่น้องชั้นต่ำคู่นี้แย่งของของข้าไป ข้าก็อยากฉีกพวกมันเป็ชิ้นๆ แล้ว!” ไป๋ชิงโหรวพูดอย่างเดือดดาล พอนึกถึงครั้งหนึ่งที่นางกลั่นแกล้งไป๋เซียงจู๋ แล้วถูกไป๋จื่อจินผู้เป็พี่ชายถีบนางลงไปในสระน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด นางก็แค้นใจยิ่งนัก
“ลูกวางใจเถิด ตอนนี้ลูกฟังแม่นะ จงอยู่กับท่านย่าของลูกมากๆ เอาใจท่านให้เบิกบาน ขอแค่ท่านย่าของลูกยืนข้างพวกเรา ไป๋จื่อจินคนเดียวก่อหวอดไม่สำเร็จหรอก” อวี๋ซื่อปลอบบุตรสาวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ไป๋ชิงโหรวมองแววตาที่มั่นใจในชัยชนะของมารดา มุมปากนางก็ยกยิ้มแสนเ้าเล่ห์เช่นเดียวกัน
เมื่อกำจัดเสี้ยนหนามทั้งสองนี้ทิ้งแล้ว ชีวิตในภายภาคหน้าของนางจะสบายขึ้นอีกมากโข เมื่อคิดถึงใบหน้างามล่มแผ่นดินของไป๋เซียงจู๋ นางก็ริษยาจนแทบกระอักเื ใจนางบอกย้ำตัวเองมากกว่าหนึ่งหน นางจะทำลายไป๋เซียงจู๋! นางจะทำให้ไป๋เซียงจู๋ย่อยยับ! บัดนี้ในที่สุดทุกสิ่งก็สมดั่งใจปรารถนา ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไป๋เซียงจู๋ เกิดมาสวยแล้วมีประโยชน์อันใด
----------------------------------------
ณ เขาหลังวัดต้าโฝ กุฏิจิ้งเยว่
แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องมืดสลัวสาดกระทบดวงหน้างดงามไร้ที่ติ ขณะนี้นางหลับตาแน่นสนิท หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อไหลตามแนวแก้มไปยังถังอาบน้ำใต้ร่าง เส้นผมสยายติดใบหน้าและไหปลาร้า
กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นอบอวลไปทั่ว ของเหลวสีเขียวเข้มเปี่ยมอิทธิฤทธิ์ถูกเทลงในถังอาบน้ำ ผ่านไปเพียงชั่วครู่ น้ำยาที่เดิมเป็สีเขียวเข้มใสโปร่งแสงกลับกลายเป็น้ำพิษสีดำมืด
“ท่านอาจารย์เจวี๋ยเฉิน นี่เป็ยาถังที่แปดแล้ว ยังต้องเปลี่ยนต่อไปอีกหรือไม่” หญิงสาวในชุดแม่ชีนางหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามเจวี๋ยเฉินซึ่งกำลังนั่งสมาธิท่องคัมภีร์อยู่ด้านนอก
เจวี๋ยเฉินใจนสะดุ้ง มือที่หมุนลูกประคำก็หยุดชะงักเช่นกัน
หลังจากนั้นนานพอสมควร เขาเอ่ยคำหนึ่งออกมาอย่างเรียบเฉย
เปลี่ยน!
พอพูดจบ เจวี๋ยเฉินที่สีหน้านิ่งเฉยในตอนแรกก็ขมวดคิ้วเข้มโดยพลัน
ต้องเป็จิตใจแบบไหนที่ดลให้นางทำเช่นนั้น... นางทำเพื่ออะไรกันแน่
สามวันต่อมา
รถม้าค่อยๆ เดินทางออกจากูเาหลังวัดสู่ถนนสายหลักในเขตชานเมือง เมื่อรถม้าหายไปจากสายตา พระสงฆ์ผู้ก้มศีรษะนิ่งสงบมาโดยตลอดเงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่รถม้าลาลับ ยืนปักหลักที่เดิมยาวนานไม่ไปไหน...
ตอนไป๋เซียงจู๋ตื่นขึ้นจากนิทรา รถม้าก็กำลังเคลื่อนตัวจากนอกเมืองเข้าประตูนครพอดี
ไป๋เซียงจู๋ได้ยินเสียงดังอื้ออึงบนถนนเมืองเหลียงจึงรู้ตัวทันทีว่าเข้าเขตเมืองแล้ว พอได้ยินเสียงคนจ้อกแจ้กจอแจจากด้านนอกหน้าต่างรถ ใบหน้าเ็าพลันยกมุมปากแสยะยิ้ม เมื่อลองนับวันเวลาแล้ว วันนี้เป็วันสุดท้ายที่จวนไป๋จัดพิธีศพ ซึ่งก็คงมีคนใหญ่คนโตมาร่วมมากมาย หากตนปุบปับปรากฏกาย... ต้องน่าพิสมัยอย่างยิ่งแน่นอน!
นอกจวนไป๋ประดับแขวนด้วยผ้าแพรขาว [2] บ่าวรับใช้เฝ้าประตูสองคนทำท่าทางโศกเศร้าเหลือแสน ทว่าความเศร้านั้นไม่สะท้อนในแววตา เมื่อประตูใหญ่ถูกเปิดออก สตรีในชุดไว้ทุกข์ธรรมดานางหนึ่งเดินออกมา ศีรษะนางทัดดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ดอกน้อย ดวงตาเจือสีแดงจางๆ เหมือนร้องไห้มา สตรีผู้นี้ก็คือน้องสาวของไป๋เซียงจู๋ ไป๋ชิงโหรวนั่นเอง
“ใต้เท้าฮูหยินค่อยๆ กลับนะเ้าคะ” ไป๋ชิงโหรวหันมากล่าวลากับคู่สามีภรรยาที่แต่งตัวหรูหราและมีทีท่าสลดใจด้านหลังตน
“คุณหนูรองก็อย่าโศกเศร้าเสียใจเกินไปเลย คนตายแล้วไม่หวนคืน คุณหนูต้องดูแลสุขภาพด้วยนะ” ชายวัยกลางคนคือเสนาบดีกรมพิธีการ เจี่ยงเต๋อ
แม้เป็แค่หนึ่งในสี่ชน [3] แต่เพราะบรรพบุรุษสามชั่วอายุคนก่อนของจวนไป๋ล้วนคือหวงซาง ตระกูลไป๋ย่อมไม่จำเป็ต้องกริ่งเกรงผู้ใดมากนัก อีกทั้งตระกูลไป๋พอมีอำนาจและอิทธิพลในราชสำนักไม่น้อย โดยเฉพาะคุณชายสามไป๋ฉางอวิ๋น เขาเป็ถึงพ่อค้าวาณิชมากความสามารถ และเนื่องด้วยเห็นแก่เกียรติของเขา ต่อให้ข้าราชการเหล่านี้มีตำแหน่งสูงส่งเพียงใดก็จะมาร่วมแสดงความอาลัยตามมารยาทอยู่ดี
เชิงอรรถ
[1]贵妃榻 เตียงกุ้ยเฟย คือ เตียงกึ่งเก้าอี้ยาวชนิดหนึ่ง ทรงแคบและมีที่สำหรับหนุนศีรษะ สะดวกสำหรับทั้งนั่งและนอน
[2]เป็การสื่อว่ามีคนในบ้านเสียชีวิต
[3]士农工商 สี่ชน หรือ ซื่อหนงกงซาง คือ การแบ่งกลุ่มสามัญชนเป็สี่ประเภทในสมัยโบราณ ได้แก่ บัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และนักธุรกิจ